ในระหว่างการสร้างพันธมิตรอิงระบบเพื่อจัดการความรู้แบบธรรมชาติ ตามสไตล์ของครูบาสุทธินันท์
หรือ การจัดการความรู้แบบธรรมชาติอิงระบบเพื่อหาพันธมิตรร่วมพัฒนา ตามสไตล์ของผม
ผมได้พบพันธมิตรที่ยังมีการจัดการความรู้เพียงบางส่วน บางเรื่อง ในชีวิต
หรือบางทีก็มองข้ามการจัดการความรู้ไปเลย
อาจเนื่องด้วยความรีบเร่ง หรือการขาดข้อมูล หรือขาดทรัพยากรที่จะมาสนับสนุนการจัดการความรู้
ที่ทำให้เป็นอุปสรรคและปัญหาในการดำรงชีวิต
โดยเฉพาะการขาดการจัดการความรู้ในส่วนที่จำเป็นกับชีวิต
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ การจัดการความรู้เพื่อการเลือกคู่ชีวิตของตนเอง
ที่ผมพบว่าคนจำนวนมาก
แล้วก็ดิ้นรนหาเหตุผลมาอธิบายว่า “ทำไมเราจึงเลือกคนนี้”
แบบที่ภาษาอังกฤษว่า
Ad hoc reasoning
และหลังจากแต่งงานอยู่ด้วยกัน ก็ยังใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ เรื่องต่างๆ มากกว่าการใช้ความรู้ และเหตุผล
ทำให้เกิดความไม่ชัดเจนในเป้าหมายและทางเลือก และเกิดปัญหาในชีวิตคู่ ทั้งแบบเบาะๆ และแบบรุนแรงได้โดยทั่วไป
พอจะคุยเรื่องนี้ทีไรก็มักจะไม่กล้าคุย ไม่กล้าคิด
การไม่กล้าคุยนั้น พอจะเข้าใจได้
เพราะบางคนถือเป็นเรื่องส่วนตัว หรือความลับส่วนบุคคล หรือเรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัวที่ไม่ควรจะคุยกับใคร
ในวิญญาณนักจัดการความรู้นั้น ผมคิดว่า เราน่าจะคุยแลกเปลี่ยนกันได้ในระดับหนึ่ง ที่คาดว่าจะใช้ภาษาที่บุคคลทั่วไปยอมรับได้ บางอย่างที่ไม่ต้องการเปิดเผยก็ใช้คำอ้อมๆได้
แต่ ถ้าไม่กล้าคิด ด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่
หรือ ไม่คิดที่จะคิดเรื่องนี้ ก็เป็นสิ่งที่น่าเสียดาย
เพราะ
เป็นเรื่องที่แทบที่จะสำคัญมากที่สุดในชีวิต ที่ไม่ควรพลาด หรือ คิดไม่ทะลุ ก็จะมีอัตราเสี่ยงสูงมากที่จะผิดพลาดได้
ระบบการคิด และนำข้อมูลต่างๆมาพัฒนาเป็นความรู้ คือสิ่งที่ผมเห็นว่าควรจะเป็น สำหรับ “นักจัดการความรู้”
และ น่าจะพัฒนาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ในทุกบริบท แล้วน่าจะดีกว่าการใช้อารมณ์ในการวางแผน วิเคราะห์ข้อมูล สรุปผล และนำข้อสรุปไปใช้งานในการดำรงชีวิต
และผมมองเห็นว่า
การเป็นนักจัดการความรู้หรือ พัฒนาตัวเองเป็นมนุษย์ KM
และจัดการความรู้ในทุกเรื่อง
โดยเฉพาะเรื่องที่สำคัญๆของชีวิต น่าจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับทุกคน
นี่คือหลักการของ การจัดการความรู้ หรือ KM ธรรมชาติ ครับ
สวัสดีค่ะอาจารย์ ตอนนี้เน็ตที่บ้านช้ามากๆ ว่าจะแค่เปิดอ่านๆเรื่องแล้วมาแสดงความเห็นภายหลัง แต่พออ่านเรื่องนี้ของอาจารย์แล้วมันโดนใจมากๆเลยค่ะ
ดิฉันอาจโชคดีที่ไม่มีงานออฟฟิศ งานหลวงมารัดตัวให้เร่งรีบทำ เลยมีเวลามองชีวิตอย่างละเอียดและรู้สึกอย่างที่อาจารย์เขียน เราควรใช้ความรู้ในชีวิตทุกด้านไม่ใช่ ใช้KMแค่ในงานประจำ ยิ่งชีวิตประจำวัน คนใกล้ตัวทั้งหลาย หากเราไม่ตั้งสติให้ดี เราจะใช้แต่อารมณ์ เดี๋ยวนี้แม้แต่เรื่องการดูแลบ้าน-คนดูแลบ้าน ดิฉันก็ให้ความสำคัญกับการใช้ความรู้ โดยเฉพาะความรู้ที่จะทำให้ตัวเองมีความเข้าใจผู้อื่น มีเมตตาต่อผู้อื่น และตั้งสติทุกครั้งที่โมโห หรือโกรธว่า เพราะเขาไม่มีความรู้พอในสิ่งที่ทำหรือจัดการกับกิเลสของเขาเอง ตัวเองก็เลยต้องเท่าทันรู้จักกิเลสของตัวเองด้วย ไม่เอากิเลสไปฟันกับกิเลสค่ะ
ขอบคุณครับ
สำหรับคำชม
ผมคิดว่าเราควรจะพัฒนาความเป็นมนุษย์ KM ของเราให้สมบูรณ์มากขึ้นเรื่อยๆครับ
แล้วเราน่าจะมีปัญหาน้อยลงนะครับ