จากหนังสือ อาหารสำหรับความคิด ดร.วิชิตวงศ์ ณ ปัอมเพชร ราชบัณฑิต
บทที่ 2 การจัดแบ่งเวลาของชีวิต
เล่าว่าชีวิตนั้นมีเวลาจำกัด ผู้เขียน ก็คิดแบบเศรษฐศาสตร์ ที่จะพยายามใช้เวลาซึ่งมีอยู่จำกัดนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ได้ให้ข้อสรุปว่า ชีวิตของคนเรานั้น อาจแบ่งออกได้เป็น 4 ช่วงคือ
1 เบื้องแรกของชีวิต
2 วัยทำงานสร้างหลักฐาน
3 ช่วงเวลาแห่งอิสรภาพ
4 ปัจฉิมวัย
ไม่มีใครกำหนดชะตาชีวิตของตนเองและผู้อื่นได้
ในช่วงแรกที่เป็นเบื้องแรกของชีวิตนั้น จะเป็นปฐมวัยที่อยู่ในความเลี้ยงดูของผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่จะไม่เป็นตัวของตัวเอง โดยมีผู้ใหญ่คิดให้ทำให้แทบทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นวัยที่เรียนหนังสือ หาวิชาความรู้เพื่อเอาไว้ประกอบอาชีพและหน้าที่การงานในภายหน้า และเป็นวัยที่มักจะไม่ต้องรับผิดชอบในการครองชีวิต ส่วนใหญ่จะใช้เวลาอย่างน้อย 20 ปี ในช่วงปลายๆของระยะนี้ หลายคนมองไปเบื้องหน้าถึงความอิสรเสรีเมื่อได้ทำงานมีรายได้และครอบครัวของตัวเอง ซึ่งเป็นการย่างเข้าสู่ช่วงที่ 2
แต่เมื่อชีวิตเข้าสู่ช่วงที่ 2 คือวัยทำงาน สร้างหลักฐานจริงๆ ก็พบว่าเป็นช่วงเวลาที่เกือบจะปราศจากอิสรภาพใดๆ เพราะต้องมีความรับผิดชอบมากมาย โดยแต่ละวันที่ผ่านไปต้องประกอบกิจการทั้งหลายตาม คำสั่ง ของสมาชิกครอบครัว และผู้เป็น นายจ้าง ต้องอยู่ภายใต้กรอบของข้อบังคับ กฎเกณฑ์ และกติกา สารพัดอย่าง โดยไม่มีข้อยกเว้น ส่วนใหญ่จะต้องใช้ชีวิตช่วงนี้ จนกระทั่งอายุถึงเกณฑ์ที่ต้องพ้นจากหน้าที่การงาน เกษียณอายุ ขณะที่ผู้ประกอบอาชีพอิสระอาจทำงานต่อไปอีก 10 ปี หรือกว่านั้น จึงจะบอกตัวเองว่า พอแล้ว หลายคนได้พ้นช่วงที่ 2 ของชีวิตอย่างสะบักสะบอม จนกระทั่งสิ้นสภาพทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่อาจที่จะทำสิ่งใดต่อไปได้โดยข้ามช่วงที่ 3 เข้าสู่ช่วงที่ 4ไปเลย
ช่วงที่ 4 ที่เรียกว่าปัจฉิมวัย เป็นช่วงชีวิตแห่งความชราภาพ มักจะมีโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นตามความเสื่อมของสังขาร เป็นช่วงที่ต้องมีคนดูแลเอาใจใส่ คล้ายกับช่วงแรกปฐมวัย กลับสู่สภาพที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง จะกินอยู่อย่างไรก็เป็นไปตาม คำสั่ง ของแพทย์ เป็นช่วงที่ต้องพึ่งธรรมะเข้าไว้ให้มาก
จะเห็นว่าช่วงที่ประเสริฐสุดคือช่วงที่ 3 ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งอิสรภาพ จากการทำมาหารับประทาน จากการดูแลครอบครัว จากการรับคำสั่ง อยากทำอะไรก็ได้ตามที่อยากจะทำ แต่ไม่มีโอกาสได้ทำเมื่ออยู่ในช่วงที่ 2
ยุทธศาสตร์แห่งชีวิต ก็คือ การพยายามจำกัดช่วงที่ 2 ให้ใช้เวลาน้อยที่สุดที่จะเป็นไปได้ และให้มีเวลาสำหรับช่วงที่ 3 ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็คือบำรุงร่างกายและจิตใจให้เข้มแข็งและตั้งใจเล่าเรียนวิชาในช่วงแรกชีวิต โดยหลีกเลี่ยงการประพฤติปฏิบัติที่ไม่เป็นผลดีแก่ตนเอง หรือเป็นการเสียเวลาอันมีค่าไปโดยเปล่าประโยชน์ สำหรับช่วงที่ 2 ก็คือการทุ่มเทชีวิตให้แก่การทำงานสร้างหลักฐานและการดูแลครอบครัว ในขณะที่แสวงหาประสบการณ์และความรู้ไว้ให้มาก และต้องเอาใจใส่สุขภาพอย่าให้มีโรคภัยมาเบียดเบียนได้ ที่สำคัญ คือ การรักษาตัวรอด เป็นคนละเรื่องกับ การเอาตัวรอด แบบปราศจากจิตสำนึกต่อสังคม การดูแลตนเองให้ปลอดภัยจากภยันอันตรายด้วยความไม่ประมาท เมื่อรู้สึกได้ว่าทำงานสร้างหลักฐานเป็นผลสำเร็จตามสมควรแล้ว ก็จะต้องรีบปลีกตัวออกจากชีวิตในช่วงดังกล่าวนี้ อย่าได้มีความทะเยอทะยานต่อไป เพื่อจะได้มีเวลาให้แก่ชีวิตในช่วงที่ 3 ได้นานๆ
ผู้เขียนได้บังเอิญได้พบสัจธรรมในเรื่องข้างต้นนี้มาตั้งแต่เมื่อชีวิตย่างเข้าสู่ช่วงที่ 2 ใช้ชีวิตในช่วงที่ 2 สั้นมากเมื่ออายุได้ประมาณ 45ปี ก็พบตัวเองเข้าสู่ช่วงที่ 3 แล้ว และก็อยู่ในช่วงเวลาดังกล่าวมาจนทุกวันนี้
จากที่เล่ามา ผมเองลองมานั่งคิดดูเปรียบเทียบกับตัวเอง เรียนจบแพทย์ทั่วไปก็ใช้เวลาไป 23 ปี จากนั้นไปทำงาน กลับมาเรียนอีก 3 ปี เริ่มทำงานจริงจัง ก็อายุ 29 ปี
การเป็นแพทย์จริงอยู่ว่าคงสามารถทำไปได้แม้เลยวัยเกษียณแล้วก็ตาม แต่ถ้ามามองตามแนวคิดของ ดร.วิชิตวงศ์ ควรรีบที่จะนำพาชีวิตเข้าสู่ ช่วงที่ 3 เพื่อจะได้ใช้อิสรเสรีภาพได้นานๆ แต่มาคิดๆดูเป็นไปได้ไหมว่าเราจะทำให้ชีวิตในช่วงที่ 2 และ 3 นั้นผสมผสานกันโดยจัดสมดุลให้ลงตัว อย่างนี้ชีวิตน่าจะเป็นสุขกว่ามากกว่า
มัทมีเวลาช่วงที่ 3 สองรอบมั้งค่ะ คือตอนนี้ที่มาเรียนต่อ มีอิสระมากๆ แต่เดี๋ยวพอมีลูก พอกลับไปทำงานเมืองไทยคงย้อนกลับไปเป็นช่วงที่ 2 แล้วพอเกษียณคงกลับมาช่วงที่ 3 อีกที
เอ...หรือ เอาเป็นว่า เป็นช่วงที่ 2 วันจันทร์ถึงศุกร์ แล้วเป็นช่วงที่ 2 วันเสาร์อาทิตย์ได้ไม๊??? เหมือนประโยคสรุปของบันทึกคุณหมอ : )
ตอบในใจไว้แล้วว่าน่าจะได้ และจะพยายามทำให้ได้ มาลุ้นดูกันต่อไปค่ะว่าจะทำได้จริงไม๊ เพราะเราอาจจะตายก่อนเกษียณก็ได้ใครจะไปรู้ใช่ไม๊ค่ะ
ไม่ประมาทไว้ดีกว่า : )
แก้คำผิดค่ะ:
เป็นช่วงที่ 2 วันจันทร์ถึงศุกร์ แล้วเป็นช่วงที่ 3 วันเสาร์อาทิตย์ได้ไม๊???
ปล. ชอบหัวบล็อคของคุณหมอมากค่ะ (ที่เป็นภาพ starry night กลืนไปกับภาพดาวต่างๆ)
ผมว่า ( รู้สึกแม่ง ๆ นะเนี่ย พูด ผมกับคุณ ) แสดงว่าพวกเรา กำลัง อยู่ช่วงที่ 2 แล้วต้องรีบ เข้าสู่ช่วงที่ 3 ให้เร็วที่สุด ใช่มะ
ช่วงนี้เหนื่อย หลายเรื่องเลยว่ะ ( ขอประทานโทษ เปลี่ยน ว่ะ เป็น อ่ะ ดีก่า ) แสดงว่า กำลังเข้มข้นกับช่วงที่ 2 แต่อีกไม่นานตั้งใจแล้วละว่าจะรีบเข้าสู่ช่วงที่ 3 เร็ว ๆ
วันนี้เริ่มเห็น สีสัน แว้ว
สวัสดีครับ อ.มัทนา ,หวัดดี จิ้น
ขอบคุณครับที่เข้ามาคุยด้วย เท่าที่อ่านในบลอกของ อ.มัทนา กำลังไปเรียนผมเห็นด้วยว่าน่าเป็นช่วงที่มีความสุขและอิสระ
แม้ว่าเรื่องการเรียนจะเหนื่อยแต่ก็คงสุขใจ การมีลูกเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราพัฒนาตัวเองไปอีกขั้นนะครับ
มีคำพูดว่าพ่อแม่เป็นครูคนแรกของลูก แต่ที่ผมรู้สึกก็คือว่าลูกต่างหากเป็นครูคนสำคัญของเราเลยทีเดียว
เรื่องเวลา กับการใช้ชีวิตนี้มีประเด็นมากมายให้พูดคุยครับแล้วผมก็รู้สึก
สนุกด้วย มีหนังสืออีกเรื่องที่พูดเกี่ยวกับการใ้ช้เวลาและชีวิต แต่เป็นวรรณกรรมเยาวชนที่ผมว่าลึกซึ้งและประทับใจผมนานมาแล้ว
ก็คือเรื่อง โมโม่ ของ มิฆาเอ็ล เอ็นเด้
จิ้น ดีใจว่ะ (ด้วยคน)ที่ตามอ่าน เรื่องช่วงที่ 2กับ 3ของชีวิตนี้ คิดว่า ดร.วิชิตวงศ์ ก็คงไม่ได้แบ่งแยกกันเด็ดขาดหรอก แต่ก็เป็นสิ่งที่ใช้เตือนใจเราเหมือนกันในแง่ี่ที่ต้องมองภาพรวม
ของชีวิตและจัดสมดุลให้พอดีกัน