วันจันทร์ที่ผ่านมา ได้รับข่าวเจ็บป่วยของคุณแม่อาจารย์รุ่นพี่ที่รักใคร่กัน...อยากถ่ายทอดคำพูดของอาจารย์ท่านไว้เพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจอีกเรื่องหนึ่ง
อาจารย์เล่าว่า
"เมื่อวันเสาร์ ตอนเย็นนั่งกินข้าวอยู่ แม่ก็บอกว่าจะไปอาบน้ำและไปดูทีวีในห้องนอน......สักพักก็ได้ยินเสียงตุ๊บเหมือนมะพร้าวตกพื้น...เสียงแม่ร้อง โอ๊ย....หันไปดูหน้าห้องน้ำใจหายวาบ....แม่นอนหงายขางอ มือเหยียดอยู่ที่พื้น....รีบวิ่งไปประคองจะขยับก็กลัวว่ามีกระดูกแตก...ถามว่าเจ็บที่ไหนก็บอกว่าเจ็บก้นและหลัง.....แต่พอจะช่วยพยุงนั่งก็บอกว่าเจ็บร้องโอ๊ยๆ ..แขนสองข้างก็ไม่มีแรง กว่าจะช่วยกันกับหลานอุ้มขึ้นรถได้หนักมาก"
"รีบพาแม่ไปห้องฉุกเฉินที่โรงพยาบาล(ระดับมหาวิทยาลัย) หมอก็พยายามถามเรื่องอุบัติเหตุจากแม่...แต่แม่ก็จำไม่ได้ ..คือปกติแม่ก็ขี้ลืมอยู่แล้ว และเวลาที่หมอมาตรวจก็เป็นเวลาที่ปกติแม่จะหลับลึก ตอนนั้นไปรอห้องฉุกเฉินสองชั่วโมงกว่าจะได้ตรวจ กว่าจะตรวจเสร็จมันเที่ยงคืนแล้ว...แล้วตอนหมอถามอะไรแม่ก็ไม่ค่อยลืมตา ไม่ค่อยตอบ คืออะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้ ง่วงตลอด....พี่ก็พยายามอธิบายเหตุการณ์ให้หมอว่าได้ยินเสียงตุ๊บ สงสัยหัวกระแทกพื้น...หมอหันมาดุว่า ญาติไม่ต้องพูดเพราะไม่ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ....จากนั้นหมอก็ส่งเอกซ์เรย์หลังแล้วให้นอนสังเกตอาการ 48 ชั่วโมง...พี่ก็ถามว่ากลับไปสังเกตที่บ้านได้ไหม...หมอก็ว่าได้แต่ต้องให้นอนสังเกตตลอด 48 ขั่วโมงนะ....ก็เลยพาแม่กลับบ้าน"
"วันอาทิตย์กับเมื่อเช้าวันจันทร์ก็มีน้องและหลานสังเกตตลอด แม่ก็นอนพยายามให้พลิกตัวไปมา แต่ถามอะไรก็ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยตอบเหมือนเดิม...ตอนเย็นหลานโทรมาร้องไห้ว่า ยายนอนตาเหลือก สำลัก....รีบบอกให้ขอรถฉุกเฉินไปส่งโรงพยาบาล....."
"รถไม่ยอมพามาส่งที่โรงพยาบาล(เอกชนในเมือง)ทันที เขาบอกว่ามีสำลักกลัวอันตราย เลยเลี้ยวเข้าโรงพยาบาลแรกที่อยู่ในเส้นทาง (โรงพยาบาลประจำจังหวัด) พอไปถึง..เห็นแม่ไม่รู้สึกตัว แขนซ้ายไม่มีแรง....พี่ก็คิดว่าไม่มีเหลือแล้ว หลานก็ร้องไห้ตลอด...พอไปถึงพยาบาลก็ตามหมอมาเลย...หมอก็ใส่ทิวบ์ (ท่อหายใจ) ให้อ๊อกซิเจน ทำ CT Scan และเอกเรย์ปอด....ปรากฎว่า มีปอดบวมทำงานได้ 70% และผล CT บอกว่ามีเลือดออกใต้ชั้นเยื่อหุ้มสมอง จะต้องผ่า แล้วพอแม่ได้อ๊อกซิเจนก็รู้สึกตัวขึ้นมา"
"เลยขอหมอว่าจะมาที่โรงพยาบาล(เอกชนในเมือง) ก็ถามว่า ระหว่างทางจะอันตรายไหม หมอก็บอกว่าได้เดี๋ยวผมจะโทรประสานงานข้อมูลคนไข้ไปให้พี่ก็ขอบคุณหมอ หมอตอบว่าด้วยความยินดีครับ.."
"พอมาถึงโรงพยาบาล(ในเมือง) ประทับใจมากเลย...เขาได้ข้อมูลจากหมอกับที่เราโทรไปล่วงหน้า เขาประสานงานมีทีมหมอนิวโร(ศัลยกรรมประสาท) กับพยาบาลลงมารอพร้อมที่ห้องฉุกเฉิน เขาก็ทันทีส่งขึ้นไอซียู แล้วก็ดูแลทุกอย่าง ...เรื่องความดัน เรื่องเบาหวาน เรื่องปวดหลังกับเรื่องสมอง...พอถามว่าต้องมีพยาบาลพิเศษไหม หมอบอกว่าไม่ต้องเพราะทีมพยาบาลที่มีนั้นเก่งอยู่แล้ว..พอถามพยาบาลว่าหมออะไรเก่งที่สุด พยาบาลก็บอกว่าหมอที่นี่เก่งทุกคนแต่มีวิธีการต่างกันไปบ้างเท่านั้นเอง...คือฟังแล้วรู้สึกชมเขามากนะที่ต่างฝ่ายต่างให้เครดิตกัน เลยทำให้เราไว้วางใจไปด้วย....นี่ถ้าต่างคนต่างไม่ยอมรับกันพี่ก็คงกลัวว่าแม่เราจะเป็นอย่างไร"
"ตอนเช้ามาแม่ก็อาการดี รู้สึกตัว ความดัน น้ำตาลกลับเป็นปกติ เจอหมอเจ้าของไข้ ก็อธิบายรายละเอียดอาการของแม่ พี่เลยถามว่า หมอ พี่ถามหน่อยเถอะว่า ถ้าแม่พี่เป็นญาติหมอ หมอจะผ่าตัดไหม หมอบอกว่าผ่า พี่ก็บอกหมอว่า พี่ต้องการสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่พี่จะทำให้กับแม่ได้ เพื่อจะได้ไม่รู้สึกผิดมากไปกว่านี้ที่พาแม่มาโรงพยาบาลช้า หมอบอกว่าไม่ช้าหรอกครับ ..พี่เลยรู้สึกว่าค่อยยังชั่ว คือว่าถึงแม้ว่าเราจะรู้ว่าเราชะล่าใจไป แต่หมอก็ไม่ได้พูดอะไรซ้ำเติมเราเลย"
......**********************.......................
สามโรงพยาบาล.... สามเวลา.... สามสถานการณ์......กับหนึ่งชีวิตของคนไข้และอีกหลายชีวิตของญาติ.....
***********************
โรงพยาบาลแรก(ระดับมหาวิทยาลัย)...รับเข้าห้องฉุกเฉิน สัมภาษณ์อาการ และส่งตรวจตามที่วินิจฉัย....สั่งการรักษา....การประเมินความรุนแรงของอาการต่ำกว่าความเป็นจริงเพราะไม่ฟังข้อมูลจากญาติ
************************
โรงพยาบาลที่สอง(ประจำจังหวัด) ...รับเข้าห้องฉุกเฉิน สัมภาษณ์อาการ แก้ไขปัญหา ส่งตรวจวินิจฉัย สั่งการรักษา ช่วยเหลือตามอาการและช่วยเหลือตามความต้องการของญาติ มีการส่งต่อข้อมูลให้โรงพยาบาลที่สาม(แม้ว่าจะเป็นเอกชนในเมือง)
**********************
โรงพยาบาลที่สาม....ได้รับการติดต่อล่วงหน้า ประสานงานมีทีมผู้เชี่ยวชาญลงไปรอรับสถานการณ์ที่ห้องฉุกเฉิน ให้ข้อมูล ให้ความเห็น และให้ความมั่นใจญาติ
**********************
เรื่องนี้สำหรับตัวเองแล้ว...สอนให้รู้ว่า "ต้องฟังข้อมูลจากญาติด้วย"
คุณๆละคะ....คิดว่าอย่างไรบ้าง
อ่านจบนานแล้ว
ก็คิดอยู่ว่าจะแสดงความคิดเห็นดีไหม
อื้มม...เอาเถอะนะ blog พี่สร้อยเราเอง อิอิ มีไรไม่เหมาะขอให้ลบข้อความได้เนาะ
หนิงเองก็เคยอุบัติเหตุขับรถล้มค่ะ ตอนจะไปลงทะเบียนในมอ (ถนนมีสโลพเยอะ คงลื่นล้มเองอ่ะค่ะ ) ไม่รู้นานแค่ไหนกว่าคนไปพบ เพราะหนิงไปคนเดียวอ่ะค่ะ จำได้แค่ตอนที่มาอยู่ ER แล้ว หมอก็ถามอยู่นั่นแหละว่า หมดสติไหม นานแค่ไหน
หุหุ เราเองก็จบพยาบาลอ่ะนะ เราก็เข้าใจหรอกว่าหมออยากถามเราเพื่อเช็คสติเรา แต่ก็เราจำไม่ได้นิ ก็บอกได้แค่ว่า ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ยังงงด้วยซ้ำว่า เอ๊ะ..เจ็บเข่า เอ๊ะ...ทำไมเรามาอยู่ที่ ER
พยาบาลคงเห็นว่า เราใช้คำว่า ER คงนึกฉุกใจว่าเราคงคนแวดวงมั้ง เขาก็ถามเราว่า มีญาติไหม ใครนำส่ง เราก็ได้แต่บอกว่าไม่รู้ รู้แต่ว่าเราจะไปลงทะเบียนเรียน เราเรียนที่นี่ (หนิงอยู่ในชุดไปรเวทค่ะ ป.โทใส่ชุดไปรเวทเรียน ) เขาถามต่อก็เลยบอกว่าเรียนที่สวนดอกนี่แหละค่ะ เขามีน้ำใจโทรตามเพื่อนๆและ อ.ที่ปรึกษาให้
แต่เชื่อไหมคะ
หนิงจำได้ว่าหนิงอ่านหนังสือจนเช้า (ไม่ดีๆ ) แล้วรีบไปลงทะเบียน ไม่น่าจะเกิน 9 โมง ( เพราะคิวเยอะมากต้องรีบไปเช้าๆ ) ยังไม่ทันถึงก็รถล้ม แต่ตอนเพื่อนๆ มาหาหนิงที่ ER เขาบอกกันว่า ก่อนเที่ยงมากันเกือบครบเพราะพวกเราชอบรวมตัวกันไปทานข้าวค่ะ (มีกัน 7 คน)
หนิงไม่รู้หรอกค่ะว่าหนิงหมดสติไปนานแค่ไหน แต่ตอนนั้นก็ปวดขามาก ทรมานมาก เขาก็เอายามา sedate เราอยู่ จะให้เราตอบอะไรมากมายเนอะ ดูเราจาก v/s แล้ว พยานแวดล้อม ญาติ หรือเวลาสถานการณ์เทียบก็น่าจะช่วยได้นี่นา
วันนั้นobserve อยู่ ER จนเย็น อ.ที่ปรึกษามา ถึงได้ขึ้น ward รอ OR-on call ค่ะ ปวดขามาก และ sedateตลอด จำได้ว่า มีรุ่นพี่มาเยี่ยมและขอกลับไปตอนหมดเวลาเยี่ยม และจากนั้นก็เบลอๆตลอดค่ะ รู้ว่าเขาพาไปผ่าตัดนะ และรู้ตัวอีกที ตอนเช้าค่ะ ออกจาก OR (ไม่รู้เข้าไปเมื่อไหร่ 555 ) และเขาพามาส่งที่ ward เจอคุณแม่มาแล้ว (เดินทางทันทีที่ได้รับแจ้งว่าหนิงอุบัติเหตุ ใช้เวลา 12 ชม จากบ้านค่ะ )
รู้ทีหลังว่า OR ตอนเวรดึก เกือบตีหนึ่งอ่ะค่ะ เพราะห้องผ่าตัดไม่ว่าง ก็เห็นใจนะคะ คงมีคนที่ต้องผ่าด่วนกว่าเรา แต่สงสัยว่า ก็เมื่อ sedate เราซะขนาดนั้น จะมาถามเช็คสติอะไรเรานัก เนอะ น่าจะถามญาติๆก็ได้...
กว่าจะออกจากรพ.ได้ กว่าจะรักษาตัวให้หายดี (หรือป่าว) หนิงเลยจบชีวิตนักศึกษาบัณฑิต สรีรวิทยาทางการแพทย์วันนั้นแหละค่ะ
และจากอุบัติเหตุครั้งนี้ อีก 1 ปีต่อมาหนิงก็มีอาการทางสมอง หมอฯ(อีกรพ.) MRI ดูบอกว่ามาจากรอยช้ำที่ลิ่มเลือดกดทับเนื้อสมองบางส่วน สมองไม่มีเส้นเลือด ถ้าเลือดออกก็จะคั่งอยู่นานกว่าจะดูดซึม นั่นก็คือกดอยู่นานพอสมควร
หุหุ ไม่รู้เลย เพราะตอนนั้นจำได้ว่าไม่ได้ เอ็กซเรย์สมองเลยค่ะ
สวัสดีครับอาจารย์
เล่าเรื่องดีละเอียดดีมากครับ อ่านแล้วเห็นภาพที่ชัดเจน
ได้เรียนรู้และได้แง่มุมหลายอย่างครับ
เป็นบทเรียนที่ดีสำหรับผมเองครับ
ขอบพระคุณมากครับ
ละเอียดละออยิบ
ถ้าตกเตียงจะเรียก อ.สร้อย มาบันทึกประสบการณ์
อาจารย์จันทรรัตน์ ครับ
สวัสดีครับอาจารย์
ผมว่ายังมีรูโหว่บนเสื้อกาวน์ อีกหลายครับ(อันนี้หมายรวมถึงทั้งระบบนะครับ) แต่อยากใช้คำนี้ครับตั้งใจเอาไว้ว่าจะทำรวมเรื่องสั้นใช้ชื่อนี้สักเล่ม ยกตัวอย่างกรณีศึกษาจากความพลาดของหมอ ทีมงาน ญาติ และคนไข้เอง
ผมเองก็มีประสบการณ์ที่เจ็บปวดกับการวินิจฉัยของหมอครับ แต่เมื่อหลายปีก่อน
แม่มีอาการน้ำหนักลด เบื่ออาหาร ก็พาไปหาหมอตั้งแต่โรงพยาบาลอำเภอ แล้ว refer มาที่รพ.ศูนย์ อาศัยที่เราเคยเป็นPN ก็เข้าห้องตรวจ OPD กับแม่ด้วย ห้องทางmed ครับ อาจารย์ท่านDx ว่าเป็นโรคคิดถึงลูกชาย(ผม) เพราะช่วงนั้นผมจากบ้านเข้ากรุงใหม่ๆ
ปรากฎว่าอาการแม่แย่ลงเลยพากลับมาอีกหลังจากครั้งแรกประมาณหนึ่งเดือน ผลการตรวจพบว่าเป็น CA Stomach โตมากทำอะไรไม่ได้แล้ว ก็ทำ เจจูโนโตมี on tube ให้มาfeedอาหารที่บ้านได้อีกระยะหนึ่งเท่านั้น
อันนี้ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ เป็นการพลาดในการวินิจฉัย และเป็นความพลาดของญาติที่ไม่รีบพามาครั้งที่สอง
แต่ก็น่าเห็นใจหมอท่านนะครับเพราะออกโอพีดีแต่ละวันคนไข้หลั่งไหลมาให้ตรวจมากเกินกำลังจริงๆ
ขอบคุณที่เปิดประเด็นให้ได้ถ่ายทอดครับ
ขอบคุณทุกๆท่านค่ะ
น้องหนิง...เรื่องของน้องมีพลังมากเลย..พี่จะไม่ลบแน่นอน.....
คุณหมอ kmsabai คะ ....คุณหมอทำได้และทำอยู่แล้วแน่ๆ ...ฝากลูกทีมอ่านเรื่องนี้ด้วยนะคะ....เรื่องนี้มีละเอียดเพราะว่า ..ใช้เทคนิค "ฟังและ in-depth interview" เพื่อช่วยให้อาจารย์เล่าระบายความรู้สึกผ่อนถ่ายความเครียดความรู้สึกต่างๆ ออกค่ะ...เลยมีรายละเอียดมาก...เป็นmethod ที่ apply จากงาน feminist research ที่ทำอยู่...ที่ผลจะทำให้เกิด self empowerment ...แต่จะทำได้ต้องมี trust ก่อนค่ะ...รายละเอียดที่ถึงบุคคลจะตัดทิ้งเพราะเป็น confidentiality
คุณ conductor คะ....คำถามนั้นบางทีเพราะต้องการวัด ระดับความรู้สึกตัวของผู้ป่วยมากกว่าค่ะ...เป็นตัวหนึ่งของการต้องวัดในผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุและคาดว่ามีอันตรายที่ศีรษะ
ท่านครูบาคะ...ถ้าหลับฝันว่าถูกเทวดาสงเคราะห์ผลักตกเตียงก็กรุณาเล่าให้ฟังด้วยว่าเลขเด็ดอะไรด้วยนะคะ....ผู้บันทึกเริ่มอยากรวยทางลัดค่ะ....อิอิ
อาจารย์เต็มศักดิ์คะ เข้าใจสิ่งที่อาจารย์เขียนค่ะ....ในวงการเราเอง..เราย่อมรู้ว่าในสถานการณ์หนึ่งๆ มีตัวแปรมากกว่าจะมาระบุว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากปัจจัยเดียวนำ....เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นแม้จะเล็กๆน้อยๆ การทบทวนและนำไปใช้...ไม่ใช่การตำหนิแน่นอนค่ะ....สามสถานการณ์มีทั้งจุดแข็งจุดต้องปรับปรุงแตกต่างกันไป....จริงไหมคะ
คุณ paleeyan คะ ขอแสดงความเสียใจกับคุณและครอบครัวที่สูญเสียคุณแม่นะคะ....เหตุที่เกิดขึ้นย่อมมีเหตุมีปัจจัยมีวิบากกรรมในสิ่งนั้นๆ เสมอ...รูโหว่บนเสื้อกาวน์....คงเป็เนรื่องสั้นที่ทีมบริการพยาบาลพลาดไม่ได้ค่ะ....เป็นกำลังใจให้เขียนค่ะ
แถมท้ายสักนิดว่า.....
ปัจจุบันอัตราเสียชีวิตและเจ็บป่วยจากอุบัติเหตุเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ...และถ้ามองไปข้างหน้าไม่ไกลนัก..คากการณ์จากนี้ไม่เกิน สิบห้าปี...เมื่อประชากรสูงอายุไทยจะโด่งนำประชากรช่วงอายุอื่นๆ ....เรื่องของการระวังอุบัติเหตุ การดูแลผู้สูงอายุที่หกล้ม ที่ประสบอุบัติเหตุจะเป็นเรื่องเร่งด่วนสำหรับบริการสุขภาพ.....การเตรียมความพร้อมสำหรับเรื่องนี้...ถามว่ามีพอหรือยัง..คิดว่ายังค่ะ.....
การเตรียมพร้อมต้องครอบคลุมญาติด้วย....
มีคำแนะนำที่น่าเข้าอ่าน ทั้งนักบริการสุขภาพและญาติ
และสำหรับญาติ...สงสัยว่าแล้วแค่ไหนหรืออย่างไรถึงเป็น score ของ GCS เชิญดูจาก guideline สั้นๆ จากตรงนี้http://sign.ac.uk/pdf/qrg46.pdf ค่ะ
แต่เวลาเจอคนไข้แต่ละรายมันย่อมมีมากกว่า guideline แน่ๆ ขึ้นกับสถานการณ์....เท่าที่อาจารย์เขาเล่าให้ฟัง....ในแต่ละสถานการณ์...ทีมแพทย์และพยาบาลได้ทำตามศักยภาพที่ตนมี.....บางทีมแทรกเรื่องของความให้เกียรติผู้ร่วมงาน...บางทีมรวมญาติเข้าไปเป็นทีมของการดูแลด้วย....บางทีมสร้างความมั่นใจให้กับญาติได้..คือดูแลทั้งคนไข้และญาติไปพร้อมๆกัน....
คำว่าองค์รวมในระบบบริการสุขภาพ...ที่พูดๆกันมาก....เริ่มเห็นชัดขึ้นในหลายๆ ที่แล้ว....คนไข้และญาติจะบอกได้เองว่าได้รับมากน้อยอย่างไร.......ที่เราเคยคุยกันว่า.....ดัชนีชี้วัดต่างๆ..เรื่องคุณภาพบริการ......ต้องรวมผู้รับบริการด้วย.....ก็เพระอย่างนี้ด้วย....อย่างนั้นไหมคะ
อยากเรียนว่า
การไม่ฟังญาติหรือผู้ป่วยนั้นไม่ถูก ควรฟังแต่ต้องเลือกเก็บข้อมูล เนื่องจากคนไทยมักให้ข้อมูลที่เจือความคิดส่วนตัวลงไปจนอาจบิดเบือนได้ ผมเคยได้ข้อมูลจากคนไข้เป็นโรคเรื้อนกวาง เขาบอกว่าเขามีอาการครั้งแรกหลังถูกรถชนได้สองสามวัน เขาเชื่อปักใจว่ารถชนเป็นสาเหตุของโรค ข้อมูลซักประวัติที่ให้เลยมีแต่เรื่องรถชนเมื่อหลายปีก่อน ไม่เกี่ยวกับโรคเลย
กรณีนี้การไม่ฟังญาติกับการดำเนินโรคไม่เกี่ยวกันนะครับ กรุณาอย่าเชื่อโยงถึงกัน เดี๋ยวจะสับสน เรื่องนี้หมอคนแรกบอกให้ดูอาการ เมื่อพบว่าผิดปกติก็รีบพามารพ.น่ะคุณทำก็ถูกแล้ว กรุณาแยกแยะด้วย
สวัสดีค่ะ คุณมงคล
ขอบคุณที่แวะมาอ่านและให้ความเห็นนะคะ...ทุกความเห็นมีคุณค่าเสมอ....เพิ่มมุมมองและแนวคิด...
ฟังแต่เลือกเก็บข้อมูล...เข้าใจว่าคุณคงหมายถึงการแยกแยะข้อมูลที่สำคัญที่เป็นเหตุนำมาหาหมอ...และแยกข้อมูลที่"อาจจะไม่ใช่" ออกไป ก่อนจะวินิจฉัย..ใช่ไหมคะ....
สำหรับเรื่องความเชื่อของคนที่มีต่อสุขภาพของตัวเองนี้....ดิฉันมีความเห็นส่วนตัวว่า......พฤติกรรมสุขภาพของคน (ทั่วโลกไม่เฉพาะคนไทย) ..มักขึ้นอยู่กับการให้ความหมายของโรค และของสุขภาพของเขาเป็นเบื้องต้น.....ซึ่งสิ่งที่บุคคลเชื่อไปกันเช่นนั้น...อาจจะผิดในสายตาของแพทย์และพยาบาลที่รักษาโรค....แต่ความเชื่อเช่นนั้น จะเป็นข้อมูลสำคัญที่จะพาไปสู่ความเข้าใจ "ความเป็นคน" ของผู้มารับบริการ
คนทั่วๆไป...ที่ไม่ได้เรียนแพทย์อาจจะไม่ทราบหรอกค่ะว่า ความเชื่อของตนเกี่ยวกับโรคไหม...เพราะไม่รู้หรอกว่าโรคที่หมอรักษามันคืออะไร.....คนที่จะช่วยเขาได้ดีก็คือคนที่รู้.......จริงไหมคะ