เสาร์นี้ สโมสรน้อยๆของเราก็พาเด็กๆไทใหญ่ไปเป็นอาสาสมัครสอนศิลปะการป้องกันตัว “ไอคิโด” ให้เด็กๆลีซูและกะเหรี่ยง โรงเรียนศูนย์ปางมะผ้าเช่นเคย
แต่วันนี้ มีการเรียนรู้ที่พิเศษขึ้นมาหน่อย และเป็นการค้นพบของเด็กๆโดยธรรมชาติ
ระหว่างทางที่พบขับรถพาเด็กๆแกนนำอาสาสมัครชาวไทใหญ่ไปร่วมด้วยช่วยฝึกนั้น เด็กๆก็คุยจ้อถึงเรื่องราวต่างๆมากมาย
จากเด็กที่เคยเงียบขรึมกับเรา ตอนนี้แย่งกันคุยใหญ่ ผมก็แอบปลื้มในใจลึกๆ ผมพบว่า ถ้าเราอยากให้เด็กพูดความจริงกับเรา เราต้องเข้าไปนั่งในหัวใจของเขาให้ได้เสียก่อน แล้วเขาจะเล่าสิ่งต่างๆออกมาเอง โดยที่เราไม่ต้องไปเซ้าซี้ถามอะไรมากมาย
หลักการอย่างนี้ ใช้ได้ดีกับการทำงานวิจัยภาคสนามครับ คือไม่ต้องรีบถามชาวบ้าน แต่คอยตอบคำถามเขาก่อนจนกว่าจะแน่ใจว่าเขาไว้วางใจเรา แล้วจึงค่อยๆถามอย่างถนอมน้ำใจ
มีนักวิจัยจำนวนมาก ไม่อินังขังขอบกับคำถามและท่าทีที่ใช้กับชาวบ้าน จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ผมคิดว่ามันเป็นวิธีวิทยาแบบ “ชนชั้นกลาง” ที่มักยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง จนไปลดทอนความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น อันนี้ไม่ค่อยมีใครพูดถึงเท่าไร แต่ผมว่าสำคัญมากนะครับ
เพราะหากเป้าหมายของงานวิจัยก็ดี งานพัฒนาก็ดี หรือการฝึกอบรมอะไรต่อมิอะไรก็ดี เป็นไปเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่ชุมชนแล้วไซร้ แต่ยังใช้วิธีการที่ไม่ละเอียดอ่อนต่ออารมณ์ความรู้สึกของคนในสังคมนั้นๆ อันนี้ก็ไม่น่าจะใช่งานที่ดีแน่นอน
วกกลับมาที่เรื่องหนึ่งที่เด็กบ่นให้ฟัง ก็คือกีฬากับการแข่งขัน เด็กหญิงวัยสิบสี่คนหนึ่งเล่าว่าว่ากีฬาแพ้แต่หลายครั้งที่คนไม่ยอมแพ้ และลงเอยด้วยการต่อยตี หรือหัวเราะเยาะเหยียดหยามใส่กัน ตัวเธอไม่ชอบเอาเสียเลย แม้บางทีเธอแข่งชนะ แต่ก็รู้สึกเสียใจแทนคนแพ้ อยากจะขอโทษเขาอยู่
“ขอโทษ ทั้งๆที่เป็นผู้ชนะเนี่ยนะ???”
การฝึกซ้อมวันนี้ มีเด็กหญิงและชายรวมกันสิบสี่คน แต่ทุกคนเริ่มปรับตัวกันได้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก แม้จะยังมีการแหย่กันอยู่ตามวิสัยเด็ก แต่สิ่งที่เด่นชัดขึ้นมาในวันนี้ หาใช่ทักษะการฝึกที่ดีขึ้นไม่ แต่หากเป็นคำว่า “ขอโทษ”
ผมสังเกตว่า บรรยากาศการฝึกเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้มก็จริง แต่ก็มีบ้าง ที่มีการเล่นพลาดพลั้ง และจุดนี้เองที่เด็กได้กล่าวขอโทษซึ่งกันและกัน
“ไอคิโดเราไม่เหมือนการต่อสู้ชนิดอื่นๆนะครับ ในการฝึกไอคิโด ทุกคนเป็นเพื่อนร่วมฝึกกัน ไม่มีใครแพ้ ไม่มีใครชนะ เพราะเราไม่แข่งกัน เราฝึกเพื่อรักษาซึ่งกันและกัน ช่วยให้ต่างฝ่ายต่างกล้าหาญและอ่อนโยน แก้ไขความรุนแรงให้จบลงอย่างสันติได้ จึงจะเก่ง” ผมบอกเด็กไปอย่างนี้
ตัวชี้วัดความสำเร็จของการฝึกวันนี้ คือ คำขอโทษของเด็กบางคนที่พลาดพลั้งทำให้เจ็บ หรืออาย ผมคิดว่ามิตรภาพหลังการฝึก ยิ่งใหญ่กว่ามายาของการแพ้หรือชนะอย่างเทียบมิได้
คำขอโทษ จึงน่าจะเป็นองค์ประกอบสำคัญประการหนึ่งไม่เพียงแต่ในการฝึกไอคิโด แต่รวมทั้งในการวิจัย การทำงานพัฒนาร่วมกับชาวบ้าน รวมถึงการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนและสรรพสิ่งอื่นๆ
จากเด็กสู่ผู้ใหญ่ ผมคงต้องมาทบทวนว่า วันนี้ผมขอโทษใคร (พ่อ แม่ พี่น้อง ภรรยา ลูก เพื่อนฝูง ลูกน้อง ชาวนา ฯลฯ) หรือสิ่งใด (ต้นไม้, แมลง, สัตว์, ดิน, น้ำ, ป่า ฯลฯ)บ้างแล้วหรือยัง??
แวะมาอ่านและให้กำลังใจคนทำงานครับ..
เห็นบรรยากาศการเรียนรู้ของเด็ก ๆ แล้วอ่านไปยิ้มไป
มีความสุขที่ได้เห็นภาพแบบนี้ครับ โดยเฉพาะ "คำขอโทษแห่งชัยชนะ" ถูกใจครับ...
สวัสดีค่ะ
ค่ะ คำขอโทษเป็นมรรยาทที่ดี คู่กับขอบคุณค่ะ
เราทุกคน ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ คงต้องพยายามให้ติดปากเลยนะคะ
ชื่นชมกับกิจกรรมของคุณมากค่ะ
สวัสดีครับ
สวัสดีครับ คุณสุภัทร
ขอบคุณคุณ sasinanda มากนะครับ ที่ช่วยกระตุกผมจากหล่ม "งาน" ขึ้นมามีสติกับพื้นฐานของความรัก.....ครอบครัว
ยินดีที่แวะมาให้กำลังใจกันนะครับ พี่แผ่นดิน