ผมมีโอกาสไปเป็น กก ประเมินผลมหาวิทยาลัยอยู่ในหลายโอกาส มาปะติดปะต่อเรื่องราวที่ได้พบได้ยินมาก็เลยอยากแลกเปลี่ยนเพราะผมเห็นความวุ่นวายที่บั่นทอนกำลังมหาวิทยาลัยอยู่ไม่น้อย
เริ่มจากคำถามง่ายๆว่ามหาวิทยาลัยควรประเมินอะไรจึงจะมีประโยชน์ต่อการพัฒนางาน
คำตอบที่ได้น่าตกใจ เพราะทุกวันนี้มีคนคอยประเมินมหาวิทยาลัยด้วยไม้บรรทัดหลายเล่ม(ไม่รู้ใช้ลักษณะนามถูกหรือเปล่า)
เล่มที่หนึ่ง เป็นของเจ้าใหญ่ สมศ ซึ่งเป็นองค์กรระดับประเทศที่มีหน้าที่ประเมินคุณภาพมหาวิทยาลัย
สองคือสำนักงบประมาณ ซึ่งเป็นเจ้าของงบประมาณ
สามคือรัฐบาลหรือรมตศึกษา ซึ่งมีการทำพันธะสัญญากับมหาวิทยาลัย ว่าต้องทำให้ได้ KPI อะไรในแ่ละปี
สี่คือแผนยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเอง ซึ่งหลายมหาวิทยาลัยจัดทำขึ้น เพื่อสะท้อนภาระกิจ สำคัญที่สอดคล้องกับฐานะ และบริบทของแต่ละแห่ง แต่เป้าหมายเหล่านั้นอาจจะไม่ได้อยู่ใน KPI หรืองบประมาณที่ได้จาก สำนักงบ (ต้องใช้รายได้ปหล่งอื่น)
ห้าคือมาตรฐานนานาชาติ ที่ทุกวันนี้มหาวิทยาลัยไทยถูกเอาไปเปรียบเทียบอยู่บ่อยๆ (มีตัวชี้วัดตัวแสบคือ ระดับทุนวิจัยที่ได้ และผลงานวิจัยแบบต่างๆ ตั้งแต่จำนวนตีพิมพ์ impact factor ไปจนถึงจำนวนสิทธิบัตร)
หก คือการประเมินตามภาระกิจสี่ด้าน สุด classic ของมหาวิทยาลัยไทย คือ ผลิตบัณฑิต วิจัย บริการวิชาการ ทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม
เวลาจะประเมินทีก็ไม่รู้ว่าจะเอากรอบไหนมาใช้ประเมินดี จะประเมินมันทุกกรอบก็ไม่ไหว
แน่นอนว่าทางออกคือการทำระบบข้อมูลข่าวสารของมหาวิทยาลัยให้ดีเพื่อ capture ข้อมูลสำคัญๆในการทำงานตามหน้าที่ และข้อผูกพันต่างๆ เสร็จแล้วใครอยากเห็นมุมไหนก็ประมวลให้ดูตามนั้น
แต่เจ้ากรรมระบบข้อมูลโดยส่วนใหญ่ก็ยังไม่ค่อยลงตัว เลยต้องลงทุนเก็บข้อมูลเป็นคราวๆ ตามความต้องการของแต่ละเจ้าหนี้
ทำให้คิดถึง เรื่องระบบประกันสุขภาพ อเมริกา กับแคนาดาทีเคยมีการวิจัยกันว่า
ค่าใช้จ่ายของอเมริกันสูงกว่าของแคนาดา เพราะไปเสียกับการจัดระบบข้อมูลเนื่องจากระบบประกันที่มีผู้ซื้อบริการหลายเจ้า มีกตืกาการเบิกจ่ายต่างกัน ต้องมีข้อมูลประกอบการเบิกจ่ายไม่เหมือนกัน
ขณะที่แคนาดามีเจ้าเดียวคือรัฐบาลกลาง เลยมีความต้องการข้อมูลแบบเดียว
ประหยัดกว่ากันถึง 15 %
คิดถึงคำขวัญเรื่องการสูบบุหรี่ที่เคยใช้กันสมัยหนึ่งที่ว่า
smoking or jnot, the choice is yours
กรณีนี้ต้องเปลี่ยนเป็น
multiple needs (for assessment) or not, the choice is yours
yours ในท่นี้ไม่ใช่มหาวิทยาลัยแน่ๆ แต่เป็นคนที่กำลังกำกับมหาวิทยาลัยอยู่ทุกวันนี้ครับ
ที่ปรึกษา รมต. ศึกษาธิการ ตัว รมต. เอง ปลัดกระทรวง เลขาธิการแท่งทั้งหลายควรได้อ่านบันทึกนี้ครับ
วิจารณ์ พานิช
ผมเห็นว่าเล่มที่ 4 คือแผนยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัย
สำคัญสุดครับ และจะต้องเอาเล่มอื่นๆ มาคิดบูรณาการกัน
ให้เล่มสี่ครอบคลุม เล่มอื่นๆ ทุกเล่ม
ส่วนตัวชี้วัดในเล่มอื่นๆ ที่ไม่สอดคล้องกับเล่มสี่
ก็ให้ระบุใน
แผนยุทธศาสตร์ว่าเป็น "ตัวชี้วัดอื่นที่ต้องเก็บ" แต่ไม่สำคัญ
ต่อแผนยุทธศาสตร์ เก็บเพียงเพื่อรายงานเท่านั้น
ไม่ต้องสนใจ
เน้นในการทำงานจริงมากนัก