เรียนประวัติศาสตร์แบบไร่นาสวนผสม เกษตรสมรม


วิชาประวัติศาสตร์ เป็น เครื่องมือ ของทุกหมวดวิชา

ผมเอง ก็ไม่รู้  ไปมีชื่ออยู่ในชมรมประวัติศาสตร์ได้ไงนะครับ   แต่  ก็สนใจเรื่องประวัติศาสตร์มาตั้งแต่เล็กๆ  

ผมอ่านหนังสือ "ไทยรบพม่า" จบตั้งแต่ ประถม ๗ (สมัยนั้น  เป็นระบบ ป ๑ถึง ๗ และ มศ ๑ ถึง ๕    แต่ ถ้า  สมัยพ่อแม่ผม ก็ต้อง มีถึง ม ๘    สมัยลูก กลายเป็น ม ๖  ..... 'งง" กับพวก schooling ที่ชอบ srew up จริงๆ)

สมัยนี้ ก็ยังอ่าน หนังสือศิลปะวัฒนธรรม  อยู่เรื่อยๆ    ตู้หนังสือของผม นอกจาก ธรรมะ  ลองลงมาก็ ประวัติศาสตร์  กำลังภายใน และ บริหารงาน

และ ผมก็ยังเข้าเว็ป pantip ห้องประวัติศาสตร์ อยู่เนืองๆ

ไปไหนมาไหน ทั่วโลก ทั่วไทย  ก็ชอบเข้า Museum  อ่าน ประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นแถวๆนั้น

เกมส์ที่เล่นในคอมพิวเตอร์  ก็เป็นเกมส์ ที่ฉากแบบโบราณ  ประวัติศาสตร์   เป็น กรีกบ้าง จีนบ้าง

************************************

ในความเห็นของผม ความเชื่อของผม ทิฏฐิของผม  เกี่ยวกับประวัติศาสสตร์   ดังนี้

(๑) เป็นวิชาที่จ๊าบมาก  ถ้า เราใช้เป็น tools  /  วัตถุดิบ / ข้อมูล ในการเรียนการสอนแบบ สมรม (สุมๆ รุมๆ โยนๆลงไป  ทับถมลงไป  แกงโฮะ จับฉ่าย  เกษตรคอนโด  เกษตรปราณีต  ไร่นาสวนผสม  เกษตรสับสน  ฯลฯ)......   นั่นคือ    ถ้า จับตอนใด ตอนหนึ่งของประวัติศาสตร์  ออกมาเป็น"หัวปลา"  เป็นต้นตอของการแตกกิ่ง แตกราก ไปวิชาอื่นๆได้อย่างสนุกสนาน  ตามอัธยาศัย ของผู้เรียน  (เขียน Free mind / mind map) ออกมาได้ไม่รู้จบ

ผมนึกถึง โรงเรียนแนวธรรมชาติ เช่น รุ่งอรุณ โต๊ะโตะจัง ฯลฯ ที่ เอา Pizza มาเป็นหัวปลา เป็น Theme แล้ว ฉีก ออกเป็นวิชาต่างๆ  เช่น ภาษาอังกฤษ ( ในห้องครัว ในร้านขายpizza  )    ประวัติศาสตร์  (ของ อิตาลี   อเมริกัน ไทย   ที่เกี่ยวกับ pizza)   .......

วิชาประวัติศาสตร์นั้น  เป็น ความเชื่อของคนกลุ่มหนึ่ง  ว่า มันเป็นเช่นนั้น   แต่  เราก็เอามาตีพิมพ์ นำเสนอกันเสียจน  เด็กๆ เชื่อและท่องจำ ว่ามันเป็นจริง

ผมแนะนำว่า น่าจะสอนให้เด็ก เห็นว่า  กลุ่มนักประวัติศาสตร์ทีมนี้ ว่าแบบนี้   กลุ่ม ฯ นั้นว่าแบบนั้น ด้วยเหตุผลแบบนี้    คนนี้ อาศัยหลักฐานนี้ จึงฟันธงว่า เหตุการณ์ตอนนั้นเป็นแบบนี้ ....  ไม่ใช่ เขื่อตำราเรียน  กัน จน "คิดไม่เป็น" 

