นั่งบาตรหัวษา (หัวษา เป็นภาษาถิ่นปักษ์ใต้ หมายถึงแรกเข้าพรรษา) จัดเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งในเทศกาลเข้าพรรษาที่มีอยู่ทั่วไปในท้องถิ่นปักษ์ใต้... การนั่งบาตรหัวษานี้มีกำหนด ๓ วัน ตั้งแต่วันแรม ๒ - ๔ ค่ำเดือน ๘ (หลังจากวันเข้าพรรษา ๑ วัน)...
เล่าเรื่องว่า หลังจากวันเข้าพรรษาแล้ว (แรม ๑ ค่ำ)... รุ่งเช้า (แรม ๒ ค่ำ) ทางวัดจะกำหนดให้พระ-เณรภายในวัดไปนั่งบาตรตามที่ญาติโยมนิมนต์ไว้ โดยเฉลี่ยพระ-เณรกันไปแห่งละ ๒ - ๕ รูป หรือรูปเดียวก็มี ถ้าวัดนั้นมีพระ-เณรน้อย และมีญาติโยมนิมนต์มากกลุ่ม...
ในวันแรกของการนั่งบาตรหัวษา ตอนเช้าประมาณ ๖ โมงเช้า พระ-เณรก็จะไปยังสถานที่นั่งบาตร.. การไปนั้น ถ้าเป็นสถานที่ใกล้ๆ พระ-เณรก็อาจอุ้มหรือสะพายบาตรไปเอง แต่ถ้าเป็นสถานที่ไกลๆ ในปัจจุบันญาติโยมก็อาจพารถมารับถึงวัด...
สถานที่นั่งบาตรนั้น จะเป็นศาลากลางหมู่บ้าน... หน้าบ้านของญาติโยมบางท่าน... ลานว่างๆ หรือใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ หมู่บ้าน... หรือบางครั้งก็อาจมีเต้นท์ประรำพิธีปลูกไว้เป็นการเฉพาะกิจนี้.... ส่วนการนั่งบาตรหัวษาภายในเรือนหลังหนึ่งหลังใดโดยเฉพาะก็มีบ้าง (แต่ไม่ค่อยนิยม)
หลังจากพระ-เณรไปถึงสถานที่และประจำอาสน์แล้ว บรรดาญาติโยมใกล้ๆ ในที่นั้น ก็จะมาประชุมกันร่วมสมาทานศีล... ต่อจากนั้น พระ-เณรจะสวดถวายพรพระ (บทพาหุงฯ) ญาติโยมก็จะนำข้าวปลาอาหารมาใส่บาตรซึ่งวางไว้ด้านหน้าของพระ-เณรแต่ละรูป...
เมื่อใส่บาตรเสร็จแล้ว พระ-เณรก็ฉันภัตตาหาร... ต่อจากนั้นพระ-เณรก็จะอนุโมทนา บรรดาญาติโยมก็จะกรวดน้ำรับพร... เป็นอันเสร็จพิธี
พิธีนั่งบาตรหัวษานี้ อาจแตกต่างกันบ้างแต่ละท้องถิ่น เช่น บางแห่งสองวันแรกไม่ถวายพรพระ ถวายสังฆทานแทน วันสุดท้ายเท่านั้นจึงถวายพรพระ... บางแห่งถวายพรพระเฉพาะวันแรกเท่านั้น...บางแห่งพระ-เณรจะอนุโมทนาให้บรรดาญาติโยมกรวดน้ำเฉพาะวันสุดท้ายเท่านั้น... เป็นต้น
หลังจากนั่งบาตรหัวษา ๓ วันแล้ว พระ-เณรก็จะเริ่มบิณฑบาตตามปกติ ซึ่งโดยมาก พระ-เณรกลุ่มใดไปนั่งบาตรที่ใดก็มักจะไปบิณฑบาตรที่นั้น...
...........
การนั่งบาตรหัวษานี้ มีข้อสันนิษฐานความเป็นมาไว้หลายนัย เช่น บางท่านบอกว่า เมื่อเริ่มเข้าพรรษา พระ-เณรซึ่งอาจเพิ่งมาจำพรรษาที่นี้ จะได้คุ้นเคยกับญาติโยมในท้องถิ่นนั้นๆ จะได้รู้จักถนนหนทางเพื่อจะได้มาบิณฑบาตในวันต่อๆ ไป...
บางท่านบอกว่า นอกพรรษามีพระ-เณรจำนวนน้อย หมู่บ้านที่ไกลออกไปมักจะไม่มีพระ-เณรไปบิณฑบาต... แต่ในพรรษาเมื่อมีพระ-เณรจำนวนมาก จึงจะมาบิณฑบาต... การนั่งบาตรหัวษาเป็นการนิมนต์พระ-เณรให้มาบิณฑบาตในโอกาสต่อไปนั่นเอง....
บางท่านให้เหตุผลว่า พระ-เณรต่างถิ่นซึ่งเพิ่งมาจำพรรษาที่นี้ จะได้รู้ว่าหมู่บ้านใดบ้างเป็นชาวพุทธฯ... เป็นต้น
.........
การนั่งบาตรหัวษานี้ แม้จะนิยมทั่วไปในปักษ์ใต้ แต่มิใช่ว่าจะมีทุกท้องถิ่น เช่น ในเขตเทศบาลนครสงขลาไม่มีการนั่งบาตรหัวษา (คงจะเป็นเพราะวัดอยู่ใกล้ๆ และจำนวนวัดมีมากเกินกว่าจะนั่งบาตร) แต่นอกเขตเทศบาลฯ ออกไปก็มีการนั่งบาตรหัวษาเช่นเดียวกัน....
ในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่มีการนั่งบาตรหัวษาทั่วไป... ตอนที่ผู้เขียนจำพรรษาอยู่วัดคอหงส์ หาดใหญ่ ก็เคยไปนั่งบาตรหัวษาที่บ้านพักทหารในค่ายเสนาณรงค์... หมู่บ้านใหม่ๆ ในหาดใหญ่ก็มักจะมานิมนต์พระ-เณรไปนั่งบาตรหัวษาเช่นเดียวกัน....
.........
เมื่อมองในแง่ของคุณค่าทางวัฒนธรรม การนั่งบาตรหัวษาเป็นการสร้างความสมานสามัคคีของคนในหมู่บ้าน และระหว่างบ้านกับวัดนั่นเอง...
ผู้เฒ่าผู้แก่เคยเล่าว่า พระหนุ่ม-เณรน้อย แรกบวช มักจะสมัครไปนั่งบาตรใกล้ๆ บ้านสาวที่ตนเองเคยหมายปอง... ส่วนสาวๆ ก็มักจะมาร่วมใส่บาตรโดยคาดหวังว่าพระหนุ่ม-เณรน้อยที่เธอหมายปองไว้จะมาด้วยหรือไม่... ขณะที่ผู้เฒ่าผู้แก่ก็จะได้สังเกตพฤติกรรมของพระหนุ่ม-เณรน้อยบางรูปซึ่งอาจมาเป็นลูกเขยในอนาคตว่าเป็นอย่างไร... นัยนี้ก็เป็นคุณค่าทางวัฒนธรรมโบราณ แต่ปัจจุบันค่อนข้างจะล้าสมัยไปแล้ว...
อย่างไรก็ตาม การนั่งบาตรหัวษาก็ยังคงมีอยู่คู่กับชาวใต้ในท้องถิ่นต่างๆ....
กราบนมัสการพระคุณท่าน เป็นความรู้ใหม่สำหรับกระผมครับ หลาย ๆ คนที่เป็นคนใต้กระผมเชื่อว่า คงจะมีไม่กี่คนที่จะรู้จักคำว่า "นั่งบาตรหัวษา " มีความหมายว่าอย่างไร เมื่ออ่านแล้วก็พอจะเข้าใจถึงคนท้องถิ่นในสมัยก่อนที่จะแนะนำให้พระภิกษุหรือสามเณรที่มาจากถิ่นอื่นได้รู้จักพื้นที่ในท้องถิ่นที่ตนจำพรรษาอยู่วัดไหน เพื่อจะได้รู้เส้นทางสำหรับปฏิบัติกิจของสงฆ์ ในเวลาออกบิณฑบาตร ถือได้ว่าเป็นประโยชน์มากครับ
กราบนมัสการพระคุณเจ้า
ทำให้ผมหวนคิดถึงเมื่อปี 2521 ตอนบวชเข้าพรรษาที่วัดมหาการ อ.ระโนด บ้านเกิด ซึ่งปีนั้นมีพระบวชใหม่มากกว่าทุกปีคือ 10 รูป มีพระพ่อหลวงแท่น เป็นเจ้าอาวาส และพ่อหลวงแสง เป็นรองเจ้าอาวาส มีพระหนุ่มวัยฉกรรจ์ทั้งนั้น ตอนนั้นรู้สึกสนุกตามประสาพระบวชใหม่ไม่ได้ศึกษาอะไรบวชตามประเพณีเท่านั้น ยังนึกเสียดายอยู่เลยที่ไม่ได้ธรรมะอะไรมาเลย พึ่งมาศึกษาเรียนรู้เอาทีหลังมานี้เอง
บวชหนึ่งพรรษา แม้จะไม่ได้ศึกษาอะไรมากนัก แต่สิ่งที่ซึมซับมาจากในวัด ทำให้เรารักและเข้าใจพระศาสนายิ่งขึ้น...
อีกอย่างหนึ่ง เพิ่งคุยกับหลวงพี่ที่กุฏิตอนฉันเพลนี้เอง ท่านว่า ใครมักคิดถึงเรื่องเก่าๆ แสดงว่า เริ่มแก่แล้ว (5 5 5...)
เจริญพร