ระยะ 2-3 ปี ท่ผ่านมา โรคนิยมความรุนแรงดูเหมือว่าจะค่อยๆ ลุกลามเขามาในบ้านเราแล้ว
เมื่อก่อนเราฟังข่าวต่างประเทศ มักจะจะยินได้ข่าวกันในบางประเทศ แต่ตอนนี้ชัดเจน มีข่าวประเภทนี้ทุกวัน ทั้งใน และ ต่างประเทศ
ผมยังเชื่อ เรื่องหลักธรรมชาติ
ในวิกฤติ มักจะมีโอกาส แฝงตัวอยู่
ในปัญหา มักมี ทางแก้ที่เป็นปริศนาซ่อนอยู่
ในยาพิษ มักมี ยาถอน อยู่ข้างๆ ซึ่งไม่ไกลนัก
เช่นเดียวกัน "โรคนิยมความรุนแรง" ซึ่งมันเข้ามาในช่วงเวลาที่บ้านเมืองมีกลไก หรือเซลล์ที่อ่อนแอ ค่อยๆ ฝังตัว แล้วขยายจนลุกลามออกไป จนดูเหมือนน่าสะพรึงกลัว แล้ววันนี้ก็เข้ามาฝังอยู่ในเซลล์ส่วนหนึ่งของร่างกายเราแล้ว
ผมยังเชื่อว่า ยังมีอีกหลายพื้นที่ในเขตเสี่ยง และไม่เสี่ยง ที่ยังพอมีภูมิคุ้มกันโรคนี้ ซึ่งชุมชนนั้น สร้างขึ้นมาอาจจะรู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง คล้ายๆที่ ฝรั่งเขาเรียกว่า "social control dynamic"
และเข้าใจว่าอีกหลายๆ พื้นที่ ยังบกพร่องในเรื่องนี้
จะเป็นการดีมาก หากท่านใดมีกรณีดีๆ มาแลกเปลี่ยนว่ากลไกทางสังคม ในชุมชนของท่าน ที่ช่วยป้องกันโรคนิยมความรุนแรง เล่าว่าท่านช่วยกันสร้างกลไกเหล่านี้ขึ้นมาได้อย่างไร และมีสรรพคุณต่อต้านอะไรได้บ้าง
มีเจตนาดีครับ แต่ตั้งโจทย์ผิด...คำตอบที่ได้คงจะผิดไปด้วย ตัวที่ชี้ว่าโจทย์ผิดมีสองคำครับ คือ "กลไก" กับ "การควบคุมสังคม" ลองตั้งโจทย์ใหม่ดูครับ ผมอาจจะมีอะไรที่จะแลกเปลี่ยนบ้างในเรื่องนี้ หากจะแลกเปลี่ยนตอนนี้ก็คงจะเข้าสุภาษิตที่ว่า "ไปใหนมา สามวาสองศอก"
ประเด็นที่ว่า ในวิกฤติมีโอกาส หรือในทุกปัญหามีทางออกนั้น เห็นด้วยครับ แต่อยากจะเสริมนิดหนึ่งว่า...ปัญหาบางปัญหา มันก็ไม่มีทางแก้จริง ๆ หรือปัญหาที่ไม่มีทางออก...ก็แสดงว่า สิ่งนั้นไม่ใช่ปัญหาครับ...วิธีแก้ปัญหาที่ไม่ใช่ปัญหาก็มีเช่นกันคือ...เปลี่ยนมุมมองของผู้ที่รับรู้ปัญหา...สังคมเรา คนเป็นทุกข์กับปัญหาที่ไม่ใช่ปัญหามากกว่า ปัญหาจริง ๆ เสียอีกนะครับ...
ขอบคุณคุณสวัสดิ์มากครับ
แต่อ่านแล้วยังไม่ค่อยเข้าใจครับ
ประเด็นของผมไม่ใช่ "ควบคุมสังคม" แต่เป็น "การควบคุมทางสังคม" ยกตัวอย่างเช่น
กลุ่มออมทรัพย์และสวัสดิการสังคมของชาวบ้านแห่งหนึ่ง มีปัญหาเรื่องการละเมิดกฏข้อตกลงร่วมกัน เช่น ไม่จ่ายเงินกู้ เขาคุยกันแล้วเสนอทางออกว่าให้ใช้กลไก กลุ่มเล็กในกลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มเล็กของสมาชิก 3-5 ราย ดูแลกันเอง ใครคนไหนมีปัญหา กลุ่มต้องรับผิดชอบกันเอง ผลปรากฏว่า มีเหตุการณ์ฝ่าฝืนกฏน้อยลง อย่างนี้เป็นต้น ครับ
เจตนาบันทึกนี้ คล้ายๆ ประมาณนี้ครับ
แต่ไม่ใช่ การไปควบคุมสังคม แน่อนครับ