สวัสดีครับอาจารย์กมลวัลย์
ยิ่งนานวัน ปัญหาข้างนอกเริ่มพัฒนาเป็นปัญฆาที่ซับซ้อนมากขึ้น หากเราใส่ใจมาก ก็เครียดมากขึ้น แทนที่จะช่วยได้ระดมคิดแก้ไขปัญหากลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหานั้นไปด้วย
ผมเห็นดีเป็นอย่างยิ่ง ในการพัฒนาจิตใจตนเอง ให้ชุ่มเย็นตลอดเวลา ไม่ว่าจะมีอะไร หนักหนาสาหัสขนาดไหน ขอให้ใจมั่นคงและเยือกเย็น มีสติ
เรื่องทำดี หากทำใหญ่ไม่ได้ ทำน้อยๆเป็นวิถี เช่น คนเก็บปลาดาว
เรื่องเหล่านี้เราคุยกันบ่อยๆครับผม คุยDialogue กับ น้อง kmsabai
ฝากความระลึกถึงอาจารย์และ ให้อาจารย์ดูแลสุขภาพด้วยครับ อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยๆครับ
ดูข่าวแล้วรู้สึกเครียดค่ะ เลยเลิกเสพข่าวสารบ้านเมืองเป็นพัก ๆ
สวัสดีค่ะอาจารย์กมลวัลย์
มีข้อธรรมที่น่าสนใจ เข้ากับเวลาที่คนส่วนมากกำลังต้องการมาฝากกันอยู่เสมอนะคะ
จากสิ่งที่ดีมาก ปฏิบัติได้ทันทีทุกข้อแล้ว พี่ฝากเติมต่อจากของอาจารย์ โดยเอาหลักการKM และธรรมะผสานกันมาใช้ เป็นสิ่งที่ได้จากประสบการณ์ของตนเอง คือ
การเจริญสติที่ถูกเป็นหนทางพ้นทุกข์ คือต้องเห็น อย่าง "ผู้ดู" อย่างที่อาจารย์สรุปท้าย หากทุกคนเห็นคุณค่าของการเจริญสติ สังคมจะค่อยๆดีขึ้น เพราะปัญญาจะเกิดขึ้นด้วย
ปัญญาที่จะมาช่วยกันทำให้สังคมน่าอยู่ขึ้นเกิดไม่ได้จากชีวิตที่มีแต่การถูกกระทำ มีแต่ความเครียด
ขอบคุณที่นำสิ่งดีๆมาฝากกันแต่เช้าค่ะ
สวัสดีค่ะคุณเอก จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร
ยิ่งคนเยอะ แต่ทรัพยากรเท่าเดิมหรือน้อยลง ปัญหาก็จะเยอะขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้แหละค่ะ เป็นปัญหาสืบเนื่องมาจากอดีต เช่นเรื่องโลกร้อน และปัญหาโรคระบาด ปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง ฯลฯ
ตอนที่คิดเขียนเรื่องนี้เมื่อคืน เพราะเห็นว่าเกือบทุกคนน่าจะเผชิญปัญหาแบบเดียวกัน ถ้าเรามีแนวทางง่ายๆ มาแนะนำไปใช้กันได้ ก็น่าจะดี
เห็นด้วยมากๆ ค่ะว่า หากทำดี ทำใหญ่ไม่ได้ ทำน้อยๆ ก็ได้ เพราะบางครั้งเด็ดดอกไม้ก็กระทบถึงดวงดาวได้ (เราน่าจะเปลี่ยนเป็น "ปลูกต้นไม้กระทบดวงดาว" ดีกว่านะคะ ^ ^ เผื่อโลกจะเย็นขึ้นบ้าง)
