วันอังคารตอนบ่ายๆ ผมกับคุณยุ้ย (เลขาโครงการกัลยาณมิตร) กำลังเยี่ยมบ้านผู้ป่วยมะเร็งอยู่ มีโทรศัพท์จากท่านผู้อำนวยการ รพ. นครไทยเชิญผมไปบรรยายที่ รพ. นครไทยเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ผมตอบตกลงในทันทีเพราะคิดว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะร่วมสร้างเครือข่ายการดูแลที่เกิดจากความสนใจของคนในระดับผู้นำ รพ.เราตกลงว่าจะบรรยายในวันที่ 14-15 กรกฎาคม 2550 ได้แบ่งผู้เข้าประชุมเป็น 2 รุ่น โดยหัวข้อการบรรยายมีดังนี้
- สารคดีชีวิตจาก “มรณานุสรณ์ของคุณสุภาพร พงศ์พฤกษ์” 35 นาที
- แลกเปลี่ยนประสบการณ์การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย (ระหว่างวิทยากร-ผู้ร่วมประชุม)
- สำรวจความต้องการของผู้เข้าร่วมการอบรม
แนวคิดการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง palliative care
ทักษะการสื่อสาร : การแจ้งข่าวร้าย
ประสบการณ์โครงการกัลยาณมิตร รพ . แม่สอด
-เสวนาแบ่งกลุ่มย่อยใน 2 ประเด็นหลัก
1. วิเคราะห์การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายใน รพ. นครไทย (สถานการณ์ปัจจุบัน-จุดเด่น-อุปสรรค/ส่วนขาด-แนวทางแก้ไขปัญหา)
2. การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายในบริบท รพ. นครไทย
- นำเสนอผลการเสวนา (กลุ่มละประมาณ 15 นาที)
- สรุปบทเรียน
ซักถาม-อภิปราย
รพ. นครไทยมารับผมประมาณ 5.00 น. ผมเริ่มรู้สึกว่าตอบรับไวเกินไป (ไม่นึกเลยว่าจะไกลขนาดนี้ (มากกว่า 400 กม.)แต่ก็มีภูมิประเทศสวยงามเป็นเส้นทางที่มีที่ท่องเที่ยวเยอะ ระหว่างที่เดินทางมือถือที่ใช้มานาน 4 ปีก็ขาดใจตาย (ตามหัวข้อที่ต้องไปบรรยาย)
การบรรยายได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก มีบุคคลากรทุกฝ่ายรวมทั้งแพทย์เข้าฟังและในวันที่ 2 ก็มีคำถามมากมาย ผมรู้สึกถึงความตั้งใจของผู้เข้ารับการอบรม
ผมได้ข้อสรุปของประเด็นคำถามที่สำคัญคือ
1.จะดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายอย่างไรถ้างานยุ่งมากๆ
2.บุคคลากรขาดทักษะ/ความรู้ในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย
3.จะตั้งทีมดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายใน รพ.ดีหรือไม่
4.จะทำอย่างไรให้เกิดการมีส่วนร่วมพร้อมใจกันทำทั้ง รพ.
ผมได้ให้ข้อสรุปในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายไว้ดังนี้
1.การจะเปลี่ยนแปลงอะไรซักอย่างต้องเริ่มจากใจก่อน
2.ไม่ต้องรอผู้เชี่ยวชาญเพราะความเชี่ยวชาญจะเกิดจากการหาความรู้ด้วยตนเอง+ปฏิบัติจริงจนเกิดทักษะ (ไม่มีใครรู้จัก รพ.นครไทยได้ดีเท่าคน รพ. นครไทย)
3.การจะทำอะไรอย่างทำคนเดียว แต่ต้องร่วมแรงร่วมใจกันทำ แต่สำคัญก็คือต้องให้ผู้เกี่ยวข้องทุกคนมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียม (มิใช่ใครจะเชี่ยวชาญกว่าใคร)แต่ต้องมีเจ้าภาพบริหารจัดการ
4.การจะทำให้เกิดระบบการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายได้ต้องเริ่มจากของจริง ทำทีละ case แล้วเรียนรู้ร่วมกัน เมื่อทำไปนานจะรู้บทบาทของกันและกัน จะนำมาซึง่การส้รางระบบการดูแลผู้ป่วยระยสุดท้ายของ รพ. นครไทยเอง
ที่สำคัญก็คือ ทำด้วยใจไม่บังคับ ช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างแท้จริง ความยั่งยืนจะเกิดจากความปิติในใจของผู้ปฎิบัติที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น
มีคำถามมากมายในรายละเอียดว่าจะแก้ case นี้ case นั้นอย่างไรมีจึงให้หลักการง่ายๆว่า
1.ท่านพระพรมคุณาภรณ์ ได้กล่าวไว้ว่า"รู้ไม่ชัดก็คิดไม่ชัด คิดไม่ชัดก็ปฏิบัติการวิบัติ" แปลง่ายๆคือ เราไม่สามารถทำอะไรได้ถูกต้องถ้าไม่เข้าใจผู้ป่วยและครอบครัวอย่างรอบด้านในทุกมิติ ผมบอกชาวนครไทยว่า จะรู้จักมององค์รวมได้ต้องไม่ทำให้เรื่องมันยาก ต้องเปิดใจรับฟังอย่างแท้จริง ไม่มีเงื่อนไข แล้วเราจะรู้เองว่าต้องทำอะไร
2.done with them more than done to them ผมหมายถึงร่วมคิดร่วมทำกับครอบครัวโดยให้พวกเขามีร่วม
3.คนที่จะช่วยผู้ป่วยระยะสุดท้ายได้ ต้องมีจิตใจที่ฝึกฝนให้อ่อนโยนแต่เข้มแข็ง
4.อย่าคิดว่าเราไปให้อะไรเขา บางครั้งเราได้เรียนรู้ด้วยซ้ำไป (ถ้าเราคิดแต่จะช่วย เขาจะอยู่ในสถานะที่ต่ำกว่าเรา แต่ถ้าเราเข้าไปเรียนรู้เขาเรากับเขาจะเท่าเทียมกัน)
สุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณ รพ.นครไทยที่ให้ผมได้มีโอกาสไดเรียนรู้บริบทของ รพ. ชุมชนและทำให้ผมพัฒนาตนเองเช่นกัน