ช่วงเย็นวันนี้ ได้อ่านหนังสือพิมพ์พร้อมๆกับฟังและดูข่าวจากสถานีโทรทัศน์ ได้เห็น ได้ยิน เกิดการรับรู้ว่า สังคมไทยไม่ธรรมดา บางข่าว บางเรื่อง ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในสังคมบ้านเรา แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว สิ่งสำคัญสำหรับพวกเราคือเราจะเรียนรู้ที่จะอยู่กับสิ่งนั้นอย่างไร เราจะอดทนกับสิ่งรอบข้างต่อไปได้นานเท่าไร เราจะทำอะไรสักอย่างเพื่อให้สิ่งรอบข้างดีขึ้นจะทำอย่างไร หรือ…….. ฯลฯ
คิดอะไรเรื่อยเปื่อย คิดถึงคำ พ่อครู เจ้าสำนักมหาชีวาลัยอีสาน สอนผมไว้เสมอว่า น่ากลัวที่สุด คือ พวกดื้อตาใส จังหวะดีสายตาเหลือบเห็นข้อความสะดุดตาในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ระบุว่า
“… การจัดกิจกรรมคุณธรรมนำความรู้ ควรพัฒนาครูให้เป็นต้นแบบทางจริยธรรม ให้นักเรียนได้ฝึกทักษะชีวิตผ่านกิจกรรมค่าย…”
“…การประเมินวิทยฐานะของข้าราชการครู ควรทำแผนให้ครูได้รับการพัฒนาตลอดชีวิต และควรมีระบบประเมินเพื่อให้ครูคงสภาพของการดำรงวิทยฐานะอย่างเหมาะสม…”
“…การศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย ควรทำงานในเชิงรุก…”
อ่านแล้ว รู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง หลับตานึกเห็นภาพกระบวนการเรียนรู้ของเด็กๆที่เม็กดำ และเด็กๆทั่วไทย อย่างน้อยสิ่งได้คิดและทำมาตลอด ก็มีคนเห็นด้วยมากพอสมควร
ข้อความที่ยกมา เพื่อนพ้องน้องพี่
คิดอย่างไร
สำคัญที่สุดคือครูทั่วไทย คิดอย่างไรกับประเด็นนี้
ผมคิดว่าการทำงาน หรือกิจกรรมใดๆ ก็ตาม ถ้าทำให้ดีเป็นปกติ ก็เกิดความพร้อมตลอดเวลา
การประเมินใดๆ ก็ตามหากผู้ที่จะประเมินมาประเมินแบบจู่โจม ไม่ต้องนัดหมายล่วงหน้า จะได้เห็นสภาพที่แท้จริง ได้เห็นการทำงานแบบตื่นตัวอย่างเป็นปกติ
หากมีการนัดหมายการประเมินล่วงหน้า ผู้ประเมินไม่ต้องไปประเมินหรอกครับ
ฉันใดก็ฉันนั้น.....ผักชี ก็ยังเป็นผักที่ใช้โรยหน้าอาหารได้อย่างสวยงามเสมอ
คำพูดที่สวยหรูแต่ไม่นำไปสู่การปฏิบัติก็ยากจะเกิดผล จากประสบการณ์ที่ผ่านมาก็เป็นอย่างนั้น
คำถาม
ต่อให้ประเมินแล้วประเมินอีกก็คงยากค่ะ ผอ. เพราะระบบการประเมินของกระทรวงเรา มีประเมินจำอวดเยอะ ... ขนาดไม่มีอะไร(จริง ๆ) ให้ประเมินยังผ่าน
สาธุ.. การศึกษาไทย
เกลียดจริงๆ ผักชีโรยหน้า อยากแสดงความคิดเห็นว่า จะไปประเมินที่ไหน ไม่ต้องบอกล่วงหน้า ถึงจะได้พบของจริงเสียที จะได้ตำหนิถูกจุด ทุกวันนี้ยังมีที่จะไปตรวจหรือจะไปประเมินอะไร แจ้งล่วงหน้า ลองไม่แจ้งสักครั้งซิคะ เก่งในเรื่องผักชีโรยหน้าที่สุดแล้ว ต่อไปใครจะแก้ผ้าเอาหน้ารอดได้เจ๋งที่สุดอีก แข่งขันกัน