เจ้าหญิงป่วน ณ ปัตตานี
เด็กหญิง ประเสริฐ (أُخْتٌ صَغِيْرَةٌ ) รัศมีแห่งดวงตา เจ้าหญิงป่วน ณ ปัตตานี

บทพิสูจน์ความเป็นจริงเกี่ยวกับ อัลกุรอ่าน........(ตอนที่ 1)


“ฉันศรัทธาแล้วว่า แท้จริงไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากผู้ที่วงศ์วานอิสรออิลได้ศรัทธาต่อพระองค์ และฉันคือหนึ่งในหมู่ผู้นอบน้อม“.
ตอนที่ 1 ฟาร์โร กับการเสียชีวิตของท่าน

“และเราได้ให้วงศ์วานของอิสรออีลข้ามทะเลพ้นไป ดังนั้น ฟิรอาวน์ (ฟาร์โร) และพลพรรคของเขาได้ติดตามพวกเขาไป โดยอธรรมและเป็นศัตรูจนกระทั่งเมื่อการจมน้ำได้ประสบกับเขา เขากล่าวว่า “ฉันศรัทธาแล้วว่า แท้จริงไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากผู้ที่วงศ์วานอิสรออิลได้ศรัทธาต่อพระองค์ และฉันคือหนึ่งในหมู่ผู้นอบน้อม“. บัดนั้น และแน่นอนเจ้าเป็นผู้ทรยศก่อนหน้านี้ และเจ้าเป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้บ่อนทำลาย. ดังนั้น วันนี้เราจะให้ร้างของเจ้าออกจากทะเล เพื่อจะได้เป็นสัญญาณแก่ชนรุ่นหลังจากเจ้า และแท้จริงมนุษย์ส่วนใหญ่เฉยเมยต่อสัญญาณต่างๆของเรา“ (Al-Quran 10: 90-92)

Dr. Maurice Bucaille เป็นศัลยแพทย์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งของฝรั่งเศส เป็นนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการและผู้แต่งหนังสือเรื่อง “The Bible, The Quran and Science“ ซึ่งรวมไปถึงข้อสรุปต่างๆ ที่ได้มาจากการศึกษาคำภีร์ทางศาสนาของยิว คริสต์ และอิสลาม หนังสือดังกล่าวค่อนข้างจะแปลกใหม่ในวงการศาสนาและวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก

ประวัติโดยย่อถึงที่มาของหนังสือดังกล่าว:
การเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่โดดเด่นของเขา ทำให้เขาได้รับการติดต่อให้ทำการศึกษาถึงมัมมี่ของ Merneptah (Pharaoh) ที่ถูกค้นพบขึ้น ซึ่งเขาได้ตัดสินใจรับคำเชิญดังกล่าว และในระหว่างการเยือนประเทศซาอุดีอาราเบียนั้น เขาได้รับทราบข้อมูลในอัลกุรอ่าน ในส่วนที่อัลลอฮ์ได้กล่าวไว้ว่า ร่างที่ไร้วิญญาณของฟาร์โร จะถูกรักษาไว้ และจะกลายเป็นสัญลักษณ์หรือสิ่งเตือนใจแก่ชนรุ่นหลัง แน่นอนข้อมูลดังกล่าวนี้ สร้างความประหลาดใจเป็นอย่างมากแก่นักวิทยาศาสตร์อย่าง Dr. Maurice Bucaille ผู้ซึ่งคุ้นเคยกับคัมภีร์ใบเบิล ในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องราวของฟาร์โรที่ได้ตายจากการถูกกลืนด้วยทะเลในสมัยของศาสดาโมเสส ที่เค้าแปลกใจเพราะมันไม่เคยได้รับการยืนยันมาก่อนในเรื่องราวถึงความเป็นจริงเกี่ยวกับการตายดังกล่าว นักวิชาการศาสนาบางท่านยังเกิดความสงสัยด้วยซ้ำว่าเรื่องราวการตายของฟาร์โรที่ถูกกลืนไปในทะเลนั้นอาจจะเป็นเพียงนิทาน แต่ในทางกลับกัน เค้ากลับพบว่า อัลกุรอ่าน...

  1. ยืนยันถึงเรื่องราวการตายของฟาร์โรในยุคของศาสดาโมเสสว่า ตายจากการถูกกลืนลงไปในทะเล
  2. สัญญาว่าร่างอันไร้วิญญาณของฟาร์โร (มัมมี่) จะถูกนำขึ้นมา
  3. มัมมี่ดังกล่าวจะกลายเป็นสัญลักษณ์ เป็นสิ่งเตือนใจต่อชนรุ่นหลัง (รุ่นเรา)
  4. แต่เรากลับไม่รู้ตัว

เรื่องราวของกษัตริย์ฟาร์โร ลูกชายของ Rameses II (ตามข้อมูลทางประวัติศาสตร์)ท่านนี้ เสียชีวิตจากการถูกกลืนลงไปในทะเล หลังจากพยายามตามล่าศาสดาโมเสสและผู้ติดตามชาวอิสราเอลในตอนนั้น ในยุคที่อัลกุรอ่านถูกประทานลงมาเกี่ยวกับเรื่องราวของพาร์โรท่านนี้ เราจะไม่พบข้อมูลเดียวกันนี้ที่ไหนเลยยกเว้นในคัมภีร์ใบเบิล ที่ได้กล่าวใน Exodus ไว้ว่า “and the waters returned, and covered the Chariots, and the horsemen, and all the host of Pharaoh that came into the sea after them; there remained not so much as one of them“ (Exodus 14:28) สิ่งที่น่าอัศจรรย์คือ ในส่วนของการตายของฟาร์โร ที่ได้กล่าวใว้ในอัลกุรอ่านว่า “ดังนั้น วันนี้เราจะให้ร่างของเจ้าออกจากทะเล เพื่อจะได้เป็นสัญญาณแก่ชนรุ่นหลังจากเจ้า และแท้จริงมนุษย์ส่วนใหญ่เฉยเมยต่อสัญญาณต่างๆของเรา“ (Al-Quran 10: 92) เรื่องราวเกี่ยวกับการอนุรักษ์ศพของฟาร์โรในรูปของมัมมี่ที่สมบูรณ์แบบนั้น ไม่เคยทราบและไม่เคยค้นพบมาก่อน ทั้งๆที่ข้อมูลดังกล่าวถูกกล่าวถึงในอัลกุรอ่านนานกว่า 1400 ปีมาแล้ว เพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเท่านั้นที่ความจริงดังกล่าวได้ปรากฏขึ้นให้เห็นต่อสายตาประชาคมโลก ในปี ค.ศ. 1898 ศาสตราจารย์ Loret คือท่านแรกที่ค้นพบร่างมัมมี่ของฟาร์โรยุคศาสดาโมเสส 3000 กว่าปีที่ผ่านมา ศพของฟาร์โรท่านนี้ถูกพันไว้ด้วยผ้าอยู่ภายในสุสานของ Necropolis ณ Thebes ซึ่งเป็นที่ที่ ศาสตราจารย์ Loret ค้นพบและได้ทำการวิจัยตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ ในปี ค.ศ. 1912 เค้าได้เขียนหนังสือที่มีชื่อว่า “The Royal Mummies.“ การวิจัยของเค้ายืนยันว่าฟาร์โรดังกล่าวเป็นฟาร์โรที่น่าจะรู้จักศาสดาโมเสส. สิ่งที่หลงเหลืออยู่จากยุคของฟาร์โรท่านนี้ ด้วยความประสงค์ของอัลลอฮ์ มันได้กลายเป็นสัญลักษณ์และเป็นสิ่งเตือนใจต่อมนุษย์ เราสามารถหาอ่านเรื่องราวเหล่านี้เพิ่มเติมได้จากหนังสือของ Dr. Maurice Bucaille

ในปี ค.ศ. 1975 Dr. Maurice Bucaille ได้ทำการวิจัยศพของฟาร์โรท่านนี้เพิ่มเติม การค้นพบของเค้าสร้างความมั่นใจให้เค้าสามารถป่าวประกาศออกไปอย่างดีใจและประหลาดใจว่า “สำหรับคนที่ต้องการข้อมูลที่พิสูจน์ได้ทางหลักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับคัมภีร์ทางศาสนา จะค้นพบถึงอุทาหรณ์ที่ได้กล่าวไว้ในคัมภีร์อัลกุรอ่านในส่วนที่เกี่ยวข้องกับร่างกายของฟาร์โร ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ด้วยการเยือนห้องเก็บศพมัมมี่ ในพิพิธภัณฑ์อียิปต์ เมืองไคโร“ และที่สำคัญ ในส่วนของข้อความที่ว่า “...และแท้จริงมนุษย์ส่วนใหญ่เฉยเมยต่อสัญญาณต่างๆของเรา“ (Al-Quran 10: 92) คงไม่ทำให้เราประหลาดใจเกินไปหากได้สังเกตถึงอากัปกิริยาของผู้เข้าชมมัมมี่ดังกล่าวที่ไม่มีความตระหนักถึงความเป็นจริงที่แผงอยู่ในร่างมัมมี่นั้นเลย นอกเสียจากความสนุกสนานและความเพลิดเพลินที่ได้รับจากการชมของโบราณชิ้นหนึ่งเท่านั้น


เรื่องราวต่างๆที่ Dr. Maurice Bucaille ได้รับทราบหลังจากมีโอกาสศึกษาเกี่ยวกับร่างมัมมี่ดังกล่าว พร้อมกับการรับรู้ถึงของมูลในอัลกุรอ่าน ทำให้เค้าเกิดความสนใจอัลกุรอ่านมากขึ้น เค้าตัดสินใจเรียนภาษาอาหรับ หลังจากนั้นเค้าทำการศึกษาอัลกุรอ่านเพิ่มเติมในส่วนของข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ จนในที่สุด เค้าได้ข้อสรุปว่า อัลกุรอ่าน เป็นไปไม่ได้ที่จะมาจากมนุษย์  จนทำให้ในที่สุดเค้าตัดสินใจเข้ารับศาสนาอิสลาม และเป็นแรงบันดาลใจให้เค้าเขียนหนังสือเรื่อง “The Bible, The Quran and Science“


เรียบเรียงโดย sunshine
หมายเลขบันทึก: 104612เขียนเมื่อ 19 มิถุนายน 2007 16:54 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 มิถุนายน 2012 11:31 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท