จากอ้อมกอดแห่งขุนเขา สู่อ้อมแขนของเมืองกรุง
ย่างเข้าเดือนที่สองแล้วสำหรับก้าวใหม่ของฉัน
กับการตัดสินใจออกเดินทางอีกครั้งในชีวิต
องค์กรที่ฉันเข้ามาทำงาน มีเป้าหมายอยู่ที่การพัฒนา และมีตัวชี้วัดผลงานอยู่ที่ผลกระทบทางบวกที่เกิดขึ้นกับประเทศ ไม่ใช่เพื่อสร้างกำไรสูงสุด ซึ่งไม่ต่างจากงานที่ฉันเคยทำมา นอกเสียจาก เป็นองค์กรที่ใหญ่มาก ทั้งงาน ทั้งคน และทั้งเงิน
ย้อนไป 1 เดือนที่ผ่านมา ฉันตื่นเต้นมากกับการทำงานวันแรก ผู้คนเดินไปมากันขวักไขว้ บางคนทำงานในตึกเดียวกันยังไม่รู้จักกัน แม้แต่ชั้นเดียวกันก็เช่นกัน ซึ่งฉันก็กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้เช่นกัน คงเป็นเพราะวิถีชีวิตของคนเมืองหลวงที่ยุ่งวุ่นวายจนไม่มีเวลาไปมองใคร แต่ฉันมีรอยยิ้มแห่งเมืองเหนือเป็นอาวุธ สบตาใครฉันก็ยิ้มให้ทุกคนถึงแม้ว่าบางทีเค้าจะไม่สนใจเลยด้วยซ้ำ...
ฉันนั่งอยู่กับแฟ้มเอกสารเกี่ยวกับหน่วยงานที่ฉันกำลังเป็นส่วนหนึ่งอย่างขมักเขม่น แต่ยังไม่ทันจะเข้าใจอะไรได้อย่างถ่องแท้ ฉันถูกลากเข้าห้องประชุมด้วยเหตุผลแห่งการเรียนรู้และแน่นอนฉันก็ยินดีที่จะไป แต่ฉันไม่เข้าใจอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นชื่อย่อหน่วยงานที่มากมายจนจำไม่ไหว หรือศัพท์ภาษาอังกฤษที่พูดกันแทบทุกประโยค นี่ยังไม่นับรวมเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นงานหลักของฉันที่ฉันแทบจะไม่มีพื้นฐานอะไรเลย... แต่ฉันก็พยายามฟัง จำ จด ตั้งคำถาม ทำความเข้าใจ และเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อฉันจะได้ใช้ประโยชน์มันได้อย่างเต็มที่
องค์กรของฉันเป็นองค์กรใหญ่ การสื่อสารหลัก คือ e-mail ทุกคนต้องเปิด inbox ไว้ตลอดเวลา เพราะจะมีการพูดคุย ประสานงาน รวมทั้งเรื่องด่วนต่างๆ ด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ฉันได้เรียนรู้ และต้องตระหนักเป็นอย่างยิ่ง...วันหนึ่งฉันก็ได้เรียนรู้ถึงความจำเป็นของจดหมายอิเล็กทรอนิกส์กับการทำงาน...หัวหน้าเรียกฉันไปคุยงานด้วย เค้าพูดในสิ่งที่ฉันไม่รู้เรื่องเลย ด้วยความเป็นหัวหน้าและคาดว่าคงผ่านประสบการณ์นี้มาก่อน “ยังไม่ได้เปิดเมลล์ใช่ไหม” มีแต่รอยยิ้มเจื่อนๆ ปรากฏบนหน้าฉัน นั่นคือ อีกสิ่งหนึ่งที่ฉันต้องเรียนรู้ และให้ความสำคัญกับการสื่อสารที่องค์กรใช้ เพราะการสื่อสารที่ดีย่อมนำมาซึ่งงานที่ดี
สัปดาห์ที่สองของการทำงาน ฉันได้รับตารางที่ระบุว่าใครทำงานอะไร รับผิดชอบในเรื่องใดบ้าง นั่นเป็นการดีมากที่มีความชัดเจน และอย่างน้อยทำให้ฉันรู้ว่าฉันควรจะเรียนรู้เรื่องใดเป็นลำดับแรก ฉันเริ่มเรียนรู้จากทั้งเอกสาร และจากผู้รู้ ฉันตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมาย ฉันมั่นใจว่าตั้งแต่เรียนจบมา และทำงานมาหลายหน้าที่ฉันไม่เคยใช้เวลา ความตั้งใจ และสมาธิในการทำงานมากเท่านี้มาก่อน แต่เปล่าเลย...มันยังดีไม่พอ
ช่วงสิ้นปีงบประมาณและเริ่มงบประมาณใหม่ ด้วยฝ่ายฉันเป็นฝ่ายแผนและงบประมาณทำให้งานเรายุ่งมากอย่างช่วยไม่ได้ มีปัญหามากมายเกิดขึ้น มีงานมากทุกคนยุ่งจนไม่มีเวลาเงยหน้ามามองใคร มีการหารือเรื่องราวต่างๆ ตลอดวัน ทั้งทางโทรศัพท์ เมลล์ และการพูดคุย แต่แทบทั้งหมดเป็นเรื่องที่ฉันไม่เข้าใจ ฉันช่วยอะไรไม่ได้มากนอกจากงานที่ฉันรับผิดชอบ ซึ่งเป็นงานที่รับต่อจากหัวหน้ามาทำอีกที ฉันมึนไปหมด ทุกคนงานยุ่ง แต่ฉันกลับช่วยอะไรไม่ได้มาก....ฉันรู้สึกเหมือนไม่มีที่จะยืน
ไม่หรอก ฉันก็เป็นแค่เด็กใหม่เท่านั้น ไม่มีใครว่าอะไรฉันหรอก ฉันต้องมีเวลาเรียนรู้และปรับตัว...เปล่าเลย ฉันคิดผิด นั่นคือ คำแก้ตัวของคนคิดน้อยต่างหาก ฉันได้รับงานมาหนึ่งชิ้นที่ต้องประสานงานกับคนหลายหน่วยงาน และฉันคิดว่าฉันได้แผนไว้อย่างดีแล้ว และควรให้มันเป็นไปตามขั้นตอนที่วางไว้ ทุกคนมีงานของตัวเองฉันควรปล่อยให้งานเดินไปตามครรลอง แต่ฉันคิดผิด... “พี่ว่ามันช้าไปนะ” สิ่งที่ฉันคิดว่าดีแล้ว กลับยังไม่ดีพอ และช้าไป ฉันต้องตาม ฉันต้องถาม ฉันต้องกล้า และฉันต้องวิ่ง...
ฉันกลับมานั่งที่ห้องด้วยจิตใจที่หดหู่ นั่งทบทวนตัวเอง ที่นี่เลือกฉันเพราะอะไร...เพราะฉันเหมาะกับงาน เพราะเชื่อว่าฉันพร้อม เพราะเชื่อว่าฉันทำได้ เพราะเชื่อว่าฉันดีกว่าคนอื่น ใช่ เพราะเค้าเชื่อฉัน และฉันก็ต้องเชื่อตัวเอง...
ฉันไม่อยากมีความรู้สึกเหมือนคนไม่มีที่ยืนอีกต่อไป การเป็นคนใหม่ ไม่ได้หมายความว่าจะมีใครคอยจูงมือ เปล่าเลยทุกคนต้องเดินไปข้างหน้า ส่วนฉัน...ฉันต้องวิ่ง วิ่งเพื่อให้ทันคนอื่น...เพราะฉันชอบที่นี้และฉันอยากยืนตรงนี้...
ฉันคิดได้แล้ว...ถ้าฉันไม่วิ่ง ฉันก็จะไม่มีที่ยืน
โชคดีที่ฉัน...
มีเพื่อนร่วมงานที่ดี มีเพื่อนร่วมคิดที่ให้กำลังใจ มีครอบครัวที่ให้ความอบอุ่น และมีที่นี่ มีเรื่องราวดี ดีให้ฉันเรียนรู้
ช่วยเป็นกำลังใจให้นักวิ่งตัวน้อยๆ อย่างฉันด้วยบางทีเราเอง ก็ไม่รู้ว่า ทำไมต้องวิ่ง ทำไมต้องขึ้นไปบนยอดเขา ถ้าผมภูมิใจกับการขายข้าว ขายน้ำที่ตีนเขา แล้วมองดูคนอื่นๆปืนเขากัน จะผิดไหมนะ
ยังไงก้ขอให้มีความสุขกับงานนะครับ
ขอให้มีความสุข อดทนครับ ผมคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นดีเสมอ...และนั่นเองเป็นบททดสอบเรา หากเราเลือกที่จะมอง มองอย่างที่มันเป็น
เอาใจช่วย
---------
ต้องขออภัยครับ เมื่อวานไม่สามารถรับโทรศัพท์ได้ครับ -- -สบายดี และสบายมากครับ กำลังเดินทางเข้าไปสัมมนาที่เมืองบางกอกเช่นกันครับ
คุณ Zero
ใช่คะ...บางทีเราก็ไม่มีเหตุผลมากมายว่าทำไม ต้องวิ่ง ทำไมต้องปีน แค่ สุขใจ... สุขใจที่ได้พยายาม และสุขใจยิ่งกว่าเมื่อหันกลับมามองผลของความตั้งใจ
การมองดูคนอื่นปีน ก็เป็นความสุขอีกแบบ ของอีกคน อีกความคิด พอใจกับความสุขและเส้นทางของตนเอง...ใช้ชีวิตบนพื้นฐานของความสุข..
ขอบคุณที่มาให้กำลังใจนะคะ
ขอให้มีความสุขกับชีวิตเช่นกันคะ
---^.^---
อ้ายเอก....
ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่มีให้กันเสมอเจ้า
---^.^---
เดินทางอีกแล้ว ดูแลตัวเอง และมีความสุขกับการทำงานเน้อเจ้า เอาใจช่วยเสมอ
อาจารย์เออ...
ดีใจเช่นกันที่ได้ทำในสิ่งที่ท้าทาย
จะดีใจมากขึ้นถ้าก้าวไปถึง...
---^.^---
สู้ๆ เหมือนกันนะ
ภูมิใจกับสิ่งที่เลือก
สุขใจกับสิ่งที่ทำ
โลกสดใส...ใจเบิกบาน
---^.^---
ขอบคุณอาจารย์ขจิตที่แวะมาให้ข้อคิดดีๆ คะ