สวัสดีค่ะ ครั้งนี้เป็นการเข้ามาเขียนบล็อกเป็นครั้งที่ 2 ของเรา เมื่อวันก่อนได้รับเชิญจากอำเภอให้ไปช่วยทำ km ที่พื้นที่โดยมีประเด็นการพูดคุยคือ การจัดทำแผนพัฒนาการเกษตรให้ได้รับการสนับสนุนจากท้องถิ่น
ซึ่งตอนแรกที่ได้รับการชี้แจงจากทางอำเภอคือให้เจ้าหน้าที่จังหวัดไปเป็นผู้ช่วย (ช่วยลิขิตค่ะ) แล้วเจ้าหน้าที่ตำบลจะเป็นคุณอำนวย เพราะสนิทกับชาวบ้าน (คณะกรรมการศูนย์) กว่าเรา แต่เอาเข้าจริงๆๆ เจ้าหน้าที่เหลือน้อยและชาวบ้านก็เหลือน้อยลงทุกที สุดท้ายก็แบ่งกลุ่มเป็น 2 กลุ่ม ทั้งเจ้าหน้าที่และคณะกรรมการศูนย์ ( ชาวบ้าน) ตอนแรกตั้งใจจะเป็นผู้ช่วย พอถึงเวลาในกลุ่มก็ไม่มีคนเริ่มซะที สุดท้าย เราเลยต้องโชว์ซะเอง(ทนไม่ได้) ด้วยความตื่นเต้น เพราะเป็นน้องใหม่เพิ่งบรรจุ ไม่ทันการอบรม KM ที่เต็มรูปแบบและกระบวนการต่างๆๆ ก็ยังไม่แน่ใจว่าใช่ไหม มีแต่การศึกษาเอาเองอ่านเอาเองว่ามันน่าจะเป็นอย่างนี้นะ เลยถือว่าลองของซะเลย (ทีม KM จังหวัดไม่มีใครไปซักคน)
ด้วยความกลัวชาวบ้านที่ไม่สนิทกะเราจะไม่กล้าแสดงความคิดเห็น ลปรร กับเรา เลยให้กระบวนการโรงเรียนเกษตรกรมาใช้ซะเลย โดยเริ่มละลายพฤติกรรมก่อน โดยพยายามเปรียบเทียบให้กลุ่มเราตระหนักถึงเรื่องที่เราพูดคุยก่อน ว่าทำไม ศูนย์กลุ่มเราจึงได้รับการสนับสนุนน้อยกว่าที่อื่น กดดันให้เค้ารู้สึกอยากที่จะพูดก่อน แล้วให้เค้าทำไคเซน (เพื่อเรียกกำลังใจ และกำลังความคิด) หลังจากนั้นเริ่มให้แต่ละตำบลเล่าว่ามีกระบวนการจัดทำแผนพัฒนาการเกษตรอย่างไร (แรกๆ ก็ไม่ค่อยมีคนกล้าพูดเท่าไหร่) แล้วก็ต่อเนื่องด้วยการให้ตำบลที่ได้รับการสนับสนุนเยอะๆๆ เค้าทำอย่างไร มีเทคนิคอย่างไร ทีนี้แต่ละคนเริ่มมีความคิดขัดแย้งกัน แล้ว การลปรร. ก็เริ่มขึ้น หลายคนเริ่มเล่าถึงปัญหาของศูนย์ตัวเอง ว่าทำไมถึงได้รับการสนับสนุนน้อยหรือไม่ได้รับเลย และมีพวกที่ได้รับการสนับสนุนดีจะอบต. เล่าถึงเทคนิคการทำแผนพัฒฯ การนำเสนอของบ เทคนิคเหนือดินและใต้ดิน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงต์ของศูนย์บริการ โดยสุดท้ายของการ แบ่งกลุ่ม ws นั้น ได้ข้อสรุปดีๆๆ ที่มาจากประสบการณืของคณะกรรมการศูนย์แต่ละศูนย์จริงๆๆ บวกกับประสบการณ์การเป็นเกษตรตำบลของตัวเองที่ทำงานกับ อบต.มาแล้ว 3 อบต. และ 1 เทศบาล สำหรับตัวเองรู้สีกดีมากกับการเป้นคุณอำนวย km ในครั้งนี้ (ถึงแม้จะไม่แน่ใจกับกระบวนการเท่าไหร่นัก คิดเพียงแต่ว่าKM คือทำอย่างไรให้ชาวบ้านกล้าที่จะเปิดใจพูดคุย ลปรร. กะเรา กล้าจะแสดงความคิดเห็น และเราก็จดบันทึกเอาไว้แค่นั้น) ที่ประทับใจที่สุด คือมีลุง คนแก่ๆ คนหนี่ง บอกเราว่า ลุงเรียนน้อย ไม่มีความรู้อารัย แต่ลุงได้ความรู้จากการพูดคุยครั้งนี้มาก ประสบการณ์ของคนอื่นๆ ก็เป็นความรู้สำหรับแกได้ และอีกอย่างเราสามารถจุดไฟในใจของคณะกรรมการศูนย์ที่เริ่มท้อกับการทำแผน การของบจากท้องถิ่น ให้ลุกโชนขึ้นมาได้ จากจิตใต้สำนึกของคนที่มีจิตใจที่จะพัฒนาชุมชนอยู่แล้ว ท้ายที่สุดเราก็เรียกแรงใจที่เรามีอยู่ด้วยการทำ ไคเซน อีกครั้ง (ตั้งแต่ขึ้นมาอยู่จังหวัดไม่เคยได้รับความรู้สึกดีๆ อย่างนี้มาก่อนเลย ต้องขอขอบคุณที่พี่ๆ จังหวัดที่ไม่ได้มา เราเลยมีโอกาสได้โชว์ความสามารถบ้าง )
สิ่งที่ได้จากการทำ KM ในกลุ่มคณะกรรมการศูนย์ฯ ครั้งนี้ ทำให้รู้ว่า นอกจากใจที่สู้ของคณะกรรมการศูนย์ของเราแล้ว พวกเขายังตอ้งการแรงใจ และการสนับสนุนช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ของเราอยู่ โดยตอ้งมีใจมุ่งมั่นที่จะพัฒนาอย่างจริงจังและจริงใจต่อกัน
วันนี้ออกจะเป็นการเล่าถึงสิ่งที่เราประทับใจมากกว่ากระบวนการ แต่จะค่อยๆ ปรับปรุงต่อไป พี่ๆๆ ช่วยชี้แนะด้วยนะคะ และสิ่งสำคัญ คือตอ้งการกำลังใจ ในการทำงานของนอ้งซี นอ้ยๆ ท่ามกลางผู้อาวุโส ค่ะ แล้วเจอกันใหม่ค่ะ
สวัสดีค่ะพี่สิงห์ป่าสัก
สวัสดีพี่หนุ่ม ร้อยเกาะค่ะ
มาเยี่ยมครับ
ขอบคุณค่ะ พี่ชาญวิทย์
ที่เข้ามาเยี่ยมเยียนและให้คำแนะนำดีๆ
แล้วจะค่อยๆปรับปรุงค่ะ (ถึงแม้เวลาจะจำกัดก็ตาม)
แวะมาแอ่ว..ขอบคุณที่อ่านเรื่องของชาวล้านนามาวันนี้ใกล้ปีใหม่ขอฝากกะโลงล้านนาอวยพร....
ปีเก่าล่วงเลยแล้ว ลับลา ล่วงเลย
ปีใหม่จักเข้ามา แม่นแท้
ขออายุยืนฑีฆา ยืนยิ่ง ยาวเอ่
คิดสิ่งใดสมมาดแม้ มุ่งไว้ใจหวัง...ยิ่งเทอญ
ด้วยความปราถนาดีจาก.....ลุงหนาน
พรหมมา