คุณหมอสุพัฒน์ kmsabai เขาเป็นนักปฏิบัติอยู่แล้วค่ะ คุยกันเรื่องแบบนี้จะเข้าใจกันดีทีเดียว
ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ ตอนนี้สุขภาพดีขึ้นแล้ว แต่อาทิตย์ที่ผ่านมาไม่ได้ออกกำลังเลย เพราะงานเยอะไปหน่อย วันนี้ถ้าตรวจข้อสอบเสร็จทันจะไปออกกำลังค่ะ ^ ^ รักษาสุขภาพเช่นกันนะคะ
สวัสดีค่ะคุณเนปาลี
ชมข่าวแล้วทำให้เครียดเหรอคะ มาตรการแรกคือควรเลิกดูอย่างที่ทำอยู่แล้วค่ะ มาตรการที่สองคือทำตัวเป็น"ผู้ดู"ค่ะ ^ ^ พยายามอย่ายึดเอาเรื่องต่างๆที่ได้ยินได้ฟังมาเป็นอารมณ์ ดู..เฉยๆ เท่านั้นค่ะ ลองดูนะคะ
ขอบคุณที่แวะเข้ามา ลปรร นะคะ ^ ^
สวัสดีค่ะคุณพี่คุณนายดอกเตอร์
เมื่อครู่ก็แวะไปชื่นชมนางพญางูเขียวมาแล้วค่ะ ^ ^
ที่เขียนบันทึกนี้เพราะรู้สึกว่าตัวเองก็กำลังต้องการเตือนตัวเองด้วยล่ะค่ะ เพราะรู้สึกว่าเรื่องร้อนๆ โยนมาให้เราคิด ให้เราทำนั้นมีเยอะ ก็เลยมานั่งสรุปในใจเมื่อคืนว่าควรจะทำอย่างไรดี เสร็จแล้วก็เลยนำมาเขียนเป็นบันทึกเนี่ยแหละค่ะ ^ ^
คุณพี่ช่วยมาเสริมต่อให้เนี่ยดีๆ ทั้งนั้นเลยค่ะ เมื่อเช้าอยากเขียนยาวๆ เหมือนกัน แต่ติดงานเลยใช้เวลาเขียนรวดเดียวสั้นๆ ว่าจะเขียนต่อเป็นคำถามอยู่ว่าจะมีใครเสนอเพิ่มเติมอะไรไหม ก็ไม่ได้เขียน แต่คุณพี่รู้ใจช่วยเสริมให้เลย ^ ^
ตอนแรกว่าจะเสริมข้อธรรมะในข้อแรกที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานให้ลุล่วง แต่คิดไม่ออก คงเป็นเรื่องของความเพียร หรืออิทธิบาท ๔ ประมาณนั้นน่ะค่ะ
ชอบที่คุณพี่ช่วยเสริมให้ทุกข้อเลยค่ะ ^ ^ ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ..
สวัสดีค่ะคุณหมอจิ้น
ทุกวันนี้เห็นแต่ข่าวแบบนี้ค่ะ ก็เลยเลิกดู เลิกติดตามไปบ้าง แต่คิดว่าถ้าใครติดตามและยึดติดมากเกินไป อาจเป็นทุกข์โดยไม่จำเป็นได้ ทำให้เรื่องรอบๆ เขาตัวเลวร้ายลง(เพราะจิตตก)ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นเลย... ก็เลยมาเขียนบันทึกนี้ค่ะ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับใครบ้าง
ดิฉันว่าถ้าเราได้ทำหน้าที่ของเรา ในกิจการงานของเราเป็นอย่างดี ก็น่าจะช่วยผ่อนเบาภาระของสังคมลงไปได้บ้าง ในช่วงที่เราต้องอยู่ในสังคมแบบนี้น่ะค่ะ แล้วถ้าหลายๆ คนหันมาคิดแบบเดียวกัน ข่าวไม่ดีที่เห็นทุกเช้าอาจจะมีแนวโน้มดีขึ้นค่ะ เป็นความหวังเล็กๆ ของจุดเล็กๆ ในสังคมน่ะคะ ^ ^
ขอบคุณคุณหมอที่แวะเข้ามา ลปรร เสมอนะคะ
สวัสดีค่ะคุณธรรมาวุธ
เมื่อก่อนก็ดูข่าวเยอะเหมือนกันค่ะ แต่พอเริ่มเห็นความเครียดหรือเห็นสภาวะจิตใจตัวเอง เลยเริ่มมาหาสาเหตุ แล้วก็..อ๋อ...เป็นเพราะอย่างนี้เอง.... จิตมันหลงตามเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง ราวกับเกิดกับตัวเองน่ะคะ (บางครั้งเป็นอย่างนั้นจริงๆ อิอิ)
พอรู้ตัวเลยถอยออกมาดูตามที่พระอาจารย์ทั้งหลายได้สอนไว้...ก็ทำให้ดีขึ้น
เรื่องอัตตา เป็นต้นเหตุของปัญหาการยึดมั่นถือมั่น ทิฎฐิมานะ หลายๆ เรื่องเลยค่ะ ทำให้อะไรหลายๆ อย่างเลวร้ายลงมากๆ แล้วก็กระทบเป็นวงกว้าง เพราะแต่ละคนมักมีทิฎฐิมานะกันอยู่แล้ว(แบบไม่รู้ตัว)
หากลดอัตตา ลดกิเลส ตัณหากันลงได้บ้าง ก็คงจะมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์จริงๆ นั่นแหละค่ะ
ขอบคุณที่แวะเข้ามา ลปรร เสมอนะคะ ^ ^
สวัสดีครับอาจารย์
พูดถึงสิ่งกระตุ้นรอบๆตัวเรา
มันมีมากมายจริงๆครับ และมักจะทำให้เราสับสน วุ่นวาย เหมือนเราถูกรุมชกให้กระเด็นกระดอนไปมา หัวหมุนเลยครับ ถ้าเรามัวแต่เป็นผู้เป็น****ดังที่อาจารย์แนะนำ....ครับ
ตั้งแต่ผมเริ่มปฏิบัติการ เรียนรู้ด้านในของตน
สิ่งที่สัมผัสได้ก็คือ แท้จริงแล้วถายในของเราเอง มีเรื่องมากมายที่อาจจะวุ่นๆยิ่งกว่าภายนอกครับ เมื่อเริ่มสนใจภายใน เริ่มเรียนรู้ และกำนดอย่างจริงจัง บางครั้งเราก็แทบไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องภายนอกเท่าใดครับ แบบว่ามันจะถูกคัดเลือกเข้ามารับรู้ด้วยตัวเอง
บางเรื่องที่ยังต้องกระทบมากๆ
อันนี้ก็ขึ้นกับ พื้นฐานและจริตของแต่ละบุคคลครับ อย่างผม เรื่องการเมืองก็ยังหนีไม่พ้นเท่าใดนัก แต่ก็ดีกว่าเดิมมากครับ คือแต่ก็ต้องดู ต้องรู้ละเอียด แต่ทุกวันนนี้แล้วแต่เวลา โอกาสครับ ไม่รู้ก็ได้
เรื่องที่มากระทบ
- ผ่านอายตนะทั้ง 6
- เรื่องภายนอกตัวเรา ไกล้ตัว ไกลตัว
- เรื่องภายใน อารมณ์ ความรู้สึก นึกคิด การปรุงแต่ง
-การมีสติเพื่อกำหนดให้เป็นผู้ดู บางครั้งเผลอเป็นผู้เป็น ก็พยามดึงกลับครับ
ขอบคุณครับอาจารย์ สำหรับบันทึกนี้ ไม่แน่ใจว่าที่ลปรรนี้ จะตรงประเด็นอาจารย์หรือเปล่า
สวัสดีค่ะคุณพี่ศศินันท์ sasinanda
อย่างที่คุณพี่ทำน่ะดิฉันว่าดีมากเลยค่ะ เป็นคนดู ดีที่สุดค่ะ ดูแล้วเรียนรู้ เจริญปัญญาไปด้วยในตัวค่ะ ไม่หลงไปยึดไปปรุงกับสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินค่ะ
ทุกวันนี้ต้องใช้มาตรการนี้ค่ะ ไม่งั้น ได้ยินอะไรที เป็นจิตตกทีนึง ^ ^
ดีใจที่หลายๆ คนมีแนวทางของตัวเองที่ดีๆ อยู่แล้ว เพราะเรื่องพวกนี้มันอยู่ที่ใจเราคิดอย่างไรเสียเป็นส่วนใหญ่ค่ะ
ขอบคุณที่แวะเข้ามา ลปรร นะคะ
สวัสดีค่ะคุณหมอสุพัฒน์ kmsabai
เมื่อสักชั่วโมงก่อน ตอบไปรอบนึงแล้วแต่บันทึกไม่ติดค่ะ เลยต้องเขียนใหม่ ^ ^ สงสัยจะไม่เหมือนเดิม 55555
ไม่เป็นไรค่ะ
เรื่องสิ่งกระตุ้นเนี่ยมีมาจากภายนอกเยอะมาในยุคนี้สมัยนี้ สื่อมีให้เสพย์มากจริงๆ คนส่วนใหญ่พอโดนสิ่งเร้ามากระทบ แทนที่จะดูเฉยๆ กลับมาอารมณ์ร่วม หรือปรุงแต่งต่อไปด้วย ทำให้เรื่องที่อาจฟังหรือดูได้เฉยๆ กลายเป็นเรื่องเครียดไปเพราะไปปรุงมันนั่นเอง
ดังนั้นทางเลือกก็คือ เลือกเสพย์สื่อให้พอเหมาะเหมือนที่พวกเราทำกัน เพื่อลดสิ่งกระตุ้น หรือ เลือกเป็นผู้ดู ในยามที่ยังต้องดูต้องอ่านต้องฟังอย่างช่วยไม่ได้อยู่ ^ ^
การศึกษาภายในตัวเองของคุณหมอเป็นเรื่องที่ดีมากเลยค่ะ เพราะอย่างที่สุภาษิตจีนว่าไว้ว่าต้อง "รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง" คนส่วนใหญ่ละเลยที่จะศึกษาเข้าใจตัวเอง หรือบางคนก็ยึดที่ตัวเองเป็นหลักแต่กลับไม่ได้ศึกษาธรรมชาติของตัวเองเสียนี่ โลกทุกวันนี้ก็เลยเป็นอย่างนี้แหละค่ะ ^ ^
สรุปแล้วที่คุณหมอเขียนน่ะ ตรงประเด็นแล้วล่ะค่ะ เพราะเราต้องปรับตัว เจริญสติ สร้างปัญญา ให้อยู่ในโลกยุคนี้ได้อย่างสงบสุข ไม่ว่าข้างนอกจะวุ่นกันขนาดไหน ข้างในต้องเย็นต้องใสไว้ค่ะ ^ ^
ขอบคุณที่เข้ามา ลปรร เสมอเลยนะคะ
สวัสดีค่ะ ดร.กมลวัลย์
สวัสดีค่ะคุณครูตุ้ม (จริยา)
ไม่ต้องเรียก ดร. ก็ได้ค่ะ เรียกกมลวัลย์เฉยๆ ก็ได้ค่ะ ^ ^
การทำงานใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบันคงหลีกเลี่ยงการไม่ได้ยินเรื่องข่าวต่างๆ คงเป็นไปได้ยากค่ะ ตราบใดที่เรายังต้องอยู่ในสังคมอยู่ แต่เราสามารถเลือกบริโภคได้ค่ะ ตอนนี้ดิฉันก็ใช้วิธีเลิกฟังข่าว ดูข่าวไปบ้างค่ะ แต่ก็ยังฟังอยู่บ้างเพื่อให้ตามทันเรื่องราวในสังคม เพราะจะสอนหนังสือไม่รู้เรื่องเลยก็คงจะไม่ค่อยดีค่ะ เพราะเรื่องในข่าวบางครั้งเอาไว้สอนธรรมะ คุณธรรม จริยธรรมเด็กๆ ได้เยอะเลย
แต่เวลาฟังข่าวจากเพื่อนหรือวิทยุ ทีวี ก็จะต้องใช้ กาลามสูตร คอยกำกับค่ะ แล้วก็คอย"ดู"ไว้ ไม่ให้ตื่นเต้นหรือ"เป็น"ไปตามข่าว พยายามกรองเอาข้อมูลอย่างเดียว ไม่เอาอารมณ์มาด้วย ดูไปดูมา พอเห็นอารมณ์คนอื่นแล้ว จะเริ่มไม่อยากเป็นแบบเขาค่ะ บางครั้งเห็นอารมณ์ผันผวนในคนเยอะๆ แล้วจะเริ่มกลัว ไม่อยากเป็นน่ะค่ะ ^ ^
ดีนะคะที่วันหยุดได้ไปปฏิบัติธรรมน่ะค่ะ พอจิตสงบแล้วปัญญาจะเกิดตามมาได้จริงๆ เพราะได้เรียนรู้ไตร่ตรองเหตุและผลเป็นอย่างดี และได้พักใจด้วยค่ะ เหมือนวิ่งมาเหนื่อยๆ แล้วได้หยุดพัก ทานน้ำ จะได้มีกำลังวิ่งต่อไปน่ะค่ะ
ขอบคุณที่แวะเข้ามา ลปรร นะคะ
สวัสดีค่ะคุณ ดร.กมลวัลย์
การทำงานทุกวันนี้คงหนีไม่พ้นการรักษาจิต เมื่อจิตสงบ สมาธิก็บังเกิด ปล่อยวางให้อยู่ตรงกลางพอดีๆ ปัญญาก็สว่าง ทำอย่างไรคะที่จะให้ ชุมชน สังคม มีความสะอาด มีความสว่าง มีความสงบ ถ้าเราไม่พึ่งธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราคงต้องเริ่มทีความมืดก่อน หลับตาเบาๆ นั่งนิ่งๆใจเงียบๆ เมื่อจิตสงบเมื่อนั้นเราคงเห็นธรรม เมื่อดวงตาเห็นธรรม ความสว่างก็บังเกิด ปัญญาก็คือคุณากรใช่ไหมคะ
ขอบคุณมากค่ะ
สวัสดีอีกครั้งค่ะ คุณครูตุ้ม (จริยา)
ตอนทำงาน หรือใช้ชีวิตส่วนตัว ล้วนแล้วแต่ต้องรักษาจิตเสมอค่ะ ในวันหนึ่งๆ จะมีเรื่องมากวนใจเราได้มาก แว๊บเดียวใจก็แวบไปโน่นไปนี่อีกแล้ว...
สำหรับคำถามที่ว่าจะทำอย่างไรที่จะให้ ชุมชน สังคม มีความสะอาด มีความสว่าง มีความสงบ นั้นดิฉันว่าทำอย่างที่คุณครูตุ้มทำน่าจะดีแล้วค่ะ คือเริ่มจากตัวเราก่อน รักษาจิตใจเราให้สะอาด สว่าง สงบก่อน ส่วนการชักชวนผู้อื่นให้มาร่วมปฏิบัตินั้นต้องค่อยเป็นค่อยไป และแล้วแต่ความพร้อมของคนเหล่านั้นด้วยค่ะ แต่ละคนจะมีช่วงเวลาไม่เหมือนกันค่ะ ดิฉันว่า..
ขอบคุณที่แวะเข้ามา ลปรร อีกครั้งนะคะ
lสวัสดีค่ะ ดร.
