การพิจารณาทุกข์
ทุกข์ คือ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ ความไม่ชอบใจความคับแค้นใจ ความเศร้าโศก ร่ำไห้ รำพัน ความเดือดร้อนความยากลำบาก
สมุทัย คือความต้องการไม่ได้รับการตอบสนอง
ทุกข์อยู่ที่ไหน? ตอบได้ว่า
1.ทุกข์ในอริยสัจจ
พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นการเกิดเป็นทุกข์
พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นการแก่เป็นทุกข์
พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นการเจ็บเป็นทุกข์
พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นการตายเป็นทุกข์
การดับทุกข์ให้ดับที่เหตุตามแนวทางของมรรคเพื่อนำไปสู่นิโรธ
สมุทัยเป็นเหตุทำให้เกิดทุกข์ มรรคเป็นแนวทางไปสู่นิโรธและผลที่ตามมาคือ ทุกข์ดับ
กระบวนการในการดับทุกข์ตามแนวทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือไม่ทำให้เป็นที่สุดในฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยไม่ปล่อยให้เกลือกกลั้วกับความสะดวกสบายในทางโลกสุดโต่งแบบกามสุขขัลลิกานุโยคไม่ทำให้เป็นที่สุดในฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยทำตัวให้คับแค้นทั้งกายและใจแบบทุกกรกิริยาให้ดำเนินทางสายกลางโดยมรรคตามแบบมัชฌิมาปฏิปทา
ภาพความทุกข์ของผู้ป่วยเกิดบาดแผลจากการถูกงูเห่ากัด(1),(2)
2.ทุกข์อันเกิดจากทุกขเวทนาในขันธ์ห้า
กองทุกข์อยู่ที่กายกับจิต คือ รูปกับนาม ในขันธ์ห้า มี รูปเวทนา(สุขเวทนา,ทุกขเวทนา) สัญญา สังขาร วิญญาณ
ทุกข์ คือ ทุกขเวทนา เกิดจากผัสสะของอายตนะกับสฬายตนะ มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตามทวารทั้ง 6แล้วทำให้เกิด รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส วิญญาณ
ตาเห็นรูปที่ไม่ชอบใจเกิดความจำได้(สัญญา)จิตคิดปรุงแต่ง(สังขาร) ทำให้เกิดทุกข์
หูได้ยินเสียงที่ไม่ชอบใจเกิดความจำได้(สัญญา)จิตคิดปรุงแต่ง(สังขาร) ทำให้เกิดทุกข์
จมูกได้กลิ่นที่ไม่ชอบใจเกิดความจำได้(สัญญา)จิตคิดปรุงแต่ง(สังขาร) ทำให้เกิดทุกข์
ลิ้นรับรสที่ไม่ชอบใจเกิดความจำได้(สัญญา)จิตคิดปรุงแต่ง(สังขาร) ทำให้เกิดทุกข์
กายสัมผัสสิ่งที่ไม่ชอบใจเกิดความจำได้(สัญญา)จิตคิดปรุงแต่ง(สังขาร) ทำให้เกิดทุกข์
ใจรับรู้สิ่งที่ไม่ชอบใจเกิดความจำได้(สัญญา)จิตคิดปรุงแต่ง(สังขาร) ทำให้เกิดทุกข์
ทุกข์เพราะผัสสะ(เครื่องต่อ) ระหว่างปัจจัยภายนอกกับปัจจัยภายใน ทุกข์เกิดจากการได้เห็นรูป ทุกข์เกิดจากการได้ยินเสียงทุกข์เกิดจากการได้กลิ่น ทุกข์เกิดจากการได้ลิ้มรสทุกข์เกิดจากการได้สัมผัสต้องตัวทุกข์เกิดจากการตรึกนึกคิดไป
ภาพความทุกข์ของผู้ป่วยเกิดบาดแผลจากการถูกงูเห่ากัด(3),(4)
3.ทุกข์ในปฏิจจสมุปบาท
