ต้องขอยอมรับว่าการขับเคลื่อนในทีม เพื่อพัฒนางานคุณภาพต่อองค์กรนั้นเป็นไปได้ช้ามาก เหมือนจะอยู่ในช่วงขาลง และหยุดนิ่ง เท่าที่สังเกต ผมก็รู้บ้าง แต่ด้วยความเข้าใจคนเดียวว่า ด้วยบริบทต่างๆที่อยู่รอบตัวเราเช่นนี้ การเดินทางของการเปลี่ยนแปลง อาจจะต้องลดเกียร์ลงจาก 4 เป็น 2 หรือ1 บ้าง
ที่ผ่านมาเราทำอะไร แล้วได้ผลอย่างไรบ้าง มีอะไรที่ไม่ได้ทำ
1. งานหลักคือการเยี่ยมหน่วยงาน ไปเพื่อพูดคุย ลปรร ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง
2. การติดตามผลการพัฒนา เราออกไปเก็บตัวชี้วัด เก็บกิจกรรมที่หน่วยงานทำ
3. การกระตุ้นด้วยวิธีต่างๆ ช่วงนี้ลดลงอย่างมาก
4. การสื่อสาร ประชาสัมพันธ์เรื่องคุณภาพ
วานนี้เช้าผมได้พูดเปิดใจกับท่านเลขาว่าช่วงนี้บรรยากาศการพัฒนาเงียบๆไปนะ สิ่งที่ผมได้ฟังคำตอบ ซึ่งเป็นคำตอบที่ตรงไปตรงมามากๆคือ
1. ทีมเราที่มี 5 คน ไม่ค่อยได้มาประชุม หรือว่าทำงานกันทุกๆบ่ายวันพุธเหมือนเดิม จะเห็นได้ว่า 2 เดือนที่ผ่านมาเราประชุมกันแค่ไม่กี่ครั้ง จากที่เคยทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง
2. คำตอบของผมคือ 3 เดือนที่ผ่านมา ปริมาณคนไข้เพิ่มมากขึ้น ผมอยู่ รพทุกวัน ทำงานตั้งแต่เช้าถึงเย็น ตรวจ ทำงานตลอด แทบไม่มีเวลาว่างปลีกตัวเลย แต่ก่อนทำไมทำได้ ได้เพราะว่าทุกคนสามารถมาได้ เพราะทีมในหน่วยงานที่เราอยู่เข้าใจ แต่หลังๆ ทุกคนก็ติดภาระ ไม่สามารถมาได้จริงๆ อาจจะเพราะไม่ได้จัดเวลาไว้
3. ที่ผ่านมา3 เดือนผมเหมือนใส่เกียร์1-2 แต่ท่านเลขาเดินหน้าด้วยความมุ่งมั่น ใส่เกียร์3-4 ตลอด มุมมองการทำงานของเราช่วงนี้อาจจะต่างกันเล็กน้อย ท่านบอกว่าเครียด และอึดอัดเล็กน้อยเพราะว่า งานที่เราวางไว้ ไม่คืบหน้า การคิดงานใหม่ๆก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะขาดการระดมสมอง คิดคนเดียวก็ไม่มั่นใจ เช่น การตามตัวชี้วัด หลายหน่วยงานไม่ได้ให้ความร่วมมือ อาจจะมีของแถมเข้าหูที่อาจจะทำให้อึ้งเล็กน้อย
4. เมื่อได้ฟังสิ่งที่ท่านคิดและรู้สึก ผมก็เข้าใจ ความมุ่งมั่นของคนทำงาน ผมเองเคยคิดและรู้สึกเช่นนี้มาก่อน ผมได้สะท้อนกลับไปว่า ตอนนี้เราอาจจะมาถึงทางเบี่ยง หรือทางที่อาจจะตีบตันหรือเปล่า พูดต่อไปว่า ทีมประสานรุ่นก่อนๆ ก่อนที่จะมาเป็นเรา ซึ่งเป็นรุ่นที่ 4 นั้น คงจะเจอความรู้สึกเช่นนี้ ที่อาจจะทำให้ แตกแยก หรือว่าท้อถอยได้
ผมมองว่าถ้าเราเหนื่อย ไม่ไหวก็ผ่อนลง หรือว่าพักก่อน แต่ต้องไม่หยุดหรือท้อ เหมือนเราว่ายน้ำมา จนหมดแรง อีกไกลกว่าจะถึงฝั่ง ถ้าเราขืนฝืนว่ายเร็วเกินไป ไม่ประเมินแรง ระยะทาง เราอาจจะจมน้ำก่อน ประคองตัวลอยคอ เอาไว้อาจจะมีแรงขึ้น หรือมีทางเลือกที่ดีขึ้น หรืออาจจะมีคนมาช่วยเราก็ได้
5. เรื่องการติดตามงาน การประเมินผลการพัฒนาของแต่ละหน่วยงานนั้น ผมรู้สึกถึงความทุกข์ของคนที่ตาม เมื่อกลับมาคิดทั้งคืนก็คิดได้ว่า หลักการของการพัฒนา เป็นเรื่องของทุกๆคน เป็นเรื่องของแต่ละหน่วยงาน โดยเฉพาะหัวหน้าหน่วยงานที่ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ดังนั้นต่อไป เราจะไม่ต้องไปตามแล้ว จะขอให้มีหนังสือจากท่านผอ. ไปยังหน่วยงาน เป็นแนวทางปฏิบัติที่แต่ละหน่วยงานจะต้องรายงาน แจ้งต่อศูนย์คุณภาพเองว่า ตัวเองทำอะไรไปบ้าง ถึงไหน อย่างไรแล้ว ถ้าไม่สังก็ขึ้นอยู่กับทีมนำที่จะดำเนินการต่อไป เราไม่อยู่ในฐานะที่จะใช้อำนาจมาบังคับใคร เรื่องการพัฒนา เรื่องการเปลี่ยนแปลง เป็นเรื่องของความสมัครใจ เป็นเรื่องของใจ
ดังนั้นวันนี้ผมก็ได้เสนอแนวคิดนี้ไป ซึ่งทีมก็เห็นชอบ ในแนวทางใหม่ และเราจะพยามคุยกันให้ได้แบบเป็นทางการ 2 ครั้ง / เดือน
ต้องขอบคุณ ท่านเลขา คุณเพียรศรี ใจกันทา ที่เปิดใจ ทำให้กระตุกความคิด ความรู้สึกผม ให้กลับมาสู่แนวทางนี้อีกครั้ง...(ในหลายๆครั้งที่ผ่านมาด้วยครับ)
สุพัฒน์ ปาย 17 / 8 /50 16.35 น
สวัสดีครับคุณหมอ
สวัสดีครับพี่
คิดถึงพอดีเลยครับ
วันนี้ผมเริ่มอ่านหนังสือเล่มแรกที่พี่ให้ครับ
แนวการบันทึก และคำสอนท่านคล้ายๆกับ หนังสือ หลวงปู่ฝากไว้ เลยนะครับ
ผมชอบมากครับ ง่ายๆ แต่ล฿กซึ้ง เพราะกระแทกความไม่รู้ได้ดียิ่งนักครับ
ขอบคุณมากที่มาเยี่ยมครับ
สวัสดีค่ะ คุณหมอสุพัฒน์