ทุกวันนี้ไม่ค่อยเครียดเรื่อง เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง เท่าไรนัก จะเครียดอยู่ที่การพัฒนานิสัยใฝ่รู้ ใฝ่ดี มีความสามารถแท้ แบบยั่งยืนของเด็กๆที่โรงเรียน โดยเฉพาะการมีวินัยในการทิ้งขยะ เด็กส่วนมากจะทิ้งถูกที่ มีส่วนน้อย ที่ไม่รู้อะไรเลย พูดแล้วพูดอีก อย่ากระพริบตานะคะ แอบทิ้งเลยค่ะ คุณครูก็อบรมทุกวันที่หน้าเสาธง นั่งสมาธิตอนพักเที่ยง อบรมวันสุดสัปดาห์ เห็นปั๊บบอกปุ๊บเลยค่ะ ให้เก็บ แต่ก็มีจนได้ค่ะ ท่าน ดร. ช่วยเสนอแนะหน่อยคะว่าควรเริ่มวิธีไหนดีคะ เป็น วิธีปำบัติที่ดีเลิศค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ
สวัสดีค่ะคุณครู จริยา
ดิฉันก็ลองหลายอย่างมากับเด็กๆ ค่ะ พบว่าไม่สามารถควบคุมได้ค่ะ อันนี้เป็นสัจธรรมค่ะ เราทำได้แค่สอน และย้ำเตือนเขาให้มากที่สุด คนที่จะเป็นผู้เลือกปฏิบัติดีหรือไม่ดีนั้นก็คือตัวเด็กเองค่ะ
จากหลักที่ดิฉันว่าไว้ว่าให้"ลดความกดดันโดยทำสิ่งที่ทำได้ก่อน พยายามมองให้เห็นสัจธรรมของเรื่องต่างๆ ว่า มันก็เป็นไปเช่นนั้นเอง และเข้าใจว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม" ใช้ได้หมดสำหรับกรณีนี้ค่ะ
เพราะคุณครูได้ทำ ได้ตักเตือนเด็กๆ (ดิฉันเคยลองทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง) ได้ทำตัวอย่างให้เขาดู ได้ลงโทษเขา ได้ชมเชยเขาเวลาเขาทำดี... สุดท้ายทุกอย่างจะขึ้นกับตัวเขา ว่าเขาเลือกทำหรือไม่ทำอะไร..อันนี้เป็นสัจธรรมของเรื่อง เพราะเราไปบังคับเขาไม่ได้ ได้แต่เชื้อชวน และเด็กๆ นั้นก็เป็นเช่นนี้เอง..คงไม่ทำตัวเป็นเด็กดีได้หมดทุกคน .. มันเป็นธรรมชาติของคนค่ะ อย่าว่าแต่เด็กเลย แม้แต่ผู้ใหญ่ที่ควรจะมีสำนึกดี สำนึกชอบในเรื่องพื้นๆ บางเรื่อง เช่นเรื่องการเข้าคิว บางคนยังไม่มีเลยค่ะ
ไปๆ มาๆ คงแนะนำได้แค่ว่าที่คุณครูทำอยู่น่ะดีอยู่แล้วค่ะ หรือถ้าจะเพิ่มเติมก็อาจจะนำตัวอย่างมาให้ดูว่าขยะที่ทิ้งๆ กันนั้นทำลายสิ่งแวดล้อมและแม่น้ำลำคลองขนาดไหน ทำให้เมืองไทยของเราไม่น่าอยู่ขนาดไหน หรือทำให้เกิดภาวะโลกร้อนได้อย่างไรค่ะ ... หรือจะให้เขาทำป้าย ทำการ์ตูนรณรงค์ไม่ทิ้งขยะ ให้จัดกลุ่มดูแลเรื่องการจัดการขยะในโรงเรียน ฯลฯ
อันนี้ดิฉันคิดไปเรื่อยเปื่อยนะคะ ดิฉันว่าคุณครูจริยาทราบดีว่าอะไรเหมาะกับเด็กๆ ค่ะ ^ ^ ไม่รู้ว่าแนะนำถูกทางหรือเปล่านะคะ แต่ก็ขอบคุณที่แวะมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันบ่อยๆ ค่ะ ^ ^
สงสัยจะแนะนำได้ไม่มาก เพราะ
สวัสดีค่ะ ดร.กมลวรรณ
ขอบคุณมากนะคะสำหรับคำแนะนำ เมื่อทดลองปฎิบัติดูแล้ว พฤติกรรมของเด็กดีขึ้นค่ะ แต่ก็ได้นำเสนอคุณครูที่โรงเรียนว่าอย่าลืมพูดแนะนำเขาบ่อยๆเมื่อพบขยะตกอยู่ จุ๊ๆๆ อย่ากระพริบตานะคะ เป็นเดินข้ามความปลอดภัยเชียวค่ะ ดีจริงๆค่ะสิ่งใดพร่อง สิ่งนั้นย่อมดัง สิ่งใดขาดสิ่งนั้นต้องเติมเต็มเสมอ