เที่ยวญี่ปุ่น 4 จังหวัดในวันเดียว เหนื่อย..แต่ประทับใจสุดๆ


สภาพอาคารบ้านเรือน ร้านค้าจึงยังคงมีเสน่ห์ดึงดูดใจให้คนมาเยี่ยมเยือนเกียวโตไม่ขาดสาย

          ความเดิมตอนที่แล้ว เราหยุดพักการเดินทางท่องญี่ปุ่นที่เมืองนาโกย่า ก่อนจะท่องญี่ปุ่นต่อในวันรุ่งขึ้น ซึ่งมีโปรแกรมค่อนข้างแน่น เราต้องเที่ยวแบบทำเวลาหน่อยครับ

    เที่ยวญี่ปุ่น 4 จังหวัดในวันเดียว ...สนุกแต่เหนื่อยสุดๆ <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">———————————————————-</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p>               เรายังคงใช้สูตร 678  พร้อมแล้วออกเดินทางมุ่งสู่เมืองเกียวโตใช้เวลา  2  ชั่วโมงก็ถึง  เมืองเกียวโต เป็นเมืองหลวงเก่าที่ยังมีร่องรอยโบราณสถาน บ้านเรือนสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิมอยู่บ้าง  โดยเฉพาะที่วัดคิโยมิสึ  วัดศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของเกียวโต มีโบราณสถานที่เก่าแก่ที่มีคุณค่าน่าสนใจชมเป็นอย่างยิ่ง   </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">              ไกด์ราณีเล่าถึงเมืองเกียวโตให้ฟังว่า  เมืองเกียวโตเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น  แต่ละวันมีเงินสะพัดมาก สามารถสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเข้าเมืองเป็นจำนวนมหาศาลจนกลายเป็นเมืองที่มีรายได้สูงที่สุดแห่งหนึ่ง  ในแต่ละปี  รัฐบาลเก็บภาษีจากรายได้เป็นกอบเป็นกำ  ชาวเกียวโตมีฐานะร่ำรวยจากการทำธุรกิจค้าขายเกี่ยวกับการท่องเที่ยวที่หลากหลาย  ดังนั้น ชาวเกียวโตจึงรักและหวงแหนทรัพยากรการท่องเที่ยวของเขาอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นสภาพอาคารบ้านเรือน ถนนหนทาง วัดวาอาราม ต้นไม้ และสิ่งแวดล้อมต่างๆ พวกเขาพยายามรักษาดูแลให้ดีอยู่เสมอ  เพราะสิ่งเหล่านี้คือเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวเกียวโต  ตัวอย่างเช่น ไม่สร้างอาคารสูงเกิน 4 ชั้น เพราะจะไปบดบังทัศนียภาพอันงดงามของเมือง อาคารบ้านเรือนแบบเก่าดั้งเดิมก็จะรักษาไว้อย่างดี ไม่ซ่อมแซมต่อเติมเอง แต่จะแจ้งให้รัฐทราบเพื่อให้มาตรวจดูสภาพและให้คำแนะนำในการซ่อมแซมเพื่อให้คงแบบทางสถาปัตยกรรมดั้งเดิมไว้ให้มากที่สุด  รวมถึงช่วยกันตกแต่งอาคารบ้านเรือนให้สวยงามตามแบบบ้านเรือนดั้งเดิม  ดังนั้นสภาพอาคารบ้านเรือนร้านค้าของเขาจึงยังคงมีเสน่ห์ดึงดูดใจให้คนมาเยี่ยมเยือนเกียวโตอยู่ไม่ขาดสาย</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">                วันที่เราไปถึงนั้นเป็นวันอาทิตย์  เป็นวันหยุด มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างประเทศพากันหลั่งไหลมาเกียวโต และทุกคนก็จะมุ่งหน้ามายังวัดคิโยมิสึก่อนเป็นอันดับแรก เพราะวัดคิโยมิสึคือสัญลักษณ์ของความเก่าแก่ของเกียวโต ใครมาเกียวโตแล้วไม่ได้ไปวัดคิโยมิสึก็เท่ากับไม่ได้มาเกียวโต ดังนั้นสภาพการจราจรบนถนนสายหลักภายในเมืองจึงติดขัด รถเคลื่อนได้ทีละคืบ  กว่าจะถึงวัดก็กินเวลากว่าครึ่งชั่วโมงทีเดียว</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">   </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">* วัดคิโยมิสึ  สัญลักษณ์แห่งเกียวโต</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p></p><p>                     วัดคิโยมิสึ  ตั้งอยู่บนเนินเขา ฮิงายามา  เราต้องเดินขึ้นเนินเขาไปยังวัด คนที่แข้งขาไม่ดีก็อาจต้องแวะพักตามริมทางบ้าง  ส่วนหนุ่มสาวอย่างผู้เขียนสามารถเดินขึ้นไปได้สะดวก ไม่เหนื่อยอะไรมากนัก  ทางขึ้นเนินเขายาวประมาณ 200 - 300  เมตร  ไม่ไกลเกินไป  แต่เรามักจะใช้เวลาไปกับการแวะซื้อของริมทางทั้งสองฝั่งซึ่งตั้งเรียงรายตลอดทาง