นึกถึงท่านมุ้ย  ที่ท่านทรงแสดงความเป็น นักเรียนรู้   ในการค้นคว้าเรื่อง พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง  และ เรื่องอื่นๆ ( ซื้อ VCD เบื้องหลัง ถ่ายทำ ตำนานสมเด็จพระนเรศวร ฯ )     ท่านมุ้ย อธิบายดีครับ  ในเรื่อง  "ความหลากหลาย" ทางความเห็น   และ "เคารพความแตกต่าง"  เมื่อคิดไม่ตรงกันอย่าโจมตีกัน

ผมอยากเน้นว่า อย่าเชื่อ ประวัติศาสตร์ที่สอนๆกันนัก  ให้หัดคิดวิเคราะห์   ใช้หลักการวิจัย (Research  Methodology)   ให้เด็กไทย มี นิสัย นักวิจัยค้นคว้า   ไม่ใช่  "จำ"  หรือ  คิดตรงกับครู 

๒)   ประวัติศาสตร์ไทย กับประเทศเพื่อนบ้าน    เขียน เน้น ลงแต่เรื่อง อกุศลเยอะมาก      มีแต่รบกันฆ่ากัน

ทำไม ไม่เขียนเรื่องน่ารัก น่ารัก   เช่น ไทยลาว  ช่วยกันสร้างเจดีย์    ประชาชนชายแดน เป็นพี่น้องกัน    พม่ากับไทย แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกัน    แต่งงานกัน   เรามีการแลกเปลี่ยนพระสงฆ์  ฯลฯ   เรามีช่วงเวลาที่ ดีๆ  ต่อกันเยอะมาก      เอาแนว "กุศล" มาตีแผ่    ฯลฯ    การลงแต่เรื่อง รบๆๆๆๆ  ไปสร้าง จิตสำนึก เกลียดกัน  

หนังไทย ละครไทย  โฆษณา  งานรักชาติประจำปี  ละครในที่ตัวจังหวัด   ฯลฯ  ตีความ "รักชาติ" คือ   ถือดาบ  ยกทัพตีกับพม่า หรือ ข้าศึกต้องโพกหัว นุ่งโสร่ง      มันตอกย้ำ  ว่าเรา "เกลียดกัน" 

๓) วิชาประวัติศาสตร์  บูรณาการไปแนว วิทยาศาสตร์  วิศวกรรมศาสตร์ได้ทั้งนั้น     ในรายการทาง cable TV    เราจะเห็น พวกเขา   ศึกษาประวัติศาสตร์เชิงวิทย์  เยอะมาก  ( เหมือนที่ท่านมุ้ย ทดสอบ ว่า จริงหรือ ที่  พระแสงยิงข้ามแม่น้ำสะโตงได้จริง" ) 

๔) ศึกษาทางสาธารณะสุข  เช่น โรคห่า ระบาดใร กรุงเทพ   เป็นไปได้อย่างไร     สมเด็จพระนเรศวรฯ  ทรงเป็น ฝีที่หน้าผาก  เป็นอย่างไร เจาะลึกไปเลย 

๕) เจาะลึกเชิงพฤติกรรม  เช่น  ในเหตุการณ์นั้นๆ  คนเราโดนบีบแบนั้น เจอเรื่อง สถานการณ์นั้น   คนแบบไหนตัดสินใจอย่างไร  ตรงกับ Syndrom ทางจิตวิทยาอะไร

ขุนแผน บ้ากาม   เป็นโรคจิตแบบไหน....  นักจิตวิทยา เอา ตัวละครฝรั่ง มาเป็น ชื่อ โรคจิต   ผมว่า  เอาตัวละครไทยมาเป็น ชื่อโรคจิต ก็ได้นะครับ     เช่น  ชายกลางซินโดรม  (ปล่อย แม่  เมีย  กิ๊ก ทะเลาะกัน จนเอง คาบไปป์   นิ่งเฉย)  

พระสังข์ เนรคุณ  ปล่อยให้แม่ยักษ์  ที่เลี้ยงดู ชุบชีวิต   ร้องไห้ จนขาดใจตาย ได้ไง   จริง หรื คนเขียน  เวอร์  มั่ว  ฯลฯ

ท้าวสามน  คนขยัน  ส่งพระโอรส คือ  พระอภัย และ ศรีสุวรรณ   ไปเรียน แบบ child center กับ พระฤษี   ไม่จำกัดวัย  เรียนตามอัธยาศัย  ไม่กำหนดวันจบหลักสูตร ( การศึกษาไทย  บ้าเลือดกับ เวลาในการจบ  จนต้อง  ถุยๆๆๆ  ถีบๆๆๆ  ให้ จบๆๆ ไป   สอบไล่ = ไล่พวกมัน (นักเรียน นักศึกษา) ไปไกลๆ จากชีวิตกู (ครูอาจารย์ และ ผู้บริหาร)

  

๖)  สมัยผมอยู่ USA     ครูจะพาเด็กไป  Science Museum / History museum / Nature Museum  ฯลฯ      ครู มะกัน    จะใช้ show & share  เยอะมาก     เช่น  ไปดู แล้ว  ล้อมวง    เข้า วงจรโนนากะเลย   ใคร มีไอเดียอะไร  ปุ( ในสุ จิ ปุ ลิ   ผมเขื่อว่า ปุ คือ เกิดคำถามคาใจ คิดๆๆๆ จนตกผลึก    ได้แนวคิด  ความเห็นส่วนตัว น่าทดลอง  ปุ เป็นประเภท open will  อยากทำ หรือ inquiry)     

การ show & share  เขาทำกันบ่อยมาก  แม้น โรงเรียน inter ในไทย  โรงเรียน Home school ก็ทำ   ทำจนเป็น ปกติ   ....  ติดนิสัย เฮฮาศาสตร์     เรื่องเล่าเร้าพลัง    สุนทรียสนทนา (Dialogue) กันสนุกสนาน   ฯลฯ

แต่ ไม่ใช่ แจกใบงาน  จดๆ จำ   มาทำเล่มส่งครู   ครูก็ดูว่า ใครพิมพ์สี สวยๆ  ได้เกรดเอ    ปลานเทอม  พ่อค้าซาเล้ง มาชั่ง กิโล  รายงานของครูไทย    การศึกษาไทย   ทำให้  ร้านสำเนาเอกสาร รวย      ร้านรับซื้อกระดาษเก่ารวย   ร้านคอม ฯ รวย เด็กจ่ายค่า net เพียบ   ร้านเข้าเล่ม ทำปก รวย .... เศร้า จริงๆ 

๗)   ผมว่า คนนอกวงการประวัติศาสตร์   เอามาร่วมวง ในห้องเรียน   จะทำให้   วิชา ประวัติ ฯ นี้  ยอดเยี่ยมมากๆ 

 

พวกเรานี่ก็แปลก    คนวงการศึกษา  ไม่ค่อยฟัง คนนอกวงการ  แล้ว จะได้ แนวคิดใหม่ แนวคิดจริงใจ  แนวคิดของผู้เดือดร้อนทางการศึกษาได้อย่างไรกัน   

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 136489เขียนเมื่อ 9 ตุลาคม 2007 09:09 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 มิถุนายน 2012 15:11 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)
  • มานั่งฟังคนไร้กรอบสีซอ อิอิ

ฮ่า ๆ ตามมาขำ ๆ คุณหมอค่ะ สงสัยท่าจะจริง อิ อิ

เค้าว่ากันว่า ประวัติศาสตร์ควรศึกษา เนื่องจากธรรมชาติมีวัฎฎะของมัน เกิดแล้วเกิดอีก (ไม่รู้ว่าเกี่ยวโยงเรื่องกรรมด้วยรึเปล่านะครับ) เราควรศึกษา เรียนรู้เพื่อเข้าใจ และนำมาปรับปรุงแก้ไข ส่วนของปัจจุบัน สำหรับประวัติศาสตร์ชาติเราที่บิดเบือน บูดเบี้ยว ตามแต่จินตนการของคนเขียน มันทำให้คนรุ่นหลังๆไม่ได้เรียนรู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ
ขอเสริมเรื่องการบูรณาการจากวิชานี้ด้วยครับ ผมคิดว่าไม่ว่าจะเป็นวิชาใดๆ มันสามารถเชื่อมโยงไปเรื่องอื่นๆได้ ทุกๆวิชามีส่วนเชื่อมโบงกันหมด อยู่ที่คนที่ไปศึกษาว่าจะเข้าไปศึกษาอย่างไร ตรงกับคอนเซปต์อ.ที่ว่าควรจะเรียนวิชา how to learn ให้กับคนก่อนที่จะสอนเรื่องอื่นๆครับ
อ่านเรื่องนี้แล้วนึกถึงโฆษณา ที่เพิ่งออกใหม่ที่มีเด็กมาอธิบายเรื่องไข่ครับ จ๊าบมากๆ

 ชอบประวัติศาสตร์มากๆๆ และสอนวิชาประวัติศาสตร์ด้วย คะ

มีอะไรดีๆ มาเล่าให้ฟังอีกน่ะคะ จะติดตามอ่านตลอดไป

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท