ท่านผู้อ่านทุกท่านคงไม่อยากเป็นโรคเบาหวาน โรคนี้เป็นแล้วใช้ชีวิตลำบากขึ้น โดยเฉพาะผู้เขียนกินเก่งจะกลัวโรคนี้มาก หนังสือคำแนะนำสำหรับคนไข้เบาหวานแสดงปริมาณอาหารควบคุมที่น้อยนิดแล้ว บอกตรงๆ ว่า ป้องกันดีกว่ารักษา
เราๆ ท่านๆ อาจจะเคยตรวจสุขภาพ และมีผลการตรวจน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ (ปกติ 70-100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือ มก.%) ค่อนไปทางสูง (100-125 มก./ดล.) แต่ไม่ถึงกับเป็นเบาหวาน สรุปคือ ใกล้เป็นเบาหวาน (prediabetes) ถ้าเป็นอย่างนี้จะทำอย่างไรดี
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC) กล่าวว่า ผู้ใหญ่อเมริกันอายุ 40-74 ปีประมาณ 41 ล้านคนมีภาวะใกล้เป็นเบาหวาน
วิทยาลัยกุมารแพทย์อเมริกัน (American Academy of Pediatrics) กล่าวว่า เด็กอเมริกันอายุ 12-19 ปีเริ่มมีภาวะใกล้เป็นเบาหวานกันแล้ว เด็กผู้ชาย 10 คนมีภาวะนี้ 1 คน และเด็กผู้หญิง 25 คนมีภาวะนี้ 1 คน
อาจารย์นายแพทย์วิชัย เอกพลากรทำการศึกษาวิจัยพบว่า คนไทยที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไปเป็นเบาหวานประเภทที่ 2 ถึง 9.6 % หรือ 2.4 ล้านคน ครึ่งหนึ่งของคนไทยที่เป็นเบาหวานรู้ว่า เป็น(เบาหวาน) อีกครึ่งหนึ่งเป็นเบาหวานโดยไม่รู้ว่าเป็น(เบาหวาน)
คนไทยที่ใกล้เป็นเบาหวาน น้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นเบาหวานมีประมาณ 5.4 % หรือ 1.4 ล้านคน
วันนี้สาระ4U มีข่าวดีมาฝาก ผู้เชี่ยวชาญของเมโยคลินิกมีคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีป้องกันคนใกล้เป็นเบาหวานไม่ให้เป็นเบาหวานดังต่อไปนี้...
น้ำตาลในเลือด:
น้ำตาลในเลือดมาจากอาหารที่เรากินเข้าไป และสร้างขึ้นใหม่ที่ตับ ตับทำหน้าที่คล้ายธนาคารน้ำตาล ตับสร้างน้ำตาลจากการสลายตัวของแป้ง(ไกลโคเจน)ที่เก็บไว้ และสร้างขึ้นใหม่จากโปรตีนหรือไขมัน
การนำน้ำตาลเข้าเซลล์จะต้องใช้ฮอร์โมนอินซูลินจากตับอ่อน ซึ่งทำหน้าที่คล้ายเป็นกุญแจไขช่องทางให้น้ำตาลเข้าไปยังเซลล์ต่างๆ ตับอ่อนทำหน้าที่คล้ายกับโรงงานผลิตลูกกุญแจ ประเภทใช้งานชั่วคราว กุญแจ(อินซูลิน)ที่สร้างขึ้นมีอายุจำกัด อยู่ได้ไม่นานก็จะถูกทำลายไป ต้องสร้างขึ้นทดแทนใหม่เรื่อยๆ
กล้ามเนื้อเป็นอวัยวะที่ใช้น้ำตาลมากที่สุด การออกกำลังกายรวมทั้งการใช้แรงในชีวิตประจำวันมีส่วนเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ และทำให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายไวต่ออินซูลินเพิ่มขึ้น
คนที่มีมวลกล้ามเนื้อค่อนข้างมาก เช่น อายุน้อย ออกกำลังกาย ฯลฯ จะมีอัตราการใช้น้ำตาลค่อนข้างมาก ทำให้ระดับน้ำตาลไม่สูงขึ้นง่าย การออกกำลังกายต้านแรง (เช่น ยกน้ำหนัก ฯลฯ) มีส่วนช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อได้
กล้ามเนื้อเป็นเนื้อเยื่อที่มีการเผาผลาญพลังงานสูงกว่าเนื้อเยื่อไขมันมาก คนที่มีมวลกล้ามเนื้อมากจะเผาผลาญพลังงานได้มากเมื่อเทียบกับคนที่มีมวลกล้ามเนื้อน้อย ตรงกันข้ามคนที่มีมวลไขมันมากจะเผาผลาญพลังงานได้น้อยเมื่อเทียบกับคนที่มีมวลไขมันน้อย
คนที่มีมวลกล้ามเนื้อมากจึงมีโอกาสอ้วนน้อยกว่าคนที่มีมวลกล้ามเนื้อน้อย... ถ้าได้อาหารเข้าไปเท่าๆ กัน
การลดน้ำหนักโดยการลดอาหารอย่างเดียวเสี่ยงที่จะทำให้มวลกล้ามเนื้อลดลง ซึ่งจะทำให้การเผาผลาญพลังงานลดลง และเสี่ยงที่น้ำหนักจะขึ้นใหม่ในระยะยาว
การลดน้ำหนักที่ดีควรใช้วิธีลดอาหารควบคู่กับการออกกำลังกาย โดยเฉพาะการเดินและการออกแรงต้านน้ำหนัก เช่น ยกน้ำหนัก ฯลฯ เพื่อให้มวลไขมันลดลง และมวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น เพื่อให้การเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นในระยะยาว
คนที่มีมวลกล้ามเนื้อน้อยลง เช่น อายุมากขึ้น ออกกำลังน้อยลง ฯลฯ จะมีอัตราการใช้น้ำตาลน้อยลง ทำให้ระดับน้ำตาลสูงขึ้นได้
คนที่มีมวลไขมันค่อนข้างมาก เช่น คนที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน คนอ้วน ฯลฯ จะเสี่ยงต่อภาวะเซลล์ดื้อต่ออินซูลินเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะคนที่อ้วนระดับเข็มขัด หรืออ้วนที่พุง เปรียบคล้ายแม่กุญแจที่ดื้อ ไม่ค่อยยอมให้ลูกกุญแจ(อินซูลิน)ไข เพื่อนำน้ำตาลเข้าเซลล์
มีคำเปรียบคนอ้วนที่พุงว่า อ้วนคล้ายลูกแอปเปิ้ล และคำเปรียบคนอ้วนที่ตะโพกหรือขาท่อนบนว่า อ้วนคล้ายลูกแพร์ คนที่อ้วนแบบลูกแอปเปิ้ลมีโอกาสเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงมากกว่าอ้วนแบบลูกแพร์
การใช้แรงในชีวิตประจำวันและการออกกำลังกายมีส่วนทำให้กล้ามเนื้อใช้กลูโคสมากขึ้น และทำให้เซลล์ไวต่ออินซูลินมากขึ้น คนที่ออกแรงน้อยมีโอกาสเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงมากขึ้น
ความเสี่ยง:
ความเสี่ยงต่อภาวะใกล้เป็นเบาหวาน หรือน้ำตาลในเลือดสูงได้แก่
- ประวัติครอบครัว:
คนที่มีพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นเบาหวานมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น -
น้ำหนักตัว:
น้ำหนักตัวเกินมาตรฐานหรืออ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่พบบ่อยที่สุด -
การออกแรงน้อยเกิน:
คนที่ออกแรงในชีวิตประจำวันน้อยเกิน เช่น ใช้ลิฟต์แทนบันได ใช้รถแทนเดิน ฯลฯ และออกกำลังกายน้อยเกินมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น - อายุ:
คนที่มีอายุเกิน 45 ปีมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นจากการใช้แรงในชีวิตประจำวันลดลง ออกกำลังกายลดลง มวลกล้ามเนื้อลดลง และน้ำหนัก(โดยเฉพาะไขมัน)เพิ่มขึ้น - เชื้อชาติ:
สถิติสหรัฐฯ พบว่า ฝรั่งมีความเสี่ยงน้อยกว่าคนเอเชียและชาวเกาะแปซิฟิค คนอาฟริกันอเมริกัน(นิโกร)และฮิสพานิคจากอเมริกาใต้มีความเสี่ยงเพิ่มเป็น 1.5 เท่า คนอเมริกันอินเดียน(อินเดียนแดง)และคนพื้นเมืองอลาสก้ามีความเสี่ยงเพิ่มเป็น 2 เท่า -
ประวัติการตั้งครรภ์:
ผู้หญิงที่มีเบาหวานในระหว่างการตั้งครรภ์ หรือคลอดลูกที่มีน้ำหนักมากกว่า 9 ปอนด์ (4.1 กิโลกรัม) มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
คำแนะนำ:
คำแนะนำสำหรับคนที่มีภาวะใกล้เป็นเบาหวานได้แก่
- กินอาหารสุขภาพ:
กินข้าวกล้อง ถั่ว งา ผัก และผลไม้พอประมาณ กินอาหารไขมัน น้ำตาลให้น้อยลง ควรงดเหล้า โปรดปรึกษาแพทย์หรือบุคลากรสุขภาพที่ดูแลท่านว่า กินนมได้หรือไม่(นมมีน้ำตาลนม) การกินผลไม้มากเกินไป มีส่วนทำให้น้ำตาลสูงขึ้นได้ จึงไม่ควรกินผลไม้มากเกิน ควรลดปริมาณผลไม้แห้งที่ไม่เติมน้ำตาลลงประมาณ ½ ของผลไม้สด น้ำผลไม้ดีกับสุขภาพน้อยกว่าผลไม้สด เนื่องจากไม่มีเส้นใยที่ช่วยลดโอกาสเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ๋ ช่วยระบาย ลดไขมัน และช่วยให้อิ่มท้อง
-
ลดน้ำหนัก:
ถ้าน้ำหนักเกินมาตรฐานควรลดน้ำหนัก สมาคมเบาหวานสหรัฐฯ แนะนำว่า การลดน้ำหนักในระดับปานกลาง หรือ 5 % มีส่วนช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และลดความเสี่ยงต่อโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตัน
-
ใช้แรงและออกกำลัง:
คนที่มีภาวะใกล้เป็นเบาหวานที่ลดน้ำหนักตัวได้ 5-10 % และออกกำลังกายหนักปานกลาง เช่น เดินเร็ว ฯลฯ วันละ 30 นาทีขึ้นไปช่วยป้องกันการเปลี่ยนเป็นโรคเบาหวานได้
- ตรวจเลือดติดตาม:
แนะนำให้คนที่มีภาวะใกล้เป็นเบาหวานตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ระดับไขมันในเลือด(โคเลสเตอรอล) และวัดความดันเลือดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ถ้าน้ำหนักตัวมากเกิน หรือมีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคเบาหวานให้ตรวจบ่อยกว่านั้น เช่น ทุก 6 เดือน ฯลฯ
แหล่งข้อมูล:
-
- ขอขอบคุณ > Mayo clinic staff. Prediabetes. > http://www.mayoclinic.com/health/prediabetes/DS00624 > January 11, 2006.
- ขอขอบคุณ > เบาหวาน: เชื่อถูก เชื่อผิด. ศูนย์ให้คำปรึกษาเรื่องเบาหวาน โรงพยาบาลเทพธารินทร์ ([email protected] โทรศัพท์ 0 2671 7777). หน้า 6.
- นพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์ CMU โรงพยาบาลห้างฉัตร ลำปาง > ๑๑ มกราคม ๒๕๔๙ > 23 กันยายน 2551.