แต่ละร้านก็จัดตกแต่งหน้าร้านอย่างสวยงาม สินค้าก็มีหลากหลายชนิดให้เลือกซื้อ เช่น ขนม  ลูกอม  ชา เสื้อผ้า  พัด ถ้วยชาม ตุ๊กตา ของชำร่วยเล็กๆ น้อยๆ ของที่เกี่ยวกับศาสนา ความเชื่อ จำพวกเครื่องราง และอื่นๆ ละลานตาไปหมด ร้านขนมส่วนใหญ่มักมีตัวอย่างขนมให้ลองชิม เรียกว่าชิมร้านละ 2 - 3 ชิ้นตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางก็อิ่มพอดี แถมบางร้านมีน้ำชาให้กลั้วคออีก ไม่ซื้อไม่เป็นไร ไม่มีใครว่าสุดแต่เราจะเกรงใจเขาหรือไม่ (ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยเกรงใจ อ้างว่าไม่ถูกปาก ทั้งๆ ที่เข้าปากหาย  เข้าปากหาย )</p><p></p><p></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p>                        บรรยากาศในวันนี้คึกคักมากเป็นพิเศษ เพราะมีนักท่องเที่ยวมากมายเดินกันขวักไขว่ตาลายไปหมดยิ่งกว่างานปอยหลวงบ้านเราเสียอีก ไกด์ราณีบอกว่า วันปกติคนก็เยอะอยู่แล้ว แต่วันนี้ดูจะแน่นเป็นพิเศษเพราะเป็นวันหยุด และมีงานฉลองศาลเจ้าบวกไปอีก ยิ่งทำให้คนมากมายอย่างที่เห็น ดังนั้นเพื่อไม่ให้มีการพลัดหลงกันขึ้น ไกด์ราณีต้องบอกให้พวกเราเดินตามธงสีม่วงที่เธอชูนำทางพวกเรา อย่าพยายามวอกแวกแวะโน่นนี่ เดี๋ยวหลงไปจะเสียเวลาตามหากัน</p><p>  </p><p></p><p>   บรรยากาศคึกคักที่บริเวณทางขึ้นไปชมวัดคิโยมิสึ   ใครมัวแวะชมเลือกซื้อสินค้ารับรองพลัดหลงกันแน่ๆ  </p><p>   </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">                 เรามีเวลาไม่มากที่จะแวะวัดคิโยมิสึ เพราะเราต้องไปอีกหลายที่ หลายจังหวัด  เราควรไปไหว้พระบนวัดก่อน จากนั้นจึงจะปล่อยให้เราซื้อของ เบ็ดเสร็จแล้วต้องไม่เกิน 1 ชั่วโมง </p>    <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">              เมื่อเรามาถึงวัดก็พบเห็นต้นบ๊วยออกดอกสีม่วงเต็มต้นตรงประตูวัดสีส้มสดใส บริเวณด้านหน้ายังมีต้นซากุระปลูกเรียงรายทั่วบริเวณ แต่ยังไม่ออกดอกเพราะยังไม่ถึงฤดู  คิดว่าประมาณปลายเดือนถึงเดือนเมษายน คงจะออกดอกบานสะพรั่งสร้างเสน่ห์ให้แก่วัดคิโยมิสึอีกมาก  เมื่อเข้าไปในเขตวัดก็พบกับความเก่าแก่ของวัด โดยเฉพาะวิหารสิ่งก่อสร้างที่มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่น จุดเด่นอยู่ที่การสร้างวิหารริมเชิงเขา ซึ่งใช้ไม้ซุงขนาดใหญ่ประมาณ 130 ต้น ซ้อนกันขึ้นไปเป็นฐาน</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p>                 ชาวญี่ปุ่นนิยมมาเที่ยววัดนี้ก็เพื่อจุดประสงค์สำคัญ 3 ข้อ คือ หนึ่ง มาไหว้พระและเจ้าแม่กวนอิมที่ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อขอพรตามแต่จะปรารถนา   สอง มาเสี่ยงทายความรักที่ศาลภูมิความรัก ซึ่งจะมีหินศักดิ์สิทธิ์สองก้อนวางอยู่บนพื้นห่างกันประมาณ 10 เมตร ก้อนหนึ่งใหญ่ อีกก้อนหนึ่งเล็ก ผู้ที่จะเสี่ยงทายจะมายืนที่ก้อนใหญ่แล้วอธิษฐานขอให้สมปรารถนาในความรัก จากนั้นจะเล็งก่อนว่าจะเดินอย่างไรให้ตรงกับหินก้อนเล็ก แล้วหลับตาเดินตามที่กะไว้  ถ้าเดินชนหินก้อนเล็กก็จะสมปรารถนา  ตรงบริเวณนี้จะมีหนุ่มสาวนิยมมาเสี่ยงทายกันหนาแน่น จนต้องรอคิวกันยาวเหยียด  เท่าที่สังเกตทุกคนก็จะประสบผลสำเร็จในการเสี่ยงทาย คือเดินชนทุกคนไป  เพราะแม้ผู้เสี่ยงทายจะหลับตา แต่ก็มีกองเชียร์ตะโกนบอกทางซ้ายขวาตลอดเวลา  ถ้าเห็นว่าจะออกนอกลู่นอกทาง กองเชียร์ก็จะลากแขนกลับมาได้ทุกที พอเดินชนทุกคนก็จะโห่ร้องปรบมือแสดงความยินดีกันเสียงดัง เราก็พลอยยินดีไปกับเขาด้วย สนุกดีครับเสี่ยงทายอย่างญี่ปุ่นนี่  </p><p></p><p>                 นอกจากหินเสี่ยงทายแล้ว ศาลเจ้ายังมีระฆังเสี่ยงทายอีก หนุ่มสาวมักมาดึงเชือกสั่นระฆังขอพรให้สมรักสมคู่กันอย่างหนาแน่นอีกเหมือนกัน ส่วนผู้เขียนมีคู่แล้วแต่ก็สั่นระฆังเพื่อขอเพิ่ม เอ๊ย! ไม่ใช่ ขอให้ชีวิตคู่ (เดิม) มีความยั่งยืนตลอดไปส่วนจุดประสงค์ข้อสาม ก็มาเพื่อดื่มน้ำสามสายอันศักดิ์สิทธิ์ น้ำที่ว่านี้ไหลมาจากภูเขาฮิงายามา ซึ่งใสบริสุทธิ์สะอาด  ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าดื่มน้ำสายที่หนึ่ง เพื่อให้สุขภาพดี แข็งแรง  ดื่มน้ำสายที่สอง เพื่อให้ความรักสมหวัง  ส่วนน้ำสายที่สาม ดื่มเพื่อให้ประสบความสำเร็จดังปรารถนา  ดังนั้นทุกคนที่มามักจะดื่มให้ครบทั้งสามสาย ส่วนผู้เขียนขี้เกียจรอคิวและไม่กระหายน้ำ จึงเดินผ่านไปดื่มน้ำชาที่ร้านน้ำชาภายในวัด ได้บรรยากาศไปอีกแบบ </p><p></p><p>                  วัดคิโยมิสึ ได้รับการดูแลทำนุบำรุงอย่างดีจากรัฐและชาวเกียวโต ทำให้สภาพวัดและโบราณสถานทางพุทธศาสนายังคงความเก่าแก่และสมบูรณ์มาก ทำให้องค์การยูเนสโกยกย่องให้เป็นมรดกโลกอีกแห่งหนึ่ง และถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเกียวโตด้วย </p><p>   </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">* ไปชมศาลาทอง หรือ พระราชวังบางปะอินญี่ปุ่น </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p>                       หลังจากใช้เวลาชั่วโมงเศษที่วัดคิโยมิสึแล้ว เราก็ออกเดินทางไปชมสถานที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง ของเมืองเกียวโต นั่นคือ ศาลาสีทองกลางน้ำ คล้ายๆ กับพระราชวังบางปะอินของไทย แต่ของไทยสวยกว่ามาก  ศาลาสีทองนี้แต่เดิมเป็นสถานที่พักตากอากาศของโชกุนอาชิคางะ  โชชิมิสึ  คนไทยรู้จักกันดีเพราะเป็นโชกุนคนเดียวกันในการ์ตูนเรื่อง อิ๊กคิวซัง  </p><p> </p><p>                     อิ๊กคิวซัง หรือ เณรน้อยเจ้าปัญญา เป็นบุคคลที่มีจริงในประวัติศาสตร์ ไกด์ราณีเล่าให้ฟังว่า  อิ๊กคิวซังเป็นลูกของโชกุน ต่อมาโชกุนถูกล้มล้างอำนาจ แม่อิ๊กคิวซังซึ่งอุ้มท้องอิ๊กคิวซังอยู่จึงหนีภัย และคลอดอิ๊กคิวซังออกมา  แม่อิ๊กคิวซังกลัวภัยมาถึงลูก จึงให้อิ๊กคิวซังบวชตั้งแต่ยังเล็ก และไม่บอกกับอิ๊กคิวซังว่าเป็นลูกโชกุน อิ๊กคิวซังจึงรอดพ้นจากการตามล่าอิ๊กคิวซังบวชเป็นพระอยู่ถึง 80 ปี จึงมรณภาพ </p><p></p><p>                       ศาลาสีทองกลางน้ำมีความสวยงามมาก ยามเกิดเงาสะท้อนบนผิวน้ำยิ่งทำให้ศาลางดงามเด่นยิ่งขึ้น นอกจากนั้นบริเวณโดยรอบได้จัดตกแต่งสวนไว้อย่างร่มรื่น งดงาม เราชื่นชมความงามได้ไม่นานนัก ก็ต้องรีบเดินทางไปรับประทานอาหารกลางวัน  มื้อนี้เราจะได้กินอาหารยอดนิยมของญี่ปุ่นอีกชนิดหนึ่ง นั่นคือ  ชาบุชาบุ </p><p></p><p>                     คนไทยรู้จัก ชาบุชาบุ  ในชื่อ สุกี้ยากี้  ทั้งๆ ที่สุกี้ยากี้ก็เป็นอาหารญี่ปุ่นอีกชนิดหนึ่ง  เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องจากความเข้าใจผิดของคนที่มากินชาบุชาบุ แล้วติดใจนำไปเปิดร้านอาหารขาย แต่จำชื่ออาหารไม่ได้ นึกได้แต่ชื่อสุกี้ยากี้ ก็เลยบอกลูกค้าไปว่าเป็นสุกี้ยากี้ คนไทยก็เลยรู้จักแต่ชื่อสุกี้ยากี้ตั้งแต่นั้นมา  ใช่แต่จะเป็นเฉพาะคนไทยที่รู้จักสุกี้ยากี้ว่าเป็นอาหารญี่ปุ่น แม้แต่ฝรั่งเองก็รู้จักสุกี้ยากี้ ในฐานะเพลงญี่ปุ่น เพราะมีเพลงญี่ปุ่นเพลงหนึ่งซึ่งเป็นเพลงที่ไพเราะและได้รับความนิยมมากในอเมริกาและทั่วโลก เรียกว่าติดอันดับท็อปเท็นของอเมริกาอยู่หลายเดือนทีเดียว แต่เพลงนี้มีชื่อยาวมาก ฝรั่งจำไม่ได้ ฝรั่งรู้จักอาหารญี่ปุ่นที่ชื่อสุกี้ยากี้ เลยเอามาเรียกชื่อเพลงดังกล่าว (จนบัดนี้ผู้เขียนก็ยังจำชื่อเพลงที่แท้จริงไม่ได้เหมือนกัน ทั้งๆ ที่ไกด์ราณีบอกตั้งสองเที่ยว)  ฝรั่งจึงเรียกชื่อเพลงนี้ว่าเพลงสุกี้ยากี้ คนไทยก็รู้จักเพลงนี้ดีเช่นกัน </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">                     </p><p>                 คำว่า ชาบุชาบุ มาจากเสียงน้ำในหม้อเดือด  คล้ายๆ กับเสียงเดือดของน้ำที่คนไทยได้ยินว่า ปุดปุด โชคดีนะที่คนไทยที่นำชาบุชาบุมาทำขายในเมืองไทยไม่เรียกชื่ออาหารนี้ตามเสียงน้ำเดือดแบบไทยๆ ว่า ปุดปุด  เพราะถ้าเรียกจริงๆ ก็คงขายไม่ออก </p><p></p><p>               การรับประทานชาบุชาบุที่ถูกต้อง เขาไม่ให้เททุกสิ่งทุกอย่างลงในหม้อ  แต่จะใช้วิธีลวกผัก และนำเนื้อหมูมาจุ่มให้สุก แล้วใส่น้ำและน้ำจิ้มกิน  การเททุกสิ่งทุกอย่างจะกลายเป็นหมูต้มผักหรือผักต้มหมู ชาวญี่ปุ่นมาเห็นเข้าจะอายเขาได้  แต่โต๊ะของผู้เขียนไม่พิถีพิถันอย่างไกด์ว่าหรอก เพราะเรามีเวลากินเพียงครึ่งชั่วโมงเศษ อีกอย่างก็หิวจนตาลายแล้ว อาจารย์ท่านหนึ่งก็เลยแปลงชาบุชาบุ ให้เป็นผักต้มหมู หรือ ปุดปุด ตามแบบไทยๆ  โดยให้เหตุผลว่าเดี๋ยวมันก็ไปผสมกันในท้องเองแหละ จริงไหม              </p><p></p><p>           อิ่มกับชาบุชาบุแล้วก็ออกเดินทางไปยังเมืองนารา เมืองหลวงเก่าอีกแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น และใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง   ระหว่าการเดินทางไกด์ราณีได้เล่าสภาพโดยทั่วไปของญี่ปุ่นให้ฟังตามแต่เราจะซักถาม เช่น เรื่องการซื้อรถยนต์ </p><p>   </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">              ชาวญี่ปุ่นจะซื้อรถยนต์ได้ต้องมีใบสัญญาเช่าที่จอดรถมาแสดงด้วย เพราะสถานที่จอดรถสาธารณะในญี่ปุ่นหายาก ต้องใช้บริการเช่าที่จอดรถของเอกชน สนนราคาก็พอสมควร เช่น ที่จอดรถในตัวเมือง 1 ชั่วโมง ประมาณ 100 เยน (37 บาท)  ถ้าเป็นนอกเมืองราคาต่ำกว่านี้ แต่ถ้าอยู่ในย่านธุรกิจสำคัญ อาจแพงหลายเท่า  การเช่าก็มีหลายลักษณะ ทั้งเช่ารายชั่วโมง รายวัน หรือรายเดือน บางที่ค่าเช่าต่อเดือนอาจสูงถึง 4 หมื่นเยน (1.5 หมื่นบาท)  สังเกตจากที่นั่งรถผ่านหลายเมืองก็จะเห็นธุรกิจเช่าที่จอดรถมีอยู่เต็มไปหมด เพราะพื้นที่ในญี่ปุ่นมีจำกัด หากจอดรถตามท้องถนนอย่างบ้านเรา การจราจรของเขาคงเป็นอัมพาตแน่</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p>                   เราพบเห็นปัญหาการจอดรถตามริมถนนทั่วไปที่เชียงใหม่เรียกว่าจอดแบบตามอำเภอใจ และแบบเย้ยกฎหมายขนาดตีเส้นขาวแดงห้ามจอด ก็จอดกันหน้าตาเฉย บางทีก็จอดในที่ห้ามจอดต่อหน้าป้อมตำรวจก็ไม่เห็นถูกจับกุม บางที่จอดสองฝั่งถนนทำให้พื้นที่ถนนจาก 2  ช่องทาง เหลือเพียงครึ่งช่องทางก็มี  นี่แหละที่เรียกว่า ทำอะไรตามใจคือไทย (ชุ่ย) แท้  แต่ที่ญี่ปุ่นเราจะไม่เห็นคนเขาทำผิดกฎจราจรเลย เขามีระเบียบวินัยมาก </p><p></p><p>                 เรื่องความมีระเบียบวินัยนี้เราต้องยกย่องชมเชยเขา เพราะคนของเขามีมากถึง 126 ล้านคน เขาต้องจัดระเบียบ ต้องแบ่งปันทรัพยากรกัน ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองเขาจะวุ่นวายมาก ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสร้างบ้านหลังเล็กๆ ในพื้นที่ที่จำกัด และใช้พื้นที่ว่างแต่ละมุมอย่างคุ้มค่า สวยงาม มีทั้งปลูกดอกไม้ ทำสวนหย่อม ดูเป็นระเบียบและเป็นธรรมชาติ  ที่นา แปลงผักก็จัดเป็นสัดส่วน ถนนหนทางสะอาดสะอ้าน เรียกว่าเขารักษาดูแลสภาพแวดล้อมและภูมิทัศน์ไว้ได้อย่างสวยงาม น่าอยู่ น่ามอง  ถ้าจะให้คำนิยามวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่น ก็จะได้คำที่ผสมผสานกลมกลืนเป็นบุคลิกของชาวญี่ปุ่นว่า  </p><p></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> มีระเบียบวินัย  ใช้ศิลปะความงาม   บนความประหยัดคุ้มค่า  รักษาธรรมชาติ และเปรื่องปราชญ์ ด้วยเทคโนโลยี่ที่ทันสมัย </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">             คนของเราส่วนใหญ่ยังห่างไกลเขามาก ไกด์ราณีบอกว่า การที่ญี่ปุ่นเป็นอย่างนี้อาจจะมาจากการให้ความสำคัญในเรื่องการศึกษาอบรมและปลูกฝังค่านิยมกันตั้งแต่เด็ก  และคนญี่ปุ่นก็เป็นคนที่รักการศึกษามากประเทศหนึ่ง</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p>              ในเรื่องปัญหาการจราจรในประเทศญี่ปุ่น ก็มีเหมือนกันแต่จะเป็นเฉพาะเมืองใหญ่ๆ อย่าง โตเกียว โอซาก้า นารา แต่ปัญหาไม่รุนแรงเหมือนกรุงเทพฯ หรือเชียงใหม่ เนื่องจากเขามีเทคโนโลยี่ที่ทันสมัย มีการสร้างทางด่วน ทางต่างระดับ ทางลอดอุโมงค์ มากมายเต็มไปหมด รวมถึงระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพ ประกอบกับความมีระเบียบวินัยและความสำนึกในการแบ่งปันและคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมของชาวญี่ปุ่น ทำให้การจราจรญี่ปุ่นดูจะเรียบร้อยดี และไม่ค่อยมีอุบัติเหตุบนท้องถนน </p><p></p><p>                 เมื่อรถเข้าถึงเขตเมืองนารา ไกด์ราณีก็ปลุกสมาชิกที่หลับให้ลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัวไปไหว้หลวงพ่อโตที่วัดโทไดจิ </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">           </p><p>  *วัดโทไดจิ : วัดแห่งหลวงพ่อโตและกวางแสนรู้     </p><p>                  </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">              วัดโทไดจิ  เป็นวัดเก่าแก่ อยู่ในยุครุ่งโรจน์ของตระกูลโชกุน ฟูจิวาระ  วัดแห่งนี้มีศิลปกรรมอันงดงาม มีหลวงพ่อโต ซึ่งเป็นพระพุทธรูปสำริดขนาดใหญ่ประดิษฐานภายในพระอุโบสถใหญ่ที่สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง  ความใหญ่โตของพระอุโบสถและหลวงพ่อโต ทำให้หลายคนนึกถึงปักกิ่งขึ้นมาทันที เพราะมีรูปลักษณะบริเวณ และบรรยากาศคล้ายคลึงกัน   เมื่อเราย่างเท้าเข้าไปในพระอุโบสถ ก็เห็นพระพุทธลักษณะของหลวงพ่อโตชัดเจน คือเป็นพระพุทธรูปพระพักตร์งดงาม น่าเลื่อมใส  นอกจากหลวงพ่อโตแล้ว ยังมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ ณ เบื้องซ้ายและบื้องขวา  เข้าใจว่าน่าจะเป็นพุทธสาวก คือพระสารีบุตร และพระโมคคัลลาน์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปยืนปางประทานพร  หลังจากไหว้พระแล้ว เราก็รีบออกมาถ่ายรูปในบริเวณวัด ที่น่าสนใจก็คือซุ้มประตูวัดที่สร้างไว้ใหญ่โตมาก  ข้างประตูทั้งสองด้านมีรูปแกะสลักไม้ยืนทะมึนอยู่ 2 ตัว  คือ  ฮั่ม และ ฮึ่ม  หมายถึง เกิดและดับ ตามปรัชญาพุทธศาสนา  ฮั่ม จะยืนอ้าปากหมายถึงเกิด   ส่วน  ฮึ่ม จะหุบปาก หมายถึง ดับ  รูปแกะสลักไม้ยืนดังกล่าว เป็นการเตือนสติไม่ให้เราประมาทในการใช้ชีวิต ควรหมั่นสร้างบุญกุศล ละเลิกกิเลส และปฏิบัติธรรมเพื่อมุ่งสู่นิพพาน</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p>                 ภายในบริเวณวัดโทไดจิ มีอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจมาก นั่นคือมีกวางจำนวนมากที่เขาเลี้ยงปล่อยให้เดินภายในวัดอย่างอิสระ  กวางเหล่านี้เชื่องมาก มันมักมาคลุกคลีอยู่กับคนเพื่อขออาหาร  ใครที่ไปชมวัดก็อดที่จะซื้ออาหารเลี้ยงกวางไม่ได้  ฝูงกวางเชื่องเหล่านี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของวัดโทไดจิ และสามารถดึงดูดให้นักท่องเที่ยวไปชมวัดได้ไม่น้อยทีเดียว  สังเกตจากนักท่องเที่ยวมักเข้าไปถ่ายรูปกับกวาง และมักซื้อหมวกเขากวางที่วางขายภายในวัดติดไม้ติดมือกลับไปด้วย  </p><p></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">              เราล่ำลาฝูงกวางแห่งวัดโทไดจิเพื่อเดินทางต่อไปยังโอซาก้า เพื่อไปชมปราสาทแห่งโอซาก้าที่สง่างามที่สุดของญี่ปุ่น แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะทันได้ดูหรือไม่ เพราะเย็นมากแล้วกลัวไปถึงโอซาก้าค่ำมืดและไม่ทันประตูปิด</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p>   (มีต่อตอนต่อไป)</p>

หมายเลขบันทึก: 126097เขียนเมื่อ 7 กันยายน 2007 16:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 18:19 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (16)
  • แวะมาคนแรกเลยคะ
  • ให้อาจารย์พักให้หายเหนื่อยก่อนดีกว่า
  • น้ำตะไคร้สักแก้วไหมคะ...ขอมาจากบ้าน อ.ขจิตคะ
  • แล้วจะแวะมาดูรูปอีกนะคะอาจารย์
P
 sasinanda
สวัสดีค่ะ

อ่านเพลินค่ะ

ดิฉันเคยไปอยู่มา 2เดือน เที่ยวเสียหมดเท่าที่น่าเที่ยว ก็สนุกดีค่ะ

คนมากไปหน่อย ห้องแคบมากๆ แต่สวนสวย ดอกไม้สวย และมีวินัยดีค่ะ

นำอาหารเช้ามาฝากค่ะ

 

อาจารย์คะ รูปนั้นที่ลงมันใหญ่ไป ไฟล์น้ำหนักมากทำให้โหลดช้า หนูช่วยย่อให้แล้ว อาจารย์เซฟไฟล์นี้ไปเปลี่ยนจะทำให้โหลดหน้านี้เร็วขึ้น ของเก่ามัน 1.81 MB ของใหม่ 105 KB เบากว่ากันหลายสิบเท่า http://gotoknow.org/file/sspdnong/Japan001.jpg

เวลานำไฟล์รูปมาลงควรย่อภาพให้เหลือไม่เกินความกว้าง 520 pixels ความละเอียด 72 dpi ก็พอ เลือก save for web quality file ซัก 70-80 จะดีและไม่หนักมากค่ะ รูปของอาจารย์ของเดิมเป็นไฟล์ต้นจากกล้องเลย กว้างตั้ง 2592x1944 pixels ความละเอียด 180 dpi ซึ่งมันเกินความจำเป็น ถ้าอาจารย์ลงไซส์ขนาดนี้ พื้นที่ในการใช้งาน G2K ของอาจารย์จะใส่รูปได้แค่สัก 27-28 รูปก็เต็มโควต้าที่เขาอนุญาตแล้ว แต่ถ้าใส่อย่างที่หนูแนะนำจะได้ประมาณ 500 รูปค่ะ ถึงจะหมดโควต้าของเรา

* แอบรู้ว่าอาจารย์ใช้กล้อง Cannon powershot A95 ด้วยล่ะค่ะ แล้วก็ถ่ายเมื่อวันที่ 17/2/48 555 ยอดนักสืบ รู้ได้ไงเนี่ย : )
รูปอื่นในบันทึกเก่าก็เป็นค่ะ คือตอนอาจารย์ก็อปปี้มาลงต้องดูขนาดจริงจากภาพที่คลิกเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง 

ในส่วน preview ที่อาจารย์ก็อปปี้มานั้นมันแสดงผลแค่ขนาดเหมือนที่ลงในบันทึกนี้ แต่ไฟล์ต้นทางจริงๆ มันใหญ่โตมากเลยค่ะ ดูตัวอย่างขนาดรูปของเก่าที่อาจารย์นำมาลงนะคะ จะเห็นได้ชัดเจนว่าใหญ่ขนาดไหนhttp://gotoknow.org/file/konphet/Picture+260.jpg
เอาโปรแกรม Resized รูปภาพอย่างง่ายมาให้ลองใช้ค่ะ http://www.faststone.org/DN/FSResizerSetup24.exe เป็นโปรแกรมเล็กๆ แต่ใช้งานดี ฟรีด้วย

- เวลาลงเสร็จแล้วก็ต้องไปเซ็ตค่าเล็กน้อย
- ต้องเลือกคลิกถูกที่ช่อง Use advanced options แล้วปุ่ม Advance Options ก็จะ active ให้กดเข้าไป
- คลิ๊กถูกที่ช่อง Use Resize/Resample แล้วก็เลือกช่องสุดท้าย Resize based on one size
- คราวนี้ก็เลือกใส่ค่า exactly ที่ต้องการ เช่น 520 อัตราส่วนอีกด้านจะแปรผันตรงตามสัดส่วนที่เรากำหนดค่ะ
- จากนั้นก็ click ok เท่ากับเรา setting ค่าเสร็จแล้ว

เริ่มแก้ไขรูป
- เลือกรูปที่เราต้องการใน Folder จากเครื่องเราแล้ว add เข้าไป ทำได้ทีละหลายๆ ภาพ
- เลือก folder ที่ต้องการเก็บรูปใหม่ มันจะเปลี่ยนชื่อให้เองตามช่องที่ตั้งไว้ในช่อง rename อันนี้แก้ตามต้องการได้
- กด start มันก็จะทำการแก้ขนาดให้เรียบร้อยครบทุกภาพที่เราเลือกไว้ แล้วก็กด done เป็นอันเสร็จพิธี
- ค่าที่ตั้งไว้แล้วมันจะคงอยู่ ครั้งต่อไปถ้าไม่ต้องการเปลี่ยนก็ใช้ได้เลย ไม่ต้องไปตั้งค่าอีก


ส่วนใหญ่ถ้าลงในเว็บ GotoKnow ถ้าเกิน 640 มันจะทะลุออกไปด้านข้าง และทำให้เมนูตกลงมา เพื่อความปลอดภัย ขนาด 520 อย่างที่แนะนำกำลังสวยค่ะ ไม่หนักเกินไป ใหญ่พอที่จะดูชัด ไม่เสี่ยงต่อการล้นเฟรมด้วย

* เวลาอาจารย์เอาภาพไปใช้กับพวกเอกสารงานสอน ก็ทำได้เหมือนกัน จะทำให้ไฟล์เบาลงเยอะค่ะ รูปจะกำหนดให้กว้างน้อยลงขนาดไหนก็แล้วแต่เรา

คุณ naree ครับ

            ขอบคุณที่ติดตามเป็นคนแรก มีกำลังใจมากเลยครับ  ขอบคุณสำหรับน้ำตะไคร้  เรื่องรูปปรากฏว่ามีปัญหาขัดข้องทางเทคนิคอีกเล็กน้อย กำลังแก้ไขครับ

คุณ sasimanda ครับ

        อาหารเช้าน่าทามากครับ ผมไปเที่ยวญี่ปุ่นเจออาหารเซ็ทแบบนี้ทุกวันครับ อร่อยดี โดยเฉพาะซุปเห็ด และปลาแซลมอน 

