ย่อคดีที่ ๑: คดีนายมงคล
รักยิ่งประเสริฐ (ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง)
ศาลจังหวัดเชียงใหม่ (ความอาญา)
คดีดำที่: ๕๗๓๖ / ๒๕๔๑ (วันฟ้อง: ๒๓ ธันวาคม
๒๕๔๑)
คดีแดงที่: ๓๘๖๐ / ๒๕๔๔ (วันพิพากษา: ๒๖ กรกฎาคม
๒๕๔๔)
จำเลย: นายมงคล รักยิ่งประเสริฐ / ข้อหา:
มีไม้หวงห้าม (สน) ไว้ในครอบครอง
คำฟ้องระบุว่าจำเลยกระทำความผิดเมื่อ : ๒๘ พฤศจิกายน
๒๕๔๑
คำฟ้อง :
จำเลยกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องอีก ๑ คน ได้ร่วมกันมีไม้สนแปรรูป
ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก ตาม
พระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ.
๒๕๓๐ ไว้ในครอบครองภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้
เหตุเกิดที่ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่
ประกาศกระทรวงเกษตร เรื่องเขตควบคุมแปรรูปไม้ และ
พระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม
ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
และพนักงานเจ้าหน้าที่ได้คัดสำเนาประกาศไว้ ณ สถานที่ราชการ
และที่สาธารณะในท้องที่ซึ่งเกี่ยวข้อง
และจำเลยได้ทราบโดยชอบแล้ว
คำให้การ:
-
ภาษาไทยอ่านไม่ออก: จำเลยเป็นชาวเขาเผ่ากระเหรี่ยง
มีความรู้ภาษาไทยเพียงแค่ฟัง หรือพูดได้เล็กน้อยเท่านั้น
จำเลยไม่สามารถอ่านหรือเขียนภาษาไทยได้เลย
-
ไม่รู้กฎหมาย: พระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้ามนั้น
ไม่เคยปรากฏว่าผู้ใหญ่บ้านหรือกำนันในท้องที่
ได้ประชุมบอกกล่าวข้อกำหนดกฎหมายนี้เลย
จำเลยจึงไม่ได้รับทราบข้อกำหนดนั้น
-
จำเลยมีสิทธิชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม: การตัดไม้สนครั้งนี้
กระทำโดยชอบ ถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๖
เพราะนายปุนุ ขจุยแจ่มจิต (หลานชายของจำเลย)
ได้ขอไปยังคณะกรรมการหมู่บ้าน และได้รับอนุญาตแล้ว เพื่อขอใช้ไม้ใน
“ป่าชุมชน” ของหมู่บ้าน สำหรับการสร้างบ้านหลังใหม่
การร้องขอครั้งนี้มิได้ทำเป็นหนังสือ
เพราะถือเป็นปฏิบัติเป็นประเพณีมาช้านานของคนในชุมชน
และนายปุนุได้ตัดและเลื่อยไม้สนดังกล่าวนานเกือบ ๒ปี (เสร็จสิ้นกลางปี
๒๕๔๑) เพราะใช้เวลาว่างจากการทำนา ทำไร่ตามปกติ
จึงเป็นการทำค่อยเป็นค่อยไป
และเปิดเผยรู้เห็นกันในชุมชนโดยทั่วไป
คำพิพากษาศาลจังหวัดเชียงใหม่:
-
จำเลยมีความผิดตามกฎหมาย:
จำเลยเป็นผู้สนับสนุนในความผิดฐานมีไม้สนแปรรูปไว้ในครอบครอง
ลงโทษจำคุกจำเลย ๘ เดือน ลดโทษให้ ๑ ใน ๔ คงจำคุก ๖ เดือน
โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ ๒ ปี จำเลยไม่อุทธรณ์
เพราะพอใจที่ไม่ถูกจำคุก
-
ข้อต่อสู้ของจำเลยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๖:
ศาลมิได้วินิจฉัย โดยมิได้ให้เหตุผล
ย่อคดีที่ ๒: คดีนายพล พะโย
(ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง)
ศาลจังหวัดเชียงใหม่ (ความอาญา)
คดีดำที่ : ๑๔๘๔ / ๒๕๔๒ (วันฟ้อง: ๒ เมษายน
๒๕๔๒)
คดีแดงที่: ๑๐๓๕ / ๒๕๔๖ (วันพิพากษา: ๑๗ มีนาคม
๒๕๔๖)
จำเลย: นายโพ หรือ พล พะโย / ข้อหา:
ตัดฟันไม้หวงห้าม (สัก)
คำฟ้องระบุว่าจำเลยกระทำความผิดเมื่อ : ๘ มีนาคม
๒๕๔๒
คำฟ้อง:
จำเลยได้เข้าไปทำไม้โดยการใช้ขวาน ๑ เล่ม ตัดฟันไม้สัก
อันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ตาม พ. ร.บ.ป่าไม้
พ. ศ.๒๔๘๔ ในป่าเชียงดาว อันมี
กฎกระทรวงกำหนดให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติ และมี
พระราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นอุทยานแห่งชาติ
จำเลยได้มีไม้สักแปรรูป จำนวน ๑ แผ่น ปริมาตร ๐.๐๘
ลูกบาศก์เมตร ซึ่งไม้สักเป็นไม้หวงห้าม ประเภท ก. ตาม พ.
ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.๒๔๘๔
ไว้ในครอบครองภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตาม
ประกาศกระทรวงเกษตร
เหตุตามฟ้อง เกิดที่ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว
จังหวัดเชียงใหม่
กฎกระทรวง พระราชกฤษฎีกา และประกาศกระทรวงฯ
ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ปิดประกาศไว้ ณ
สถานที่ราชการ
และที่สาธารณสถานโดยเปิดเผยในท้องที่ที่เกิดเหตุแล้ว
พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ปักหลักเขตและแสดงแนวเขตป่าสงวนแห่งชาติ
และอุทยานแห่งชาติ เพื่อให้ประชาชนเห็นว่า เป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ
ซึ่งจำเลยได้ทราบแล้ว
คำให้การ:
-
ไม่รู้กฎหมาย: กฎหมายและประกาศตามที่โจทก์อ้างนั้น
จำเลยไม่เคยรับรู้และไม่เคยเห็นสำเนา เพราะถิ่นที่อยู่อาศัยของจำเลย
อยู่ไกลจากตัวอำเภอเมืองเชียงดาวมาก ไม่มีพนักงานเจ้าหน้าที่
ปิดสำเนาไว้ในสถานที่ราชการ หรือที่สาธารณะในท้องถิ่นจำเลย
-
เสียภาษีมาตลอด: ทั้งยังมีการเก็บภาษีบำรุงท้องที่
ในที่ดินที่เกิดเหตุมาตลอด
-
ไม่ได้แปรรูปไม้: ไม้สักท่อนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยตัดฟัน
เป็นไม้สักท่อนที่มีผู้อื่นตัดฟันทิ้งไว้และได้วางทิ้งไว้กับพื้นดินมาเป็นเวลานานกว่า
๗ ปี และมีรอยไฟไหม้ จึงไม่มีใครเอาไปใช้ประโยชน์
การกระทำของจำเลยที่เพียงใช้ขวานปัดเศษใบไม้ ใบหญ้า
และเศษดินที่ปกคลุมไม้สักท่อนดังกล่าว เพื่อตรวจดูสภาพไม้
โดยใช้ขวานเพียงเล่มเดียว
มิได้เข้าตามองค์ประกอบของความผิดว่าด้วยการแปรรูปไม้
และยังไม่อยู่ในขั้นตอนที่เรียกว่า “ทำไม้” ตาม พ. ร.บ.ป่าไม้
-
จำเลยมีสิทธิชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม: ชุมชนในพื้นที่นี้มี
“คณะกรรมการป่าชุมชน” ซึ่งแต่งตั้งมาจากทุกหมู่บ้านในพื้นที่นั้น ๆ
และมีวัฒนธรรมในการรักษาป่าโดยการใช้ทรัพยากรจากป่า
ต้องขออนุญาตจากคณะกรรมการทุกครั้ง
จำเลยมีความประสงค์จะใช้ประโยชน์จากไม้สักท่อนดังกล่าว
เป็นการใช้ภายในครอบครัวตามความจำเป็นพื้นฐานของการดำรงชีวิตเท่านั้น
จึงได้ขออนุญาตจากคณะกรรมการหมู่บ้านตามจารีตประเพณี
ซึ่งก็ได้รับการเห็นชอบจากคณะกรรมการหมู่บ้านแล้ว
จึงเข้าใจว่ามีสิทธิที่จะกระทำได้โดยชอบตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๖
อีกทั้งในปี ๒๕๓๙ เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติ ได้ไปประกาศ
ด้วยวาจา ให้ชาวบ้านทราบว่า พื้นที่ “ป่าชุมชน”
ให้อยู่ภายใต้การดูแลของ “คณะกรรมการป่าชุมชน” แต่ทั้งนี้
การใช้ทรัพยากรจากป่าจะต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๖
เท่านั้น ทำให้จำเลยเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า
จำเลยมีสิทธิในการอยู่อาศัยและทำกินใน “ป่าชุมชน”
ได้ตามจารีตประเพณี
คำพิพากษาศาลจังหวัดเชียงใหม่:
-
จำเลยมีความผิดตามกฎหมาย: ทนายคนแรก
ได้เข้ามาช่วยจำเลยว่าความตั้งแต่ถูกฟ้อง ด้วยคำแนะนำของ NGO
กลุ่มหนึ่ง และได้ยกข้อต่อสู้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๖ แต่ต่อมา NGO
