เป็นปลื้มทุกครั้งที่ได้พบได้เห็นน้ำใจไมตรีอันดีงามน่ารัก วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ต้องไปเตร็ดเตร่เดินเล่นอยู่ในโรงพยาบาล เนื่องจากต้องพาแม่ไปคลินิกเบาหวานที่โรงพยาบาลประจำอำเภอ ฉันกับแม่นั้นไม่ว่าจะตื่นแต่เช้าอย่างไร พอไปถึงโต๊ะรับบัตรคิวสำหรับผู้ป่วยเบาหวานแล้ว ก็จะได้อันดับท้ายๆ อยู่เสมอ ตั้งแต่ แปดสิบกว่าไปถึงร้อยกว่านู่น นั่นแปลว่ามีผู้มาเช้ามาก ลงเขาลงดอยกันมาก็มี และบ้างก็มาหยิบทีหนึ่งหลายใบ เอาไว้เผื่อคนกันเองที่มาสาย (เริ่มไม่ยุติธรรม)
คนเฒ่าคนแก่ที่ไปรอแต่เช้ามากๆ โดยไม่ได้กินข้าวกินน้ำนั้นน่าสงสารเพราะการตรวจเบาหวานนั้น ต้องอดอาหารและน้ำ เพื่อมารอคิวเจาะเลือดซะก่อน แล้วจึงจะไปกินข้าวกินปลาได้ พอกินแล้วจึงมานั่งเข้าคิวพบหมอ รอยากันต่อไป นับเวลาแล้ว ใครไปแต่เช้ามืด ก็จะได้กลับเกือบเที่ยงไปนู่น ใครไปสายอาจตกหล่นถึงภาคบ่าย แปลว่าอยู่โรงพยาบาลกันค่อนวัน
วันนี้มีหนุ่มใหญ่วัย สี่สิบเศษคนหนึ่ง ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล ไม่ใช่นักการเมืองท้องถิ่น แต่เป็นผู้ป่วยเบาหวานคนหนึ่ง ที่มองปัญหานี้มานาน และคิดแก้ปัญหาให้ตัวเองและผู้อื่น ด้วยการเสนอความคิด ให้เปลี่ยนวิธีการรับบัตรคิวใหม่
วิธีการของเขาคือ เมื่อผู้ป่วยเบาหวานมาถึง ให้เข้ามานั่งเรียงคิว รอตามลำดับ (ให้นั่งนะคะ ไม่ได้ให้ยืน) ใครมาก่อนก็นั่งเก้าอี้ตัวที่ 1 ที่ 2 เรียงกันไป ใครจะเข้าห้องน้ำก็ให้วางของเอาไว้ ฝากคนข้างๆ ซะหน่อย คือให้จองที่ไว้ เพื่อไม่ให้เกิดการแซงคิว พอนั่งเรียงกันดีแล้ว ให้อาสาสมัครเข้ามาแจกบัตรให้ทุกคนตามลำดับก่อนหลังอย่างยุติธรรม
แล้วเขาก็ขออาสาสมัครหนึ่งคนที่จะรับผิดชอบการจัดคิว 1 คน ปรกติผู้ป่วยเบาหวานจะถูกนัดเจาะเลือดเดือนละ 1 ครั้ง และคลีนิกเบาหวานตามโรงพยาบาลจะเปิดทำการสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เขาจึงต้องหาอาสาสมัครอีก 3 คน (สัปดาห์ละคน) ในการทำหน้าที่แจกบัตรคิว (ตัวอาสาสมัครเองจะต้องเป็นหนึ่งในจำนวนผู้ป่วยที่เข้ามารับการเจาะเลือดในสัปดาห์นั้นด้วย) สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่สี่แล้วที่เขาเข้ามาที่คลีนิกเบาหวานเพื่อขอรับอาสาสมัครแจกบัตรคิว เพื่อความยุติธรรมในการเข้าคิวอย่างแท้จริง
ความจริงแล้ว ที่คลีนิกเบาหวานมีอาสาสมัครก่อนหน้านี้แล้วสองคน คือคุณป้าท่านหนึ่งที่สละเวลาเข้ามาช่วยแนะนำคนแก่คนเฒ่าที่มารับบริการใหม่ๆ ที่ไม่รู้วิธีการว่าต้องไปตรงไหนก่อนหลัง และคุณป้าซึ่งเป็นคนพื้นถิ่น ก็จะแนะนำเกี่ยวกับเรื่องอาหารการกิน และข้อระมัดระวังที่ผู้ป่วยเบาหวานควรรู้อย่างง่ายๆ และมีคุณลุงคนหนึ่ง ซึ่งมีเสียงอันดังฟังชัด ได้เข้ามาช่วยเรียกชื่อผู้ป่วยแต่ละคน เนื่องจากเจ้าหน้าที่เสียงไม่ดังพอ ฉันไปทีไรก็จะพบคุณลุงคนนี้ คอยเรียกชื่อผู้ป่วยแต่ละคนอย่างคุ้นเคย อย่างเต็มอกเต็มใจ และพูดคุยกับพ่ออุ๊ยแม่อุ๊ยที่มารับบริการอย่างกันเอง
ตอนนี้มีอาสาสมัครเข้ามาเพิ่มเติมอีก บรรยากาศในวันนี้ จึงเต็มไปด้วยรอยยิ้มอิ่มใจ หนุ่มใหญ่เจ้าของหัวคิดเรื่องบัตรคิว คุยกับอาสาสมัครหญิง และมอบบัตรคิวให้ไว้ในอุ้งมือ และขอเบอร์โทรศัพท์กันและกัน เพื่อโทรติดต่อกัน ในกรณีฉุกเฉิน เผื่อพี่ผู้หญิงมีธุระปะปังสำคัญใดๆ ไม่สามารถมาปฏิบัติหน้าที่ได้ตามปรกติ จะได้โทรไปบอกพี่ผู้ชายให้มาแทน หรือหาใครมาแจกบัตรคิวแทน ฯลฯ
ฉันรู้สึกถึงความเป็นผู้นำในตัวพี่ผู้ชายคนนี้ ท่าทางของเขาบอกถึงความเป็นคนรักความยุติธรรม และกล้าแสดงออกในสิ่งที่หลายต่อหลายคนคิด มองเห็นปัญหา แต่เพิกเฉยทนๆ เอา เพราะไม่กล้าที่จะลุกขึ้นมาเสนอความคิดเห็นเช่นนี้
ฉันคิดว่า สังคมของเราต้องการนักอาสาเช่นนี้มากๆ
หลายครั้งที่เราอยู่ในภาวะคับขัน ต้องการน้ำใจจากใครสักคนสองคน และหลายครั้งที่เราเองอยากขันอาสาทำอะไรดีๆ เพื่อคนหมู่มาก แต่เราไม่กล้าพอ ทั้งที่สิ่งที่เราอยากอาสานั้นเป็นเรื่องดีๆ แต่เราก็ไม่กล้าพอ จนกว่าเราจะพบเจอผู้นำ .. ของแบบนี้ เรื่องดีๆ แบบนี้ มันเหนี่ยวนำกันได้ .. ว่าไหม?
สวัสดีค่ะคุณ VD ....มีสายตาและมุมมองที่ไม่ค่อยเหมือนใครช่างสังเกต
นะคะ ชอบคุณเล่าแบบสบายๆค่ะ ในชีวิตที่วุ่นวาย เร่งรีบเช่นนี้ มีเวลามองเพื่อนร่วมโลกแบบคุณลุงท่านนั้น คงจะดีไม่น้อย
สวัสดีเจ้า พี่สาว คนเราหากมีน้ำใจและรู้จักคำว่าให้ก็จะสัมผัสได้ถึงความสุขความสบายใจ
ชีวิตเราเราเป็นอะไรได้หลายอย่าง
เป็นนายเป็นลูกจ้างช่างแสนง่าย
แต่ที่เป็นได้ยากลำบากกาย
คือเป็นคนมีความหมายกับทุกคน.
แค่ได้อ่านยังชุ่มชื่นใจ ถ้าได้เป็นคนทำซะเองคงอิ่มใจไปนาน :D
น้ำเอย น้ำใจ๊
รินรดฮดไปตรงที่ใด
ก็ชื่นใจ๊ ชื่นบานนนนนนน ^_^