บทเพลงแห่งวันวาน


ผ้าขาวม้าผืนเก่าหอมกลิ่นพ่อ หรือผ้าซิ่นของแม่ดัดแปลงเป็นเปลน้อยผูกไว้ใต้ถุนเรือน มือแม่แกว่งไกวสายเปลตามท่วงทำนองเพลงอันกลั่นมาจากใจโยงใยถึงความรักความผูกพัน ถ้อยคำทำนองเพลงแผ่วมาสัมผัสรู้สึกดื่มด่ำลึกซึ้งสู่เนื้อใจลูก

เสียงหรีดหริ่งเรไรร้องระงม  เสมือนเตือนว่ายามเย็นมาเยือนอีกครั้ง   เสียงร้องของเด็กน้อยลอยลมมาแต่ไกลทำให้นึกถึงตอนเป็นเด็กยามที่แม่เคยขับกล่อมให้นอนหลับสบายยังอบอุ่นกรุ่นกรุ่นอยู่ในใจไม่รู้วาย

ผ้าขาวม้าผืนเก่าหอมกลิ่นพ่อ หรือผ้าซิ่นของแม่ดัดแปลงเป็นเปลน้อยผูกไว้ใต้ถุนเรือน  มือแม่แกว่งไกวสายเปลตามท่วงทำนองเพลงอันกลั่นมาจากใจโยงใยถึงความรักความผูกพัน   ถ้อยคำทำนองเพลงแผ่วมาสัมผัสรู้สึกดื่มด่ำลึกซึ้งสู่เนื้อใจลูก   แม่ช่างสร้างสรรค์ คำร้อง  ท่วงทำนองต่างๆกันไป  มีทั้งถ้อยคำแสดงความรัก  ความห่วงใย   สอนให้รู้จักรักนวลสงวนตัว  บางทีก็เล่าเป็นลำนำสอนให้จดจำธรรมชาติ  วิถีชีวิต  ปัญญาและภาษาให้ลูกได้เรียนรู้เป็นฐานในวันข้างหน้าเมื่อเจริญวัยเติบใหญ่ 

  นั่นเป็นเรื่องของวันวาน  กาลเวลาเปลี่ยนไป   คนแม้หัวใจเดิมแต่ก็เปลี่ยนไปตามสังคมที่ซับซ้อนสับสนด้วยเล่ห์กลการตลาดคอยกระตุ้นกิเลสความอยากอย่างบ้าคลั่ง   ทุกเวลานาทีคือการทำมาหาเงิน  มากิน  มาใช้   มาพอกพูนตัณหา  เมื่อได้มาก็เริงร่าสมหวังว่าเป็นสุข   ลืมความทุกข์ตอนที่กว่าจะหามาได้   ลืมแม้กระทั่งว่าเอาอะไรแลกมันมาบ้าง  หยาดเหงื่อ   ชีวิตและจิตวิญญาณทุ่มลงไป   ทุ่มลงไป  เศรษฐกิจที่บีบรัดเนื่องจากความขาดและเห็นว่าตนเองก็ยังไม่พอ จูงมือผู้คนให้ละทิ้งถิ่นฐานบ้านเรือน     เพื่อความอิ่มของปากท้อง

แลกมาด้วยความพลัดพราก  ความห่างไกล   การรอคอยและโหยหา    แม่จำละมือจากสายเปลที่เคยแกว่งไกว  สายใยแห่งความผูกพันถูกกางกั้นด้วยคำว่า หากิน    แม่พ่อจากไกล  เก็บเอาบทเพลงที่เคยขับขานทิ้งไว้เบื้องหลัง   หลับตาลงวันนี้เจ้าไม่มีแม่คอยเห่กล่อม    บทเพลงขับกล่อมเด็กน้อยในวันวาน  ยุ่งยากและล้าสมัยเกินไปเสียแล้ว  สถาบันแห่งชีวิตกำลังจะแตกสลายไปพร้อมกับความใหญ่โตของตึกสูงระฟ้า  รถไฟฟ้า รถใต้ดิน  และความทันสมัยแต่ไม่พัฒนา

                เวิ้งน้ำกลางนา  ท้องทุ่งกว้างใหญ่   วิถีชีวิตอันเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติพังย่อยยับ  วิถีแห่งการตลาดสมัยใหม่  กระตุ้นการบริโภค  กระชากแม่พ่อไปจากลูก  ความอบอุ่นปลอดภัยใกล้ชิดหายไปพร้อมกับการเข้ามาของยุคสมัยแห่งการดิ้นรนขวนขวายมือใครยาวสาวได้สาวเอา  ผืนนา   หัวใจ  สายใยรัก  สะบั้นลง  ป่าใหญ่ถูกหักร้างเป็นพื้นราบ  ที่นาที่จำนองถูกยึด  ทรัพย์สินถูกแปลงให้เป็นทุนแก่ผู้ที่มีมากให้มีมากมากขึ้นไปอีก

                 ในความมืดค่ำของค่ำคืน  ใครบางคนอาจกำลังคร่ำครวญถึงวิถีชีวิตชนบท   อาจจะกำลังโหยหาถึงสายใยรักที่ถ่ายทอดผ่านเสียงเพลงเห่กล่อม  วันเวลาเปลี่ยนไป ความรักของแม่ที่มีต่อลูกไม่เปลี่ยนแปลงแต่รูปแบบของการให้ความรักต่างหากที่เปลี่ยนไป     ข้าวของเงินทองนำมาใช้แทนความรู้สึกจากหัวใจในขณะที่    ความจริงที่ไม่เคยเปลี่ยนคือไม่มีวัตถุสิ่งของใดๆจะดีที่สุดหรือดีไปกว่าอ้อมกอดหรือวงแขนของแม่  ได้แต่หวังให้บทเพลงแห่งวันวานคืนกลับมา  คืนความสุข แบบธรรมดาและเป็นธรรมชาติให้แก่เรา   คิดถึง เสียงฝนกระทบหลังคาสังกะสีที่เคยนอนฟังเพลินจนหลับใหล  คิดถึงเหลือเกินบทเพลงกล่อมลูกที่แม่เค้นจากใจประสาซื่อ   เมื่อฤดูแห่งการทำนามาถึง  หวังว่าจะได้ยินเสียงของแม่อีกครั้ง...............................

                เอ้อ   เฮอะ  เออ   เฮอะ  เอ้อ  เฮอะ  เออ

                นอนซะหล้า   หลับตาแม่ซิกล่อม

                นอนอู่แก้ว  นอนแล้วแม่ซิไกว             

แม่ไปไฮซิหมกไข่มาหา

แม่ไปนาซิหมกปลามาป้อน

 แม่เลี้ยงหม่อนกะอยู่ป่าสวนมอน

นอนซะแม่เดอ  หลับตาซะแม่เดอ.....................    

.......................................................................................

*ปรับปรุงจาก

บทเพลงแห่งวันวาน  โดย  สรวงธร  นาวาผล  ตีพิมพ์ในคอลัมน์เด็กหอมแผ่นดิน  หนังสือพิมพ์เนชั่นสุดสัปดาห์ฉบับวันที่29 กันยายน-5ตุลาคม2538.

................................................................................................................

คำสำคัญ (Tags): #ครอบครัว#เด็ก
หมายเลขบันทึก: 100959เขียนเมื่อ 5 มิถุนายน 2007 15:00 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 18:53 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

สวัสดีค่ะน้อง...สรวงธร นาวาผล

อ่านแล้วค่ะ..ดีเยี่ยมค่ะ..ครูอ้อยจะมาอ่านอีกนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท