อีกครั้งครับสำหรับเรื่องเล่าจาก "มูลนิธิร่วมพัฒนาพิจิตร" บังเอิญว่าถูกคุณหมอรุ่งโรจน์พี่ที่แสนดี(จริง จริ๊ง เลย!!!) ทวงถามเมื่อวานนี้ ผมก็เลยจัดให้ ณ วันนี้ครับ พอดีว่าไม่ค่อยมีเวลาเท่าไรนัก(อันนี้เป็นข้อแก้ตัวที่ดีที่สุดครับ ใช้เป็นประจำ) ก็มันจริงๆง่ะ หลักฐานก็เห็นอยู่ทนโท้ ว่าตรงข้อมือผมมันไม่มีนาฬิกา???? (เป็นมุขคร๊าบบบบบบ) สำหรับเรื่องเล่านี้ เป็นเรื่องของ "ลุงจวน ผลเกิด" ปราชญ์ชาวบ้านจังหวัดพิจิตร รุ่นที่ 1 ผมเขียนเรียบเรียงไว้นานแล้ว นานพอที่ทำให้ผมค้นหาแทบไม่เจอ แต่สุดท้ายก็เจอเพราะ File ผมเก็บไว้เองแหล่ะ พอมี Blog ก็เลยคิดว่าน่าจะมีประโยชน์มากกว่าเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ของผมเฉยๆ เรื่องเล่านี้สนุกดีครับเพราะตั้งใจมาก และเป็นเรื่องแรกที่ผมลงมือเขียนนับตั้งแต่มาอยู่และร่วมเรียนรู้กับเครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านจังหวัดพิจิตร
ลุงจวน : ตำนานสู้ชีวิตของคนมีพื้นที่น้อย
หากพูดถึงการพัฒนาระดับท้องถิ่น หรือแม้กระทั่งระดับประเทศ สิ่งที่พอจะเป็นตัวชี้วัดและเห็นได้ชัดเจนคงหนีไม่พ้น ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี สิ่งก่อสร้างอำนวยความสะดวกต่างๆ โดยเฉพาะการค้าขาย(ธุรกิจขนาดใหญ่) บริษัทยักษ์ใหญ่ต่างชาติเข้ามากว้านซื้อที่ดินอันเป็นฐานสำคัญของการทำเกษตรกรรมของประเทศไทย ทำให้กรรมสิทธิ์การถือครองที่ดินของเกษตรกรมีน้อยเต็มที ซึ่งจุดนี้เป็นตัวชี้วัดความยากจนที่รัฐบาลพยายามแก้ไขให้มีการกระจายพื้นที่ทำกินไม่ให้ตกไปอยู่กับนายทุนเป็นส่วนใหญ่ ในกรณีเดียวกันหากมีพื้นที่ทำกินแล้วจะจัดการทำอย่างไรในพื้นที่นั้นให้สามารถมีอยู่มีกินได้ตลอดและต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพื้นที่ขนาดเล็กไม่เกิน 2 ไร่ ใครจะคิดว่าทำได้ เกษตรกรอย่างลุงจวน ผลเกิด ผู้มีที่ดินจำนวนแค่ 6 งาน สามารถเลี้ยง 5 ชีวิตในครอบครัวได้อย่างสบาย ไม่อดไม่อยาก มาเกือบ 20 ปีแล้ว
ชีวิตผูกพันกับวัดตั้งแต่เด็ก
กว่าจะมาถึงวันนี้ ลุงจวนร่างเล็กแต่หัวใจยิ่งใหญ่ เล่าเรื่องราวให้ฟังความยากลำบากในอดีตกว่าจะมาถึงวันนี้ว่า เดิมทีลุงจวนเป็นคนจังหวัดสิงห์บุรี กำเนิดปี พ.ศ. 2479 อยู่กับแม่ตั้งแต่เด็ก พออายุได้ 7 ขวบไปอยู่วัดศึกษาเรียนรู้ทางธรรมมาถึง 6 ปี และบวชอีก 1 พรรษา จากการอยู่กับวัดวาตั้งแต่เด็กทำให้ลุงจวนได้คาถาอาคมมาหลายอย่าง ก่อนออกมาเผชิญชีวิตด้วยการรับจ้างทำนา ขุดตอไม้ เลี้ยงวัว ปลูกมัน ดายหญ้า หักข้าวโพด และอีกหลายอย่างที่คนหนุ่มในสมัยนั้นพึงทำได้ (เอาหมด)
หนี้ 6 หมื่นทำให้เสียผู้เสียคนไปพักหนึ่ง
ปี พ.ศ. 2501 พออายุได้ 22 ปี ได้แต่งงานกับป้าสนุ่น มีลูก 5 คนและไปอยู่กับพ่อตาแม่ยาย ใช้ชีวิตการค้าขาย รับจ้าง เรื่อยมาแต่ก็ไม่ค่อยดีขึ้น จึงไปเช่าที่ทำนา เลี้ยงไก่ หมู วัว ทำให้เริ่มพอมีเงินเก็บบ้าง ถึง 4,000 บาท แต่เหมือนมีเคราะห์ซ้ำกำซัด เจ้าของที่อยากได้ที่ทำกินคืนจึงต้องกลับไปอยู่กับแม่เช่าที่ทำนา ช่วงนั้นเกิดปัญหาข้าวไม่ออกรวง ลีบ ให้ขาดทุน จากการกู้ยืมมา 6 หมื่นบาท ทำให้เครียดและกลุ้มใจอย่างหนัก กลัวไม่มีที่ซุกหัวนอนให้ลูก แม้แต่ลูกจะขอเงินซื้อเสื้อผ้ายังไม่มีให้ เลยประชดชีวิตกินเหล้า สูบบุหรี่ อย่างคนสิ้นหวังในชีวิต ทำให้ป้าสนุ่น บ่นทุกวันกับการทำตัวหยำเปของลุงจวน ความหนักอกหนักใจครั้งนี้ทำให้ลุงจวนจำต้องหอบผ้าหอบผ่อนใส่ถุงปุ๋ย พร้อมกับ เหล้าครึ่งขวด น้ำปลาขวดหนึ่งข้าวสารประมาณ 5 ลิตร ช้อนเล่มหนึ่ง ไปแสวงหาหนทางปลดหนี้ให้ได้ด้วยความตั้งใจอยากให้ครอบครัวมีชีวิตที่ดีขึ้น ขึ้นรถเพื่อนจากบ้านมาถึงสิงห์บุรีประมาณ ตี 4 ต่อจากรถเพื่อนมาลพบุรีมารับจ้างดายหญ้าฝ้ายงานละ 12.50 บาท ทำอยู่ประมาณ2 เดือน พอถึงเดือนเก้า เขาหักข้าวโพด ปีนั้นแล้งที่สุดที่ลพบุรี คือคนรวยแถวนั้นเขาจะไถข้าวโพดหมด เลยขอเขาเก็บได้ประมาณเกวียนกว่า ๆ หลังจากนั้นจึงโทรไปบอกแม่บ้านและลูกสาวให้ขึ้นไปช่วยเก็บได้ประมาณ 2 เกวียนกว่า ๆ ฝากเขาตวงประมาณเกวียนละ 4,500 บาท ได้เงินหมื่นกว่าบาท แม่บ้านรีบกลับ ไปใช้หนี้ ตอนนั้นเหลือเงินติดตัวอยู่ 800 บาท
เดินทางสู่เมืองสองแคว
ช่วงเริ่มเกี่ยวข้าวปี พ.ศ. 2519 ลุงจวน พาลูกคนเล็กกับเมีย ไปอยู่ทรัพย์ไพวัลย์ จ.พิษณุโลก ส่วนลูกอีก 3 คนฝากพี่สาวไว้ที่สิงห์บุรีที่กำลังเรียนไปไม่ได้ รับจ้างขุดมันสำปะหลัง ดายหญ้า
พออะไรเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้วจึงพาลูกมาอยู่ด้วยทีละคน อีกทั้งก็มีที่ดินทำกินเป็นของตัวเองจากการที่คนอีสานที่อยู่ด้วยกันละแวกนั้น มาเสนอขายที่ดิน 6 ไร่ๆละ 1,000 บาท ด้วยการผ่อน จนได้ที่ 6 ไร่ มาปี 2 เช่าที่ทำกินต่ออีก 30 ไร่ พอเช่าได้ 2 ปีเขาขายให้ในราคา ไร่ละ 1,000 บาท ที่ 30 ไร่ 3 ปีผ่อนส่งหมด 30,000 บาท พอมาปี 2527 ทางป่าไม้เข้ามาไล่ที่โดยบอกว่าพื้นที่ที่ลุงจวนทำกินอยู่นี้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติ ถึงแม้จะร้องเรียนว่าอยู่มานานก็ไม่ได้ผล ซึ่งทางป่าไม้เองได้จัดที่ทำกินให้ใหม่แถวๆร่มเกล้า ใกล้ๆกับชุมชนแม้ว แต่ทางลุงจวนไม่ไป จึงตัดสินใจ ขายบ้าน ขายควาย ได้เงินมากว่า 5 หมื่นบาท มาซื้อที่ซื้อทางทำมาหากินที่ ต.โพธิ์ไทรงาม กิ่งอ.บึงนาราง จ.พิจิตร (ที่อยู่ปัจจุบัน) ปัญหาชีวิตช่วงนั้นไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องที่ดินทำกินเท่านั้น เรื่องสุขภาพก็มารบกวนตลอดทั้งลุงจวนและโดยเฉพาะแม่บ้าน เกิดวิกฤตหนักกับโรคมะเร็งปากมดลูก เจียนอยู่เจียนไป แต่ยังดีที่หัวจิตหัวใจเข้มแข็งอยู่ต่อสู้กับโรคนี้มากว่า 11 ปีแล้ว ทุกๆปีจะต้องไปหาหมอรักษาตลอด
เริ่มต้นชีวิตใหม่บนพื้นที่ขนาดเล็ก
พื้นที่ 3 ไร่ ที่ลุงจวนซื้อมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง 14,000 บาท ได้แบ่งกับลูกสาวคนละ 6 งาน ละแวกนั้น เป็นที่รกร้างเต็มไปด้วยป่า เริ่มแรกลุงจวนบุกเบิกพื้นที่ 6 เป็นแปลงถั่วฝักยาว ผลผลิตได้ประมาณ 30 ถึง 40 กิโล อยู่ได้ก็ด้วยขายถั่วฝักยาว ที่เป็นทุนให้ตั้งตัวได้ ปลูกประมาณ 300 – 400 หลัก ตัดประมาณ 3 – 4 เที่ยวต่อวัน ส่งแม่ค้าบ้าง ให้ลูกสาวช่วยขายบ้าง ราคาขายเริ่มต้นจากกิโลละ 8 บาท มาเหลือ กิโลละ เหลือ 6 – 4 บาท เทคนิคในการขาย มีหลายรูปแบบ เช้าจะขาย 10 บาท พอเหลือบ้างบ่ายลดลงมาเหลือ 8 บาท เอ๊ะ ! เห็นท่าว่าเย็นเหลือแน่ลดราคาลงเหลือกิโลละ 5 ไม่ไหวขาย 2 กิโล 5 บาท ของเราขายให้หมดอย่างเดียว ตรงนี้ทำให้อยู่ได้ ลุงจวนมาอยู่ใหม่ไม่มีเพื่อน คนที่นี่ไม่สามัคคี ลุงจวนมาอยู่ที่นี่อยากหาพี่หาน้องใครไปไหนก็ทักทายเขาบ้าง พี่บ้าง น้าบ้าง ลุงบ้าง แต่เขามองข้าม เหมือนเขาว่าผมเป็นคนไทย เขาเป็นคนลาว แรก ๆ ลุงจวนถอดใจว่าที่ตรงนี้คงเลี้ยงครอบครัวไม่ได้ ถอดใจจึงร้องขาย จากราคาที่ลุงจวนซื้อมา14,000 บาท ต้องการจะขาย 30,000 บาท คนซื้อมาต่อ 25,000 บาท ลุงจวนจึงขอเขา 28,000 บาท ต่อกันไปต่อกันมา ก็ตกลงกันไม่ได้ จึงสู้ชีวิตกับที่ตรงนี้ต่อ
เครือข่ายโพทะเลร่วมใจพัฒนานำสู่ความเป็นผู้นำ
ปี 2536 ลุงจวนเริ่มรู้จักเครือข่ายโพทะเลร่วมใจพัฒนา มีลุงไม้ ลุงช่วยเข้ามาประสานจนเข้าเป็นสมาชิกกับกลุ่มผู้นำ แรกๆก็ไม่เข้าใจเหมือนว่าเครือข่ายเค้าทำงานอะไรกัน รู้แต่เพียงว่ามาพูดคุยเรื่องทำมาหากิน (เกษตรทางเลือก) เข้าร่วมพูดคุยได้ 2 – 3 เดือน เริ่มรู้สึกสนุกกับการพูดคุย แต่สถานภาพทางกลุ่มก็ยังไม่ยอมรับลุงจวนเข้าเป็นสมาชิก คือเขาจะให้ตามไปเรื่อยๆ ให้ใจเต็มร้อย เวลาดูงานถ้าใกล้กลุ่มจะส่งลุงจวนไป ถ้าไปที่ไกลๆเอาพี่เลี้ยงไปเป็นเพื่อนด้วย จน 1 ปีเต็มกลุ่มจึงเริ่มยอมรับ ลุงจวนได้ไปลงหุ้นออมทรัพย์กับกลุ่มลุงบัติ ออมจนเป็นสมาชิกเต็มตัว ทางกลุ่มก็ส่งไปศึกษาดูงานหลายแห่ง เช่น ลาดยาว สุพรรณบุรี ไปอยู่ไพศาลี 4 วันไม่ว่าจะต่อกิ่ง ตอกลิ่ม ต่อยอด ไปอีสานแทบจะทุกจังหวัด เรียกว่าสมาชิกในกลุ่ม ลุงจวนไปศึกษาดูงานจะหนักกว่าเขามากที่สุด ไปเจอเขาทำหลากหลายได้แต่คิดแต่ไม่ได้ทำ ปลูกผักอย่างเดียว(ถั่วฝักยาว)
ลุงจวนพอได้แนวคิดจากกลุ่ม และจากการไปดูงาน จึงคิดว่าจะทำอย่างไรให้สิ่งที่เรียนรู้มาทำให้ฝันเป็นจริงให้ได้ ก็เลยเริ่มคิดและทำพื้นที่ของตัวเอง จากคำพูดของลุงสมบัติซึ่งเป็นประธานเครือข่ายผู้นำโพทะเลร่วมใจพัฒนา ว่า “ถ้าไม่ปลูกต้นไม้ยืนต้นไว้ แก่ตัวขึ้นมาจะทำอย่างไร?” ลุงจวนจึงเริ่มยักเงินแม่บ้าน จากการขายเปลือกถั่ว นับถั่วไปขาย 100 กำ ปกติเคยขายได้ 200 บาท ก็บอกแม่บ้านว่าขายไม่ค่อยดี วันนี้ได้แค่ 100 บาทเอง พอมีเงินจึงค่อยๆทยอยซื้อพันธุ์ไม้เข้ามาปลูกในพื้นที่เรื่อยๆ ตอนนั้นดินไม่ค่อยดี ต้องปรับดินก่อน แม่บ้านก็จะคอยบอกว่าอีกกี่ปีจะได้กิน ต้นไม้ไม่ใช่ลูกลิเก ออกมาจะได้มีลูกเลย ก็ได้เครือข่ายให้การแนะนำ และช่วยซื้อกิ่งพันธุ์ มาตลอด ด้วยความคิดที่ว่าถึงแม้ว่าลูกยังไม่ได้กินก็กินกิ่งมันก่อน ขายพืชผักสวนครัวไปก่อน สมุนไพรก็มีอย่าง กระทือ กระเจียว หน่อไพล หน่อข่า อย่างนี้นิดชนิดนี้หน่อยมีหลากหลาย โดยยึดหลัก “นิดหนึ่งก็น้ำอ้อย น้อยก็น้ำตาลมารวมกันแล้วก็หวานไปเอง”
ถ้าไม่ล้มหมอนนอนเสื่อจริงๆ ไม่มีทางขาดประชุม
คุณสมบัติของการเป็นผู้นำนั้นนอกจากจะเป็นคนพูดจริงทำจริง มีผลงานประจักษ์แล้วนั้น สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยเสีย คือการประชุมอย่างต่อเนื่อง ลุงจวนมีหลักการประชุมว่า “ถ้าไม่ล้มหมอนนอนเสื่อจริง ๆ จะไม่ขาดประชุม ถ้าขาดผมไม่รู้เรื่องที่เขาคุยกัน คิดว่าถ้าขาดประชุมก็เหมือนกับเด็กขาดเรียนแล้วมาสอบก็ตก” ใหม่ๆ ลุงจวนอยากจะรู้ว่ากลุ่มจะพาไปเป็นคอมมิวนิสต์ หรือจะเอาไปเป็นไส้เดือนเสียบเบ็ด แต่พอเรียนรู้ก็เข้าใจว่ากลุ่มพาไปทางที่ดี บางครั้งไปไม่ไหวก็ทิ้งจักรยานไว้ที่ ต.หนองหวาย แล้วก็อาศัยรถเขาไปกลับมืดกลับค่ำ บางครั้งไปกับน้าบัติ ฝนตกฟ้าร้องก็เอาสมุดบังหน้าให้น้าบัติขี่ ก็กอดเอวเอาไว้ ลำบากกันมาเหมือนกัน แต่บางคนใจไม่ถึงก็หลุดไปเยอะ ลุงจวนจะติดตามกลุ่มตลอด ไม่ขาด นอกจากจะล้มหมอนนอนเสื่อไปไม่ไหวจริง ๆ หรือรถเสีย ถึงจะละ คือมันได้ความรู้เยอะ แล้วก็ได้เพื่อนมาก
เทคนิคการทำมาหากิน
บางครั้งการค้าการขายจะต้องมีลูกล่อลูกชนหลายอย่าง หลอกบ้าง จริงบ้าง ลุงจวนใช้
เทคนิคเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี เช่น การปลูกอ้อย ปลูกเกาะติดกับเสาไฟฟ้า ลุงจวนไปไหนก็ว่า “อ้อยบ้านผมมันสูงแค่เสาไฟฟ้า” เลยขายได้ลำละ 20 บาท ขายต้นขายหน่อ ลุงจวนคุยกับเขาไปเรื่อย ว่าอ้อยยาวได้ 3 วา ลอกกาบไป แล้วก็แกะตา ตีลูกคักแล้ว มัดไปเรื่อย “คนชื่อบันมาซื้อผมไปแล้วก็คุยกับคนหนองหวายบอกว่าอ้อยลุงจวนสูงแค่เสาไฟฟ้าแรงต่ำ” เขาด่าว่า อ้อยอะไรมันจะสูงขนาดนั้น พอมาเห็นเข้าจริง ๆ มันสูงเท่าเสาไฟฟ้าจริงๆ เมื่อเขาซื้อไปปลูกเขาไม่มีเทคนิค ขายของส่วนใหญ่เวลาเขาขายจะขายถุงละ 5 ลุงจวนไม่ได้บอกว่าถุงละ 5 แต่บอกว่ากระสอบละ 5 “ผมก็ร้องเร็ว กระสอบละ 5 กระสอบใหญ่ขนาดไหนก็ขายได้” คนไทยนิสัยชอบมากไว้เป็นดี เช่น สะระแหน่กำเท่าหัวนิ้วโป้หน่อยหนึ่งแม่บ้านเขาเก็บขาย บางวันเอาไปน้อยแล้วขายดี จะชักเอาออกสักหน่อย เพราะมันจะหมดแล้วเดี๋ยวสายจะไม่มีขาย ไปขายตลาด 2 คน ขี่มอเตอร์ไซค์ แม่บ้านเอารถเข็น จะไปทุกวันพุธ เสาร์ มีของในสวนไปขายตลอด เช่นโหระพา ข่า ตะไคร้ แมงลัก การเลี้ยงปลาช่อน เริ่มต้นก็ให้ไปช้อนลูกชักครอกมา ใส่อ่าง หรือใส่วงใส่บ่อที่อนุบาลมันได้ ซื้อไข่มา ไข่แดงบี้โรย พอมันเริ่มกินไข่เก่งเราเปลี่ยนซื้ออาหารปลาซากุระมา พอเริ่มโตจะมีปัญหาต้องแยก เอาตัวใหญ่ออกไปลงสระ แล้วเปลี่ยนอาหารเป็นอาหารปลาดุก คัดเรื่อย ๆ ตัวโตเป็นรุ่น ๆ แต่ต้องเปลืองอาหารหน่อย อย่างผมทำเพราะทำน้อยขายออกไปครั้งละประมาณ 20 – 30 กิโล
ผลที่ได้ของการทำเกษตรแบบพอเพียง ถึงแม้ว่าจะจนเหมือนเดิม แต่สบายใจที่ไม่เป็นหนี้ใคร ได้เพื่อนเยอะ พี่น้องที่ไม่ใช่ก็เหมือนพี่น้องกันทั้งนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นความสุขทางใจ ถ้าเข้าถึงแล้ว ชีวิตก็เป็นสุข ไม่ต้องดิ้นรนตามกระแสความเป็นวัตถุนิยม
ปล.ยังเอารูปลงไม่เป็นครับ กำลังศึกษาอยู่ว่าทำยังไงดี?
น่าจะเพิ่มเรื่องถูกป่าไม้ไล่ที่เมื่อปี ๒๕๒๗ โดยอ้างว่าอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาตินั้น ต่อมาที่ตรงนั้นกลายเป็นรีสอร์ท ผมเคยได้ยินลุงจวนเล่า
วิจารณ์ พานิช