"วันเด็ก" ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นวันของเด็กๆ ช่วงวันเด็กที่ผ่านมามีโอกาสได้ไปร่วมสนุกและเก็บเกี่ยวรอยยิ้มของเด็กน้อยที่หลายคนขนานนามว่าเป็นเด็กไร้สัญชาติ
งานวันเด็กไร้สัญชาติครั้งที่ 4 ประจำปี 2549 ได้จัดขึ้นที่บริเวณสนามศูนย์พัฒนาเครือข่ายเด็กและชุมชน ต.แม่คง อำเภอแม่สะเรียง บ้านท่าเรือ อยู่ในเขตตำบลสบเมยจังหวัดแม่ฮ่องสอน
น้องๆ รู้ไหมว่าในประเทศไทยเรามีเพื่อนๆ ที่ไร้สัญชาติที่อยู่ในระบบการศึกษาในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ประมาณ 3,990 คน (จากข้อมูลของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ) ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่น้อย ซึ่งยังไม่นับรวมกับเด็กอีกจำนวนมากที่อยู่นอกระบบการศึกษา
ในวันงานมีโอกาสได้พูดคุยกับเยาวชนไร้สัญชาติอยู่หลายคน อย่าง "ใหม่" เธอกำลังศึกษาอยู่ ม.4 เธอเล่าอย่างเปิดใจว่า คำว่าสัญชาติเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต เมื่อสมัครขอทุนการศึกษาในโรงเรียน แต่โรงเรียนไม่รับเพราะว่าเราไม่มีทะเบียนบ้าน และบอกว่าไม่ใช่คนไทย
อีกหนึ่งคน "มึดา" ตัวแทนเด็กไร้สัญชาติได้สะท้อนปัญหาว่า สิ่งที่เจอตอนนี้คือ พ่อกำลังไม่สบาย เป็นคล้ายๆ มะเร็ง ที่ลำคอ ไปนอนโรงพยาบาลได้ 20 กว่าวันแล้ว ที่โรงพยาบาลมหาราชเชียงใหม่ ตอนไปครั้งแรกหมอถามว่ามีบัตรสุขภาพ มีบัตรทองไหม ก็บอกว่าไม่มี แล้วหมอถามว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นใครจะรับผิดชอบ ซึ่งคำถามนี้เป็นคำถามที่มึดาก็ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรเช่นกัน
ขณะที่กำลังคุยกับเยาวชนคนโตเรื่องเศร้าๆ ของเด็กไร้สัญชาติ ในมุมหนึ่งก็เห็นเด็กตัวน้อยที่ยังไม่รู้เรื่องของการเป็นเด็กไร้สัญชาติกำลังสนุกสนานกับงานวันเด็กกันยกใหญ่ พวกเขาได้เล่นเกม ได้กินขนม ได้ของขวัญชิ้นใหญ่
เวลาล่วงเลยไป จนตอนท้ายของงานมีโอกาสได้คุยกับเด็กหญิงณัฐกานต์ เด็กไร้สัญชาติที่กำลังเขียนจดหมายถึงคุณอาทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ณัฐกานต์ อ่านข้อความในจดหมายตอนหนึ่งว่า
"วันเด็กปีนี้ ดิฉันปรารถนาอยากขออะไรท่านสักอย่าง สิ่งที่ดิฉันขอมีแต่ท่านคนเดียวที่จะทำได้ ของขวัญชิ้นนั้นก็คือ เปลี่ยนสถานะคนไร้สัญชาติให้เป็นคนที่มีสัญชาติไทย และอยากเห็นอัศวินขี่ม้าขาวยื่นมือเข้าช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากให้เป็นบุญตาสักครั้ง"
นี่คือเรื่องราวของเด็กอีกกลุ่มที่ถูกขนานนามว่า "เด็กไร้สัญชาติ" แต่ถึงอย่างไรแล้ว พวกเราก็หวังว่าอนาคตอันใกล้ปัญหาเด็กไร้สัญชาติคงหมดไป และไม่มีเด็กและเยาวชนคนไหนถูกเรียกว่าเป็นเด็กไร้สัญชาติอีก
ไม่มีความเห็น