ระบบภูมินิเวศน์วัฒนธรรม โดยรวมมีพื้นที่เป็นภูเขาส่วนพื้นที่ระหว่างหุบเขา หรือเชิงเขาเป็นพื้นที่ลอนคลื่นตื้น ลักษณะภูมินิเวศน์แบบนี้จึงเหมาะต่ออุปนิสัยของชนเผ่าไทโซ่ และผู้ไท ที่นิยมธรรมชาติแบบภูเขา
ภาพด้านล่าง ที่ตรงจุดสีน้ำเงินเข้มซ้ายมือนั่นคือสถานที่เคยเป็น “อาศรมอโรคยา” มาก่อน หมายถึงโรงยา หรือโรงหมอ หรือชัดๆคือ โรงพยาบาลของกลุ่มคนที่ติดเชื้อเอดส์ และโรคร้ายแรงต่างๆ มีอาคารง่ายๆรองรับ มี “หมอป่า” ที่ออกมาใช้ชีวิตตามปกติ เล่าว่ามีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยทีเดียวที่เดินทามารักษาตามแบบป่าและพื้นบ้าน โดยใช้สมุนไพรป่า ซึ่งผลเท่าที่ทราบว่ามีจำนวนหนึ่งที่ดีขึ้นถึงหาย และจำนวนไม่น้อยที่ต้องล้มหายตายจากไป ช่วงที่ผู้บันทึกเข้ามาทำงานใหม่ๆ กลางปี 44 นั้น อาศรมนี้ปิดไปแล้ว
จุดสีเขียวขวามือนั่นคือบริเวณเจดีย์เจ้าปู่องค์ดำที่ศักด์สิทธิของชาวไทยบรูดงหลวง ที่ทุกวันตรุษโซ่ชาวโซ่ทุกหมู่บ้านของตำบลพังแดงจะจัดผู้แทนมาร่วมทำพิธีกรรมทางความเชื่อของเขา และชาวบ้านทั่วไปก็จะมาทำบุญ กราบไหว้ และขอพรจากท่าน ส่วนที่ว่าประวัติเป็นมาอย่างไร สำคัญอย่างไร เชิญท่านติดตามรายละเอียดได้ที่ เฮฮาศาสตร์ 3 ครับ
ลำห้วยบางทรายและถนนเปรมพัฒนาคู่ขนานไป
หากย้อยรอยไปสมัยที่ยังไม่มีถนนเข้าพื้นที่นี้ ท่านคงนึกออกว่าชุมชนที่มาอาศัยในพื้นที่นี้ก็เป็นชุมชนคนป่า เมืองปิด นานๆจะมีคนนอกเข้ามา และนานๆจะมีคนในเดินทางออกไปข้างนอก ลักษณะเช่นนี้จึงเหมาะอย่างยิ่งต่อวัตถุประสงค์บางประการของคนเรา....
ตรงวงกลมนั้นคือ สำนักสงฆ์บนยอดดอย ซึ่งสร้างขึ้นตรงถ้ำเสรีไทย
ท่านที่สนใจเรื่องประวัติศาสตร์ย่อมผ่านหูผ่านตามาบ้างถึงคำนี้ “รูธ” ถ้านึกไม่ออกก็จะบอกว่าเป็นชื่อของท่านดร.ปรีดี พนมยงค์ ที่ใช้ขานเรียกกันในกลุ่ม “เสรีไทย” สมัยปัจจุบันท่านที่สนใจวิทยุสมัครเล่นก็จะรู้ว่า เขาเรียกว่า Call sign เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเฉพาะกลุ่มเท่านั้นถึงจะรู้ว่าเป็นใคร ที่ผู้บันทึกกล่าวเลยมาถึงนี่เพราะว่าที่ดงหลวงเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ชาติไทยช่วงการกอบกู้ความเป็นอิสระของชาติโดย “กลุ่มเสรีไทย” น่ะซิครับ สภาพภูมินิเวศน์แบบป่าทึบไม่ใกล้ไม่ไกลจากรอยต่อเมืองระหว่างสกลนคร กาฬสินธุ์ มุกดาหาร หรือสมัยก่อนคืออุบลราชธานี
ครับที่บ้านมะนาวหมู่ที่ 1 ตำบลพังแดง มีถ้ำเสรีไทยอยู่ด้วย บนยอดเขาครับ ชาวบ้านผู้สูงอายุเล่าให้ฟังว่า อดีตเหล่าเสรีไทยสายอีสาน ล้วนเข้ามาอาศัยดงหลวงเป็นเขตพักพิง และเก็บอาวุธ ยุทโธปกรณ์ต่างๆมากมาย ก่อนที่จะนำไปออกปฏิบัติการตามแผนงานของเสรีไทย ในพื้นที่เขาเทือกเขาภูพานนี้มีถ้ำมากมายทั้งในจังหวัดกาฬสินธุ์ สกลนคร นครพนม นอกจากถ้ำแล้วก็จะมีสนามบินลับของฝ่ายเสรีไทยอยู่หลายพื้นที่ด้วย
ถ้ำเสรีไทยเหล่านี้ต่อมาก็มีเผ่าไทยอีกกลุ่มหนึ่งเข้ามาใช้ประโยชน์ในลักษณะคล้ายๆกันก็คือ สมัยที่พื้นที่นี้ตกอยู่ในการปกครองของลัทธิสังคมนิยม โดยเฉพาะถ้ำจะเป็นที่เก็บของผู้เฒ่าทั้งชายหญิงทั้งหลายที่เข้าป่าไปพร้อมกับลูกหลาน แต่ความเฒ่าแก่การเดินเคลื่อนย้ายก็ลำบาก เมื่อมีข่าวมาว่า ทหารจะบุก ต่างก็เคลื่อนย้ายออกไปที่อื่นๆ แต่คนเฒ่าไปไม่ไหวก็พักอาศัยในถ้ำเหล่านี้ โดยมีทหารป่า 2-3 คนช่วยอยู่เป็นเพื่อน ดูแลต่างๆให้..เอ้อ ลำบากลำบนกันจังเลย
จนเมื่อถนนดำสาย “เปรมพัฒนา” ถูกก่อสร้างขึ้นเมื่อปี 44 นั่นแหละ สังคมดงหลวงก็เปิดอ้าซ่า..ต่อสังคมภายนอก จนมาถึงปัจจุบัน วันเวลาผ่านไป เรื่องราวในอดีตค่อยๆถูกยุคสมัยกลืนกินไป การเสียสละ การ “รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย” ต่อสู้เพื่อประเทศชาติให้คนยุคดิจิตอลอย่างเรามาชื่นชม ถ้าเราไม่กล่าวถึงประวัติศาสตร์ช่วงนี้บ้าง ก็เท่ากับเราเป็นคนไม่มีราก ไม่มีเหง้า ด้วยความเคารพบรรพบุรุษผู้เสียสละ
(หากท่านอยู่กรุงทพฯ หรือเข้ากรุงเทพฯ หาเวลา หรือพาลูกจูงหลานไปเที่ยว ภัณฑารักษ์อาคารเสรีไทยอนุสรณ์ สวนเสรีไทยถนนเสรีไทย เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ ๐-๒๓๗๔-๖๗๐๐ โทรสาร ๐-๒๒๔๖-๐๒๘๖ เวลาทำการ ๙.๐๐ – ๑๗.๐๐ น. ปิดวันจันทร์และวันนักขัตฤกษ์)
สวัสดีครับน้องกิ่ง คนดีของท่านครูบาและแม่หวี และของทุกคน
มันจะเป็น KM ธรรมชาติอีกแบบหนึ่งไปเลยครับ เอาเป็นความหลากหลายของแบบ KM ที่อยากให้มาร่วมกันครับ
HS3YM and Hamonic ; Roger...และจะ QRD ดงหลวงแน่นอนครับ
ผมลืมไปหมดแล้วท่าน สะ-มะ-นึ-กะ
เกือบ 20 ปีแล้วมั๊ง หุ หุ..ตั้งแต่มือถือมายึดครองตลาดนี้นะ วิทยุสมัครเล่นก็หดตัวลงเยอะเลยนะครับ
สวัสดีค่ะพี่บางทราย ประวัติศาสตร์ทำให้เรารู้รากเหง้าของตนเอง แต่น่าเสียดายที่การสอนประวัติศาตร์ในโรงเรียนกลับทำให้ประวัติศาสตร์กลับถูกมองว่าเป็นแค่ "อดีต" นักเรียนก็ได้แค่ท่องๆ จำๆเพื่อไปสอบ ไม่เห็นคุณค่าของตนเอง
เรื่องราวที่พี่บางทรายเล่ามาทำให้เกิดความรู้สึก เห็นคุณค่าของสิ่งที่เกิดในอดีต เป็นความรู้สึกว่ามีสิ่งที่ร่วมกันในบริบทแห่งประวัติศาสตร์และปัจจุบัน
กระทรวงวัฒนธรรมได้ดำเนินการศึกษาวิจัยถึงการสร้าง "ภูมิทัศน์วัฒนธรรม" สิ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าคนในท้องถิ่นไม่ตระหนักถึงคุณค่าประวัติศาสตร์แห่งท้องถิ่นตน จะไปรักษาทุนประเภทต่างๆที่ตนมีอยู่ได้อย่างไรหากไม่เข้าใจ"ราก"ของตนเอง
ความหลากหลายแห่ง"ภูมิทัศน์วัฒนธรรม"ยังสามารถนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันได้อย่างมากแสดงถึงความมั่งคั่งทั้งทรัพยากร และภูมิปัญญาของชาติใช่มั้ยคะ
ถูกใจจังเลยคุณนายครับ
ระบบหลักสูตรการเรียนการสอนแม้ในป่าเขาดงหลวงก็เหมือนกับเด็กเรียนที่ใจกลางกรุงเทพฯ
แล้วประวัติศาสตร์ท้องถิ่นล่ะหายไปไหนหมด ซึ่งเป็นจิตวิญญาณของบรรพบุรุษของเขาเองด้วยซ้ำไป
หรือบางทีแนวคิดที่จะเชิดชูแต่ประวัติศาสตร์กรุงเทพยังคมสืบต่อเนื่องไปเพียงเท่านั้น
การปรากฏของผู้มีบุญในอีสานมีมากมาย คือปรากฏการณ์ของสังคมท้องถิ่น ไม่มีเรียนในระดับประถมมัธยม แม้แต่มหาวิทยาลัย แต่มีนอกหลักสูตร
อยากเห็นผู้เฒ่าผู้แก่เป็นครูสอนประวัติศาสตร์ท้องถิ่นให้ลูกหลาน และเรียนกันใต้ต้นยางนาใหญ่ชายป่า ซึ่งอดีตเป็นที่รวมพลของกลุ่มรักชาติ มีแต่หลักสูตรนอกโรงเรียนเท่านั้นที่ทำกับ ระบบโรงเรียนมันเป็น Deschooling ตายไปแล้วอย่างที่ Nicholus Bennethเขียนไว้เมื่อ 25 ปีที่แล้ว
มันเป็น KM ท้องถิ่นที่ยังไม่มีใครกล่าวกันครับ เฮฮาศาสตร์ 3 จะหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาแบบเงียบๆ
อยากเห็นผู้เฒ่าผู้แก่เป็นครูสอนประวัติศาสตร์ท้องถิ่นให้ลูกหลาน และเรียนกันใต้ต้นยางนาใหญ่ชายป่า ซึ่งอดีตเป็นที่รวมพลของกลุ่มรักชาติ มีแต่หลักสูตรนอกโรงเรียนเท่านั้นที่ทำกับ ระบบโรงเรียนมันเป็น Deschooling ตายไปแล้วอย่างที่ Nicholus Bennethเขียนไว้เมื่อ 25 ปีที่แล้ว
น้องออต ออต
สวัสดีครับ ผมกำลังศึกษาประเผ่าโซ่อยู่ไม่ทราบว่าอาจารย์พอที่มีประที่มาที่ไปของชนเผ่าโซ่ (ดงหลวง)อย่างละเอียด หรือเปล่าครับ ถ้ามีช่วยส่ง เมล์ให้ผมหน่อยครับ จะเป็นพระคุณมากครับ ขอบคุณครับ
สวัสดีน้อง sanya
สวัสดีคะพี่บางทราย
มาระลึกถึงเฮฮาศาสตร์ 3 ดงหลวงกับประวัติศาสตร์ไทย
มีแฮงหลาย ๆ นะค่ะ
สวัสดีครับน้องหมู
ดงหลวงมีประวัติศาสตร์อีกมาก แค่ไปนั่งคุยกับอดีตสหายเก่าระดับหัวหน้า ก็บันทึกไม่ไหวแล้ว แต่นั่นน่ะคือประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่สำคัญ จะพยายามทำเท่าที่จะมีเวลา อยากจะสร้างน้องๆมาช่วยบันทึกด้วยครับ นับวันจะล้มหายตายจากลงไปหมด ล้วนมีความสำคัญต่อการเรียนรู้ทั้งนั้น
ขอบคุณครับน้องหมูสาวแกร่งของเรา