กระบวนการของจิตในการเกิดทุกข์ตามวงจร ปฏิจจสมุปบาทอันเป็นเครื่องอาศัยที่ก่อให้เกิดต่อเนื่องกัน เช่น
ตาเห็นรูปที่ไม่ชอบใจ จำได้หมายรู้(สัญญา)จิตคิดปรุงแต่ง(สังขาร)เกิดทุกขเวทนา ก่อให้เกิดตัณหา(ความทะยานอยาก)จึงทำให้เกิดอุปาทาน(ความยึดมั่นหมายมั่น)
หูได้ยินเสียงที่ไม่ชอบใจ จำได้หมายรู้(สัญญา)จิตคิดปรุงแต่ง(สังขาร)เกิดทุกขเวทนา ก่อให้เกิดตัณหา(ความทะยานอยาก)จึงทำให้เกิดอุปาทาน(ความยึดมั่นหมายมั่น)
จมูกได้กลิ่นที่ไม่ชอบใจ จำได้หมายรู้(สัญญา)จิตคิดปรุงแต่ง(สังขาร)เกิดทุกขเวทนา ก่อให้เกิดตัณหา(ความทะยานอยาก)จึงทำให้เกิดอุปาทาน(ความยึดมั่นหมายมั่น)
ลิ้นรับรสที่ไม่ชอบใจ จำได้หมายรู้(สัญญา)จิตคิดปรุงแต่ง(สังขาร)เกิดทุกขเวทนา ก่อให้เกิดตัณหา(ความทะยานอยาก)จึงทำให้เกิดอุปาทาน(ความยึดมั่นหมายมั่น)
กายสัมผัสสิ่งที่ไม่ชอบใจ จำได้หมายรู้(สัญญา)จิตคิดปรุงแต่ง(สังขาร)เกิดทุกขเวทนา ก่อให้เกิดตัณหา(ความทะยานอยาก)จึงทำให้เกิดอุปาทาน(ความยึดมั่นหมายมั่น)
จิตรับรู้สิ่งที่ไม่ชอบใจ จำได้หมายรู้(สัญญา)จิตคิดปรุงแต่ง(สังขาร)เกิดทุกขเวทนา ก่อให้เกิดตัณหา(ความทะยานอยาก)จึงทำให้เกิดอุปาทาน(ความยึดมั่นหมายมั่น)
กระบวนการต่างๆที่เกิดขึ้นนี้รวดเร็วมากเปรียบได้กับการกระพริบตาที่ว่าเร็วแล้วกระบวนการเกิดเหล่านี้เร็วยิ่งกว่า สำหรับผู้ที่มีสติมีปัญญา ก็จะสามารถตัดวงจรออกได้โดย
ตาเห็นรูปที่ชอบใจไม่ชอบใจเกิดสัญญา(จำได้หมายรู้)สำรวมระวังเหตุที่เข้ามากระทบหยุดด้วยสติรู้เท่าทันใช้ปัญญาบอกจิตเป็นเพียงว่า สักแต่รูปน้อมลงสู่ไตรลักษณ์ มีเกิด แปรปรวนและดับไปเป็นธรรมดา
หูได้ยินเสียงที่ชอบใจไม่ชอบใจเกิดสัญญา(จำได้หมายรู้)สำรวมระวังเหตุที่เข้ามากระทบหยุดด้วยสติรู้เท่าทันใช้ปัญญาบอกจิตเป็นเพียงว่า สักแต่รูปน้อมลงสู่ไตรลักษณ์ มีเกิด แปรปรวนและดับไปเป็นธรรมดา
จมูกได้กลิ่นที่ชอบใจไม่ชอบใจเกิดสัญญา(จำได้หมายรู้)สำรวมระวังเหตุที่เข้ามากระทบหยุดด้วยสติรู้เท่าทันใช้ปัญญาบอกจิตเป็นเพียงว่า สักแต่รูปน้อมลงสู่ไตรลักษณ์ มีเกิด แปรปรวนและดับไปเป็นธรรมดา
ลิ้นรับรสที่ชอบใจไม่ชอบใจเกิดสัญญา(จำได้หมายรู้)สำรวมระวังเหตุที่เข้ามากระทบหยุดด้วยสติรู้เท่าทันใช้ปัญญาบอกจิตเป็นเพียงว่า สักแต่รูปน้อมลงสู่ไตรลักษณ์ มีเกิด แปรปรวนและดับไปเป็นธรรมดา
กายสัมผัสสิ่งที่ชอบใจไม่ชอบใจเกิดสัญญา(จำได้หมายรู้)สำรวมระวังเหตุที่เข้ามากระทบหยุดด้วยสติรู้เท่าทันใช้ปัญญาบอกจิตเป็นเพียงว่า สักแต่รูปน้อมลงสู่ไตรลักษณ์ มีเกิด แปรปรวนและดับไปเป็นธรรมดา
ใจรับรู้สิ่งที่ชอบใจไม่ชอบใจเกิดสัญญา(จำได้หมายรู้)สำรวมระวังเหตุที่เข้ามากระทบหยุดด้วยสติรู้เท่าทันใช้ปัญญาบอกจิตเป็นเพียงว่า สักแต่รูปน้อมลงสู่ไตรลักษณ์ มีเกิด แปรปรวนและดับไปเป็นธรรมดา
ทำไมจึงต้องพิจารณาทุกข์?
เพราะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบธรรมอันเป็นความจริง 4 ประการ มีทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคการจะกระทำสิ่งใดๆให้สำเร็จจำเป็นต้องรู้ปัจจัยนำเข้า กระบวนการปัจจัยนำออก และผลผลิตให้ชัดเจน ปัจจัยนำเข้าคือทุกข์มาผ่านกระบวนการตามทางของมรรค ปัจจัยนำออกคือนิโรธผลผลิตที่ได้คือมรรคผลนิพพาน ฉะนั้นเราจึงต้องพิจารณาทุกข์ให้เข้าใจแจ่มแจ้งเสียก่อนเพราะทุกข์คือสิ่งที่เราจะต้องดับ แล้วเราจะดับอะไรถ้าไม่รู้ในสิ่งที่จะดับ ก็อาจจะทำให้ดับผิดที่ ดับผิดเป้าหมายหลังจากนั้นค่อยพิจารณา เหตุแห่งทุกข์ และมรรคเป็นลำดับไป
ขอเราจงอย่าประมาท ชีวิตนี้ชั่วฟ้าแลบชีวิตนี้ชั่วกระพริบตา เท่านั้น
โดย
สักทองร่มไม้ใหญ่ใกล้ทาง
รูปที่นำมาฝากนี้ เป็นรูปที่ทำให้พิจารณาอสุภะได้ดีเลยค่ะ
ขอบคุณที่นำมาเตือนกันให้เห็นชัดๆ นะคะ
ขอเราจงอย่าประมาท ชีวิตนี้ชั่วฟ้าแลบ ชีวิตนี้ชั่วกระพริบตา
...................
อ่านแล้วเตือนสติ อย่างดีเยี่ยมคะ
โลกนี้เป็นมหาสมุทรแห่งความทุกข์
ผู้มีสติตื่นรู้ สามารถบรรเทาทุกข์
ขอบคุณที่บันทึกนี้เตือนสติให้รู้จักเหตุแห่งทุกข์ และการจัดการกับความทุกข์ครับ
เมื่อใดมีการเกิดเมื่อนั้นย่อมมีทุกข์
เกิดดีก็ทุกข์
เกิดไม่ดียิ่งทุกข์...
สาธุ สาธุ สาธุ
แวะมาเยี่ยมค่ะ
เพื่อหาเหตุแห่งทุกข์
สวัสดีครับคุณ คนไม่มีราก ลองพิจารณาทุกข์ดูนะครับว่าคืออะไร
สวัสดีครับคุณ paleeyon ผู้ที่มีสติตื่นรู้เท่านั้นที่จะบรรเทาทุกข์ได้จริงๆ ครับ
ขอบคุณคุณ กวิน ครับ ที่เข้ามาติดตามอ่านบันทึก
นมัสการพระอาจารย์ สุญญตา...นับว่าเป็นพระคุณอย่างยิ่งที่ท่านได้มีเมตตาให้ข้อคิด ให้ธรรมะ ในข้อคิดเห็นในบันทึกนี้ครับ กระผมก็จะได้นำเอาข้อธรรมที่ท่านกล่าว ไปพิจารณาทบทวนเนืองๆ ครับ
ท่าน ทนัน ภิวงศ์งาม ครับ กระผมต้องขอขอบคุณท่านอย่างมากครับที่ได้มาเสริมข้อธรรมะ และแง่คิด เพื่อให้บันทึกมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ขอขอบคุณครับ
สวัสดีครับท่าน ครูเอ ขอบคุณครับที่ได้มาเยี่ยมบันทึกเพื่อหาเหตุแห่งทุกข์ เมื่อหาเหตุเจอแล้วอย่าลืมหาทางดับทุกข์ ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
ขอให้คุณพระคุ้มครองท่านและครอบครัว จงอยู่รอดปลอดภัยตลอดไปนะครับ
โอ้...เกรงใจจังเลยครับ ท่าน ทนัน ภิวงศ์งาม
ก็ขอขอบพระคุณท่านเป็นอย่างสูงเลยที่มาเยี่ยมถึงบ้านและนำพระเครื่องติดไม้ติดมือมาฝาก พระปิดตาผมยิ่งชอบมากด้วยครับ ความหมายดี เตือนตนดี ที่ผมใช้อยู่ก็มีของหลวงปู่โต๊ะ,หลวงพ่อมุ่ย,และก็พระปิดตางาแกะหลวงพ่อเดิม...ครับ
เรียนท่าน ทนัน ภิวงศ์งาม ที่เคารพยิ่ง
กระผมได้นำภาพพระปิดตามาให้ท่านชมแล้วนะครับ
พระปิดตางาแกะหลวงพ่อเดิมวัดหนองโพ (ด้าน หน้า - หลัง)
หระปิดตาหลวงปู่โต๊ะวัดประดู่ฉิมพลี (หน้า - หลัง)
พระปิดตาหลวงพ่อมุ่ย (หน้า - หลัง)
การสะสมพระเครื่องพระบูชาของกระผม มีวัตถุประสงค์เพื่อ
1.เพื่อระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า
2.เป็นที่เคารพสักการะกราบไหว้บูชา
3.เพื่อศึกษาพุทธศิลป์ในแต่ละยุคสมัย
4.กระทำด้วยความเคารพบูชาไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการค้า
5.เพื่อกล่อมเกลาให้เป็นผู้มีสติ มีจิตใจเยือกเย็นและอ่อนโยน
6.ถูกปลูกฝังและถ่ายทอดมาแต่บรรพบุรุษ
7.มีความรักและชอบการสะสมพระเครื่องพระบูชา
ขอบคุณสำหรับความรู้ด้านพระธรรมที่นำมาเผยแผ่ให้ได้รับความรู้ และความเข้าใจแห่งแก่นแท้ของพุทธศาสนาค่ะ ขออนุโมทนานะคะ