จะรักใคร ก็จงบอกให้รู้ เมื่อยังอยู่ด้วยกัน
คนเราเกิดมาแล้วก็ต้องตาย ชีวิตก็เหมือนกับที่ “ปู่เย็น แก้วมณี” กล่าวเอาไว้ว่า เหมือนขึ้นสะพาน ขึ้นไปแล้วก็ค่อยๆลง
ปู่เย็นกล่าวด้วยว่า ชีวิตของแกเหมือนสะพานที่กำลังลาดต่ำดำดิ่งลง แกกล่าวไว้ในวันที่อายุของแกเกือบจะถึง ๑๐๐ ปี
แต่คนเรา จะมีสักกี่คนที่อายุถึงเพียงนี้ และที่สำคัญยิ่งที่ “ปู่เย็น” มิได้กล่าวถึง แต่เป็น “ความจริง” ที่สุดคือ
ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่า ชีวิตตนเองหรือคนรอบข้าง จะคืนลมหายใจให้ธรรมชาติเมื่อไร
ชีวิตอาจไม่เหมือนสะพานที่ค่อยๆลาดลง แต่มันอาจจะเหมือนสะพานหักอย่างอย่างคาดไม่ถึงก็เป็นได้
เคยถามตัวเองกันบ้างไหมว่า “เรา” ล้มตัวลงนอนพักผ่อนคืนนี้ พรุ่งนี้ “เรา” จะตื่นขึ้นมาเหมือนทุกๆวันไหม
เคยถามตัวเองกันบ้างไหมว่า ขับรถออกจากบ้านวันนี้ จะมีชีวิตรอดกลับมาหาครอบครัวหรือไม่
แน่นอน....ใจหนึ่งเราตอบว่า ต้องตื่นซิ ต้องกลับมาหาครอบครัวซิ ต้องปลอดภัยซิ ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปซิ
แต่ใครจะเป็นคนรับรองว่า ต้องตื่นซิ ต้องกลับมาหาครอบครัวซิ ต้องปลอดภัยซิ ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปซิ
แต่ใครจะเป็นคนรับรองว่า นั่นเป็นคำตอบที่ถูกต้อง
ยังมีชีวิตอยู่ ยังทำงานร่วมกัน เป็นเพื่อนกัน เป็นสามีภรรยากัน เป็นพ่อลูกกัน นึกถึงวันที่คาดไม่ถึงไว้บ้างก็ดี
แสดงความรักต่อกันไว้เถิด มีความเข้าใจ และให้อภัยกันไว้เถิด จะไปถึงวันที่อีกฝ่ายจากไป แล้วมาร่ำไห้เสียดาย เสียใจ คงไม่เกิดประโยชน์
ระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ เห็นๆกันอยู่ มองกันใน “ด้านดี” มองซิว่า คนที่เราคบกันรักกัน หรือคนในครอบครัวของเรา มีอะไรดีๆ
จงชื่นชมซึ่งกันและกัน พูดกันดีๆ ถนอมความรู้สึกซึ่งกันและกันไว้
ไม่มีใครที่จะดีพร้อม สมบูรณ์ไปทุกสิ่งหรอก แม้กระทั่งตัวเราเองก็อาจมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง แต่เราไม่รู้
อย่าเข้าข้างตัวเอง อย่ามองคนอื่นในแง่ร้าย อย่าหยิบเอาแต่สิ่งที่เราไม่ถูกใจมาเป็นเรื่องสำคัญ
มองกันหลายๆมุมดีกว่าจะมุ่งมองอยุ่มุมเดียว เจอมุมไม่ถูกใจก็บ่นว่าเสียๆหายๆ พูดให้เจ็บใจ พูดให้หมดกำลังใจกันทำไม
ลองคิดถึงวันหนึ่ง...
วันที่จู่ๆเขาก็จากไป จากไปโดยที่คาดไม่ถึง เราก็จะอึ้งเพราะระหว่างที่มีชีวิตอยู่ “เรา” ไม่ได้แสดง “ความรัก” ต่อกันเลย
ไม่มีประโยชน์นักหรอก กับการที่จะฟูมฟายเสียใจ พร่ำชื่นชมถึงคุณงามความดีใส่ลงไปในหนังสืองานศพ
จงมองคนในมุมดีๆ จงเผื่อแผ่ความรักให้กัน ด้วยการแสดงต่อกันดีๆ ไม่ว่าจะเป็นท่าที ไม่ว่าจะเป็นวาจา
ยังเห็นหน้ากันอยู่ ยังมีชีวิตอยู่ด้วยกัน รักใครก็แสดงออกให้เขาชื่นใจประทับใจได้เลย
รีบๆทำ ทำมากๆ ทำเสมอๆ ทำให้เขารู้ขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าไปบอกว่ารักเขานักหนาให้คนอื่นรู้
แต่เจ้าตัวไม่อยู่เสียแล้ว
วันเวลาผ่านไป ลองทบทวนตนเอง ยังเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ เริ่มต้นมองคนในแง่ดี ชื่นชมคน แสดงความรักแก่คนที่เราใกล้ชิด คนที่คบหา
จงคบหาคนให้มากขึ้น รักคนอื่นให้มากขึ้น เรียกร้องให้น้อยลง แต่เป็นผู้ให้คนอื่นให้มากขึ้น
อย่างน้อยๆก็ให้ความรัก ความเข้าใจ ใจเป็น “นาย” ส่วน “กาย” เป็นบ่าว ถ้ามีสติคิดได้ ใจก็เป็นนายที่แสนดี
คราวนี้แหละพฤติกรรมของเราจะเป็นเสน่ห์อยู่ในหัวใจคน เพราะเราเปิดใจของเราให้คนอื่นมาอยู่ในหัวใจเราก่อน