กลุ่มนั้นได้ตัดสินใจเปลี่ยนทนาย ด้วยเหตุความคิดแตกต่างกัน
เมื่อทนายคนหลังเข้ามาช่วย จำเลยได้ตกลงใจรับสารภาพ
ศาลจึงพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยตามคำรับสารภาพ แต่ให้รอลงอาญาไว้
-
ข้อต่อสู้ของจำเลยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๖:
ส่วนข้อต่อสู้ของจำเลยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๖ นั้น ได้ตกไป
เพราะจำเลยตกลงใจรับสารภาพ
ย่อคดีที่ ๓: คดีนายเท้ง เลาว้าง
(ชาวเขาเผ่าม้ง)
ศาลจังหวัดเชียงใหม่ (ความแพ่ง)
คดีดำ: ๒๓๙ / ๒๕๔๓ (วันฟ้อง: ๒๙ กุมภาพันธ์
๒๕๔๓)
คดีแดง: ๘๙๕ / ๒๕๔๔ (วันพิพากษา: ๑๖ สิงหาคม
๒๕๔๔)
จำเลย: นายเท้ง เลาว้าง / ข้อหา:
ยึดถือครอบครองที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ
คำฟ้องระบุว่าจำเลยกระทำความผิดเมื่อ: ๒๕ มิถุนายน
๒๕๔๑
คำฟ้อง:
จำเลยได้ใช้จอบ และขวาน เป็นเครื่องมือ ทำการบุกรุกเข้าไปก่นสร้าง
แผ้วถาง ตัดฟันต้นไม้ เผา
และยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตาม
พ. ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.
๒๕๐๗
เหตุเกิดที่ป่าแม่แจ่ม ในท้องที่ตำบลแม่นาจร อำเภอแม่แจ่ม
จังหวัดเชียงใหม่
กฎกระทรวง และ
แผนที่ท้ายกฎกระทรวง ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
และพนักงานเจ้าหน้าที่ได้คัดสำเนาปิดไว้ ณ สถานที่ราชการ
และสาธารณสถานที่เห็นได้ง่ายในจังหวัดเชียงใหม่
พนักงานเจ้าหน้าที่ได้จัดให้มี หลักเขต ป้าย
เครื่องหมายแสดงแนวเขตป่าสงวนแห่งชาติ
ให้ประชาชนได้เห็นว่าเป็นป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งจำเลยได้ทราบแล้ว
พนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่
ได้ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ในฐานความผิดคือ
ครอบครอง แผ้วถาง หรือกระทำด้วยประการใด ๆ
อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ
ศาลจังหวัดเชียงใหม่ ได้มีคำพิพากษาว่า
จำเลยมีความผิด ตาม พ. ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ
ลงโทษจำคุก ๖ เดือน ปรับ ๑๕,๐๐๐ บาท
จำเลยรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๓
เดือน ปรับ ๗,๕๐๐ บาท โทษจำคุกรอไว้ ๒ ปี และให้จำเลยและบริวาร
ลูกจ้าง ออกจากป่าสงวนแห่งชาติ
การกระทำของจำเลยตามคำฟ้อง ก่อให้เกิดการขาดแคลนไม้
ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อม
เมื่อคำนวณมูลค่าความเสียหายตามคำฟ้องแล้ว คิดเป็นเงิน ๑,๐๔๑,๗๕๘.๘๐
บาท
โจทก์ได้มอบหมายให้พนักงานอัยการทวงถาม แต่จำเลยยังคงเพิกเฉย ละเลย
พนักงานอัยการจึงมา ฟ้องเป็นคดีแพ่ง
ให้จำเลยต้องรับผิดชำระเงินค่าเสียหายตามฟ้อง รวมเป็นเงิน
๑,๐๔๑,๗๕๘.๘๐ บาท และต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี
คิดเป็นดอกเบี้ยจำนวน ๑๓๐,๒๑๙.๘๕ บาท รวมเงินต้นและดอกเบี้ย
๑,๑๗๑,๙๗๘.๖๕ บาท
คำให้การ:
-
ไม่รู้กฎหมาย:
จำเลยไม่เคยรู้หรือเห็นประกาศตามที่โจทก์กล่าวอ้าง
และมิได้มีการปักกันแนวเขตที่อยู่อาศัย
-
จำเลยมีสิทธิชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม:
พื้นที่เกิดเหตุเป็นชุมชนชาวเขาเผ่าม้ง ซึ่งตั้งหมู่บ้าน
และมีจารีตประเพณีทำไร่หมุนเวียน ปลูกข้าว และข้าวโพด
อยู่ในพื้นที่นี้มาประมาณ ๑๕๐
ปีก่อนประกาศกฎกระทรวงตามที่โจทก์กล่าวอ้าง
กฎกระทรวงดังกล่าวจึงขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๖ อย่างชัดเจน
-
จารีตประเพณีการทำไร่หมุนเวียน
เป็นไปตามสิทธิชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม:
การทำเกษตรหมุนเวียนของจำเลย เป็นพืชยังชีพ
ซึ่งเป็นจารีตประเพณีและวิถีชีวิตของชุมชนที่จำเลยอาศัยอยู่
และมิได้เป็นเหตุให้เกิดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมดังที่โจทก์กล่าวอ้าง
-
เจ้าหน้าที่รัฐใช้บังคับกฎหมายไม่เป็นธรรม:
จำเลยเข้าทำกินในพื้นที่เกิดเหตุ มาแต่ปี ๒๕๓๙
และมีชาวบ้านได้ทำกินกันอยู่เป็นจำนวนมาก
ซึ่งชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้ตกลงให้พื้นที่ดังกล่าวกลับคืนสภาพป่า
และให้ชาวบ้านปลูกไม้ป่า โดยใช้พันธุ์ไม้ที่ทางป่าไม้แจกให้
ในวันที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้ไปที่เกิดเหตุ
แจ้งให้จำเลยไปรับกล้าไม้ที่หน่วยป่าไม้เพื่อมาปลูกในที่เกิดเหตุ
ดังเช่นที่เคยปฏิบัติมา เมื่อจำเลยเข้าไปที่หน่วยป่าไม้
เจ้าหน้าที่กลับจับกุมและแจ้งข้อหาว่าบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ
การกระทำของเจ้าหน้าที่ป่าไม้เป็นการกระทำที่ใช้เล่ห์เพทุบาย
และเป็นการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมแก่จำเลย (ดูหนังสือนี้ด้วย: รัตนาพร
เศรษฐกุล, พิริยะ สีหะกุลัง, อุทิศ ชำนิบรรณาการ,
สิทธิชุมชนท้องถิ่น – ชาวเขา,
(ผู้ประสาน & หัวหน้าโครงการ: เสน่ห์ จามริก และชลธิรา
สัตยาวัฒนา), นิติธรรม, ๒๕๔๖: ๓๒๘)
-
จำเลยรับสารภาพเพราะอยู่ไกลศาล:
การที่จำเลยรับสารภาพในคดีอาญานั้น เพราะจำเลยยากจน
บ้านห่างไกลจากศาลในตัวเมือง การเดินทางยากลำบาก
ทุนทรัพย์จึงไม่เพียงพอในการต่อสู้คดี
และไม่ต้องการสร้างภาระให้แก่ญาติพี่น้องและเพื่อนบ้าน
คำพิพากษาศาลจังหวัดเชียงใหม่:
-
ในคดีอาญา: ทนายจำเลยไม่ได้ต่อสู้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๖
และจำเลยยอมรับสารภาพในชั้นศาล
-
ในคดีแพ่ง: ทนายจำเลยได้ต่อสู้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๖
แต่ศาลวินิจฉัยว่า ในการพิจารณาคดีส่วนแพ่ง
ศาลต้องถือข้อเท็จจริงที่จำเลยรับสารภาพในคดีอาญา ดังนั้น
ในคดีแพ่งจึงต้องฟังว่าจำเลยทำผิดกฎหมายแพ่งด้วย และมีประเด็นเดียวว่า
จำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายเพียงใด
ซึ่งศาลพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย
แต่ให้ลดลงเพราะโจทก์เรียกค่าเสียหายสูงเกินส่วนไป
และไม่มีประเด็นพิจารณาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๖
รวมทั้ง
ไม่มีประเด็นพิจารณาวิธีที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้บังคับกฎหมายไม่เป็นธรรม
จำเลยไม่อุทธรณ์คำพิพากษาในคดีแพ่ง เพราะไม่มีเงินวางศาล แต่โจทก์
(อัยการ) อุทธรณ์ขอค่าเสียหายเต็มจำนวน ในท้ายที่สุด โจทก์ (อัยการ)
ได้ถอนฟ้องไป เพราะเห็นว่า จำเลยไม่มีเงินชำระค่าเสียหายจริง