       ขอบคุณครับที่ทำให้ระลึกถึงภาพเดิมชัดขึ้นอีกเป็นกอง เอารูปมาฝากอีกนะครับ

คุณ Littie Jazz ครับ

              ขอบคุณมากครับ ผมนำไปลองใช้แล้วได้ผลดีครับ ทำให้ผมได้ความรู้ดีๆ อีกแล้ว

              ลองช่วยเข้าไปดูอีกทีครับ ผมจะนำมาภาพทีเดียวหลายๆ ภาพมาลงในบันทึกได้ไหมครับ  

สวัสดีค่ะ

ขอโทษทีค่ะ รูปอาหารใหญ่ไป ลืม resizedอาจารย์ช่วย save as....แล้วresize นะคะ

ลืมไปค่ะ พอดีจะรีบไปข้างนอก เผลอไป แต่ภาพนี้ ชัดดี ถ่ายมาเองค่ะ

เห็นแล้วค่ะอาจารย์ ใช้ได้ผลดี แต่ว่ารูปเก่ายังไม่ได้แก้ น่าจะไปแก้รูปเก่าๆ ในบันทึกอื่นด้วย วิธีทำก็คืออัพโหลดไฟล์ขึ้นไปใหม่ copy ไปใส่บันทึก แล้วก็ลบรูปเก่าทั้งในบันทึกและไฟล์อัลบั้มออก เท่านี้พื้นที่ของอาจารย์ก็เหลือเฟือ ใช้ได้อีกนาน พอดีได้ไปดูไฟล์เก่าๆ ของอาจารย์มีรูปเยอะที่ขนาดใหญ่มาก ถ้าไม่ไปตามแก้อาจจะทำให้เหลือโควต้าอีกไม่มากในการใช้พื้นที่ค่ะ

ส่วนเรื่องลงทีเดียวหลายๆ ภาพในไฟล์เดียวสามารถทำได้ แต่ต้องใช้โปรแกรมแต่งภาพพวก Photoshop เป็นค่ะ ถึงจะเอารูปมาเรียงต่อกันได้ ประโยชน์คือไม่ต้องอัพโหลดหลายไฟล์ ทำแค่ครั้งเดียว แต่ในทางเทคนิคถ้ารูปเรียงต่อกันก็ยังได้น้ำหนักไฟล์เท่ากับสองรูปอยู่ดี เพราะฉะนั้นมีประโยชน์ประหยัดเวลาอัพโหลดแต่ต้องเสียเวลาไปทำในโปรแกรมแต่งภาพก่อน สรุปว่าทำแบบทีละรูปง่ายกว่าค่ะ

คุณ sasinanda ครับ

         ต้องขอโทษจริงๆ ผมมือใหม่หัดขับยังแก้ไขตรงนี้ไม่เป็นครับ ขอคำแนะนำด้วยครับ

คุณ Littie Jazz ครับ

          ผมลบทิ้งหมดแล้วครับ เดี๋ยวค่อยไปจัดการใส่ใหม่ทีหลัง ขอบคุณมากครับ เรื่องเทคนิคพวกนี้ผมค่อนข้างไม่ค่อยถนัด (คนโบราณ น่ะครับ)

          ขอคำแนะนำเรื่องจัดการภาพหรือแก้ไขข้อมูลในความคิดเห็นด้วยครับ

คุณ Sasinanda เขาหมายถึงขอให้อาจารย์ช่วยเซฟรูปแล้ว resize จากนั้นก็ copy ทั้งข้อความของเขาลงมาโพสใหม่ แต่เอารูปใหม่ใส่ลงไปแทน ประมาณนั้นค่ะ คงไม่เป็นไรหรอกค่ะอาจารย์เพราะมันทะลุไปก็จริง แต่ก็ไม่ได้ effect ให้ menu ด้านข้างตกลงมา ปล่อยไว้อย่างนี้ก็ได้ รูปอาหารใหญ่ดี น่ากิน

ถ้าอาจารย์ลบรูปในไฟล์อัลบั้มหมด ในบันทึกมันจะกลายเป็นช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ แล้วมีกากบาทสีแดงปรากฎขึ้นมาแทนที่รูปเดิมเพราะ lost link คือรูปต้นทางหาย เดี๋ยวไว้พอ upload รูปใหม่ขึ้นไปแล้วก็ค่อยก็อปปี้ไปแก้ในบันทึกก็ได้ค่ะ แล้วก็ลบช่องสี่เหลี่ยมนั้นทิ้งไป ค่อยๆ ทำจะได้ไม่เหนื่อย หวังว่าโปรแกรมที่ฝากไว้ให้ใช้คงช่วยทำให้ชีวิตการเขียนบล็อกง่ายขึ้นนะคะอาจารย์
ขอให้สนุกค่ะ ถ้ามีปัญหาอะไรก็ไปถามหนูที่บล็อกได้นะคะ จะพยายามช่วยเต็มที่ ตอบแทนเป็นค่าวิชาสอนกาพย์กลอน ^ ^

สวัสดีค่ะ P Little Jazz \(^o^)/

ขอบคุณน้องมาก ช่วยอธิบาย พอดีกดเพลินไป ไม่ได้ลดขนาดลงก่อน

น้องน่ารักนะ เอาใจใส่ดีมากเลยค่ะ ไม่เห็นเอาใจใส่เรามั่งเล๊ย!!ล้อเล่นค่ะ...ฮิๆๆ

อาจารย์เดี๋ยวก็เก่งค่ะ ทำไปเรื่อยๆนะคะ ภาพสวยมากๆค่ะ

ซูมัยยะห์ ชั้นปีที่1 sec B

บทความน่าอ่านเป็นที่สนใจมากค่ะ    ได้อ่านเรื่องเล่าแล้วทำให้อยากไปเที่ยวและศึกษาในที่นั้นด้วยค่ะ

คุณซูมัยยะห์

            จะเล่าเรื่องเมืองจีนให้ฟังอีกนะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท