ไม่เล่าไม่ได้


เชื่อที่พระพุทธเจ้าสอนว่าทำดีย่อมดีเสมอ

ครั้งหนึ่งในชีวิตกับพิธีกรรมเรื่องความเชื่อจตุคามรามเทพ เมื่อก่อนก็คิดว่า อะไร!จตุคาม-รามเทพ  แฟชั่นหรือเปล่า เหรียญใหญ่ๆโตๆ ? เฮียน้องเขยเฮียคล้องอาไร…เหมือนวัยรุ่นเชียว…ก็เหรียญมันกลมๆโตๆ….แถมคล้องกับสร้อยใหญ่ๆยาวๆ…มันคืออะไร….เฮียก็ตอบว่าไม่รู้…รู้แต่ว่าเขาเรียกจตุคามรามเทพ….เอาละซีก็ต้องอ่านซะหน่อย…หน่อยเดียวจริงๆ…เขามีประวัติละน่า….        แล้วอยู่มาวันหนึ่งบริเวณใกล้ๆที่พัก…ศูนย์การค้าตลาดประทุมทองก็ได้มีพิธีบวงสรวงท่านท้าวจตุคามรามเทพขึ้น…ก็มีผู้คนที่นับถือศรัทธาทยอยกันมาตั้งแต่ 5 โมงเย็นกว่าๆของวันที่ทำพิธีจนถึงทำพิธีเสร็จประมาณ สามทุ่มกว่าๆ..คนที่มาส่วนใหญ่ก็พวกเล่นพระ พ่อค้าแม่ค้า คนอยากรวยและคนที่อยากรู้อยากเห็น...แม้แต่คุณหมอตี๋ที่รพ.พิษณุเวชก็ยังมาดูเลย        ในขณะที่ทำพิธีบวงสรวงก็มีตากล้องเก็บภาพราหู เทวดาได้ ก็เอามาอวดกัน...ทำให้ดูพิธีศักดิ์สิทธ์…ต่อมาก็มีร่างทรงพ่อปู่ฤาษี(คล้ายๆกับที่มีคนไปดูหมอวารินทร์ที่เชียงใหม่เลย)เข้าผ่านร่างทรงเดินดูของเซ่นบวงสรวงพูดคุยกับคนที่มาในพิธีเสียงเหมือนคนแก่ๆ…แล้วก็แต้มหน้าผากผู้ที่มานั่งรอพร้อมทั้งสวมหัวฤาษีครอบไปบนศีรษะของผู้คนเหล่านั้นแล้วจู่ๆก็มีร่างทรงอีกท่านหนึ่งออกมาพูดกับร่างทรงแรกเป็นภาษาอะไรก็ไม่รู้ฟังไม่รู้เรื่องคุยกันสักประมาณ5นาทีแล้วร่างทรงหลังก็สะบัดหน้าสั่นหัวออก…ดูๆแล้วน่ากลัวปนสงสัยอย่างไรไม่รู้สำหรับเรา... เฮียไช้เจ้าของร้านรองเท้าบาจาในตลาดถามว่าเชื่อป่าว…เราก็บอกว่าไม่เชื่อและก็ไม่ลบหลู่แฮ่ะๆๆ….ของอย่างนี้บอกไม่ได้..แต่เชื่อที่พระพุทธเจ้าสอนว่าทำดีย่อมดีเสมอ …ฮ่าๆๆๆๆ <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">โดยส่วนตัวมีบูชารุ่นโคตรเศรษฐี รุ่นเขาอ้อ และรุ่นรักพ่อสุริยันจันทราไว้จ้า...</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p>   </p><p>  </p><div style="text-align: center"></div><div style="text-align: center"></div><p align="center"> </p><p align="center"></p><p align="center"></p><p align="center"></p><p align="center"></p><p align="center">ร่างทรง 2 ท่านเสื้อเหลืองกะเสื้อสีขาวประคองกัน</p><p align="left"> ท้ายนี้มีเก็บของฝากจากท่านว.วชิรเมธีด้วยจ้า….</p>ท่านยังบอกเลยว่า… <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt" class="MsoNormal">ในภาวะที่สังคมวุ่นวายแบบนี้ เราควรจะย้อนกลับมาทบทวนทำ 4 ประการ เพราะทุกวันนี้สังคมป่วยสุขภาพประเทศทรุดโทรมเนื่องจากขาดความรู้ ทุกวันนี้คนไทยไม่รู้ว่าสาเหตุที่วิกฤติเกิดขึ้นในประเทศเพราะเหตุใด จึงไม่สามารถหาทางออกของวิกฤติได้ กล่าวคือ
        1.สงฆ์ไม่รู้ว่าแก่นธรรมคืออะไร เอาแต่ปลุกเสกเลขยันต์ ยกเทพให้เหนือธรรม ปล่อยให้ญาติโยมงมงาย แทนที่ญาติโยมจะเดินเข้าวัดแล้วมีปัญญา กลับเดินเข้าวัดแล้วถูกมอมเมา ต้องส่งเสริมคนไทยให้คิดเป็น สื่อต้องให้ความรู้ ว่าเมื่อเกิดเคราะห์แล้ว ไม่ใช่สะเดาะเคราะห์ต้องวิเคราะห์ เมื่อเกิดปัญหาไม่ใช่แก้เคล็ดต้องแก้ปัญหา

        2.สังคมไทยขาดความรู้สึก แม้มีวิกฤติแล้วก็ไม่รู้สึกเดือดร้อนจึงไม่แก้ไข และมองคนไทยเป็นเหยื่อด้วยการปลุกเสกจตุคามรามเทพออกมาให้บูชา ทั้งที่เป็นการปลุกเสกโดยคนธรรมดา ที่มีกิเลสเหมือนคนอื่น หลายคนก็ยังนำมาบูชายึดถือเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ 

         3.สังคมไทยขาดจิตสำนึกสาธารณะ เพราะแทนที่จะมีผู้ออกมาชี้นำสังคมเพื่อให้พ้นภาวะวิกฤติกลับไม่มี อยากฝากบอกผู้นำประเทศในการปล่อยวางในสิ่งที่ไม่ควรจะปล่อยวาง ปล่อยวางในเวลาที่ไม่สมควรจะปล่อยวาง เพราะทุกวันนี้เราปล่อยวางปัญหา แต่ตื่นตัวต่อกิเลสแทน ผู้นำประเทศต้องตระหนักว่า ปัญหาไม่ได้มีไว้ให้ปล่อยวางแต่มีไว้ให้แก้

        4.สังคมไทยขาดปัญญาที่เป็นกลาง สังคมไทยมีปัญญามาก แต่ไม่ได้ใช้อย่างอิสระ ปัญญาบางพวกรับใช้นักการเมือง รับใช้นายทุน รับใช้เงิน รับใช้บริโภคนิยม รับใช้หมอผี และรับใช้ปากท้องของตนเอง มีไม่กี่คนที่จะมีปัญญาที่เป็นกลาง เตือนสติสังคม ดังเช่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงเป็นบุคคลที่มีปัญญาที่เป็นกลาง ไม่เคยนิ่งเฉยต่อวิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้น ทรงใช้พระราชวินิจฉัยแก้ปัญหาอย่างเป็นกลางที่สุด อยากให้ยึดแนวทางพระราชดำริ และการนำปัญญาไปใช้อย่างเป็นกลางไว้เป็นแบบอย่าง ถ้าเราคนไทยช่วยกันสร้างสรรค์พัฒนาสังคมไทย ก็จะสามารถก้าวผ่านวิกฤติได้
</p>  แต่ที่สำคัญที่สุดที่ ว.วชิรเมธีได้แนะนำให้สังคมไทยนำหลักมรรค 8 มาใช้เป็นหลักในการดำเนินชีวิตเพื่อให้มี สุขภาพกายและ สุขภาพใจที่สมบูรณ์ รวมทั้งต้องยึดหลักการดำเนินชีวิตด้วยทางสายกลาง กล่าวคือ ใช้ 1.สัมมาทิฐิ โดยทำทุกอย่างอย่างมีสติ ซึ่งเมื่อมีสติ ทางสายกลางก็จะเกิดขึ้น 2.สัมมาสังกัปปะ คือคิดดีคิดอย่างสร้างสรรค์ไม่เบียดเบียนใครจะทำให้จิตใจปลอดโปร่งไม่ตกเป็นทาสของกิเลส 3.สัมมาวาจา ขอให้พูดด้วยเมตตา ปัญญา เหตุผล ความจริง พูดอย่างสุภาพและมีประโยชน์ 4.สัมมากัมมันตะ ไม่ฆ่าสัตว์ไม่ขโมย ไม่ประพฤติผิดในกาม 5.สัมมาอาชีวะ ให้ลด ละ เลิก การประกอบอาชีพผิดกฎหมายทุกรูปแบบ 6.สัมมาวายามะ เพียรลดความชั่ว เพียรสร้างความดี 7.สัมมาสติ เจริญสติอยู่เสมอจะทำให้เรามีชีวิตที่ละเมียดละไม มีความรู้ เนื่องจากเรารู้เนื้อรู้ตัวตลอดเวลา ทำให้มีชีวิตอย่างไม่ประมาท และ 8.สัมมาสมาธิ อยากให้หาเวลาฝึกจิตใจให้เกิดความปลอดโปร่งโล่งเบา จิตใจเบิกบานจะทำให้สดชื่นทั้งกายและใจ มีคุณภาพจิต สมรรถภาพจิต และสุขภาพจิต เข้าใจโลกเข้าใจชีวิต

      ถ้าปฏิบัติได้ทั้ง 8 ข้อดังนี้แล้ว จะมีสุขภาพกายดี สุขภาพใจสมบูรณ์ จิตปีติเบิกบานสดชื่น ไม่เครียด อายุยืน กลายเป็นหน่วยแห่งความสุขเคลื่อนที่ ปัจเจกบุคคลที่มีความสุขจะทำสิ่งรอบตัวเป็นสุขไปด้วย ในทุกวันที่ตื่นมา ควรถามตัวเองว่า วันนี้เรามีความสุขกว่าเมื่อวานหรือเปล่า และเราใช้ชีวิตให้คุ้มกว่าที่เกิดมาหรือไม่”……..อนุโมทนาสาธุ
 

หมายเลขบันทึก: 102322เขียนเมื่อ 10 มิถุนายน 2007 21:25 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 10:26 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)
  • ถ้ามีเยอะก็แบ่งกันมั่ง อิอิ
  • ขอขอบคุณอาจารย์หมอมากค่ะที่แวะเข้ามาเยี่ยมชม...อิอิอิ...หรือขออนุญาตเรียกว่า...ท่านรองนายกเทศมนตรีเทศบาลนครพิษณุโลกน่ะค่ะ
  • จริงๆอยากแบ่งให้...แต่ไม่กล้าค่ะ...
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท