BM.chaiwut
พระมหาชัยวุธ โภชนุกูล ฉายา ฐานุตฺตโม

การเลิกกาแฟกับวิปัสสนาญาณ


การเลิกกาแฟกับวิปัสสนาญาณ

คอกาแฟทั่วไปคงจะรู้ว่าการติดกาแฟเป็นอย่างไร... ผู้เขียนเริ่มหัดฉันกาแฟมาตั้งแต่แรกบวช จนกระทั้งกาแฟกลายมาเป็นเพื่อนที่ไปไหนไปกันกับผู้เขียน... นานมาแล้ว บางวันตอนบ่ายจะรู้สึกปวดหัว แต่เมื่อได้กาแฟสักแก้ว ตามด้วยน้ำร้อนอีก ๒-๓ แก้ว อาการปวดหัวทำนองนั้นก็จะหมดไป... เมื่อเป็นอย่างนี้หลายครั้ง ผู้เขียนก็จับอาการได้ว่า อย่างนี้ เค้าเรียกกว่า อยากกาแฟ และถ้าเป็น อย่างนี้ เค้าเรียกว่า ติดกาแฟ ... ประมาณนี้

ด้วยสภาพที่จำเจ ทำให้บางครั้งผู้เขียนก็เลิกฉันกาแฟเป็นครั้งคราว โดยทนปวดหัว ๒-๓ วัน แล้วอาการเช่นนั้นก็จะหมดไป... ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ผู้เขียนอดกาแฟมาเป็นวันที่สามแล้ว ขณะที่เขียนบันทึกนี้ อาการปวดหัวหรืออยากกาแฟก็ยังมีอยู่ แต่ไม่เหมือนวันแรก... บังเอิญนึกเรื่องวิปัสสนาญาณได้ จึงลองนำกระบวนการนี้มาเทียบเคียงและเล่าเล่นๆ....

คำว่า วิปัสสนาญาณ แปลว่า ความรู้ทำให้เกิดความเห็นแจ้ง เป็นหมวดธรรมใช้อธิบายการบรรลุธรรม มี ๙ ประการ ดังต่อไปนี้

  • อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ความรู้อันพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความดับ

ความปวดหัวที่เกิดขึ้นเพราะไม่ได้ฉันกาแฟ ถ้าได้ฉันกาแฟแล้วความปวดหัวก็จะดับไป....

  • ภังคานุปัสสนาญาณ ความรู้อันพิจารณาเห็นความดับ

ต้องการจะให้ความปวดหัวดับไปเท่านัน จึงต้องไปหากาแฟมาฉัน....

  • ภยตูปัฎฐานญาณ ความรู้ว่าสังขารปรากฎเป็นสิ่งน่ากลัว

สังขารคือหลายสิ่งที่รวมตัวกันขึ้นมาแล้วแปรเปลี่ยนสลายไป... ความปวดหัวก็จัดเป็นสังขารเพราะเกิดขึ้นแล้วดับไป การที่ความปวดหัวหรือสังขารตัวนี้ปรากฎขึ้นมา ช่างน่ากลัวเหลือเกิน....

  • อาทีนวานุปัสสนาญาณ ความรู้อันคำนึงเห็นโทษ

ความปวดหัวที่น่ากลัวเหลือเกินนี้แหละ จัดเป็นโทษ ...

  • นิพพิทานุปัสสนาญาณ ความรู้อันคำนึงเห็นความเบื่อหน่าย

การที่เราต้องฉันกาแฟซ้ำๆ ซากๆ เพื่อบรรเทาความปวดหัวทำนองนี้ ช่างน่าเบื่อหน่ายซะเหลือเกิน...

  • มุญจิตุกัมยตาญาณ ความรู้อันใคร่จะพ้นเสีย

อยากจะเลิกเสียให้พ้นๆ...

  • ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ ความรู้อันคำนึงเห็นเพื่อค้นหาแนวทาง

ถ้าเราเลิกกาแฟได้ ความปวดหัวทำนองนี้ ก็คงจะไม่เกิดขึ้นอีก....

  • สังขารุเปกขาญาณ ความรู้อันวางเฉยต่อสังขาร

ดังนั้น เราต้องวางเฉยกับความปวดหัวทำนองนี้ อย่าไปสนใจมัน...

  • สัจจานุโลมิกญาณ ความรู้อันคล้อยตามความจริง

เพราะสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดที่เหตุ สิ่งนั้นทั้งปวงต้องดับที่เหตุ... ความปวดหัวทำนองนี้มีการฉันกาแฟเป็นเหตุ ถ้าเราไม่ฉันกาแฟแล้ว ความปวดหัวซึ่งเป็นผลก็จะดับไปอย่างแน่นอน....

................

ตามที่เล่ามาย่อๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่า หลักธรรมในทางพระพุทธศาสนา สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการอธิบายได้... ประมาณนี้

สำหรับคอกาแฟทั้งหลาย เช้านี้ ท่านรับกาแฟบ้างหรือยัง ?

หมายเลขบันทึก: 100396เขียนเมื่อ 3 มิถุนายน 2007 09:55 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 กันยายน 2015 08:11 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

โชคดีที่ผมไม่ติดกาแฟครับ...พระอาจารย์

 

เรื่องกาแฟเป็นเรื่องประหลาดมหัศจรรย์ยิ่งครับ...

 

มันเข้ามาสู่วิถีชีวิตประจำวันเรา(และคนทั่วโลก)ได้อย่างไร...ไม่น่าเชื่อ...

 

ขนาดยายที่เข้าร่วมเวทีกับเรายังรู้เลยว่ากินกาแฟแล้วตาแข็ง...

 

ยายเลยซัดครั้งละ 2 แก้ว...เพื่อนผมเลยถามว่า...ยายครับ...ทานกาแฟมากอย่างนี้จะดีหรือครับ...

 

ยายบอกว่า...ไม่เป็นไรหรอกไอ้หนูเอ้ย...เผื่อตาเค้าจะแข็งมั่ง(ไม่แข็งมานานแล้ว)....555555555555555

ไม่ค่อยได้เจอท่านเลขาฯ...
มาเล่านิทานบ้างก็ดี ช่วงนี้เครียดๆ ....
เจริญพร 

กราบนมัสการหลวงพี่ BM.chaiwut

เช้านี้ได้ดื่มกาแฟแล้วค่ะ กินประกอบกับขนมปังเป็นอาหารเช้า

ตัวเองทานกาแฟวันละอย่างน้อย ๒ แก้วค่ะ แต่ถ้าเป็นเสาร์ อาทิตย์ที่ไม่ได้ทำงาน บางทีจะไม่ได้กิน และไม่ปวดหัว และไม่เกิดอยากค่ะ นัยว่าคงกินเพราะเวลาทำงานนั่งเขียนหนังสือหรือตรวจงานจะชอบมีแก้วกาแฟสำหรับจิบ และหรือน้ำร้อนก็ได้ค่ะ คงจะเป็นพฤติกรรมประเภทหนึ่งเหมือนกัน ว่าถ้าอยู่ที่ทำงาน ต้องเช้าแก้ว บ่ายแก้ว ประมาณนั้นค่ะ

ดิฉันชอบที่หลวงพี่ยกตัวอย่างเทียบเรื่องการติดกาแฟกับวิปัสสนาญาณค่ะ ชัดเจนดี คนส่วนใหญ่จะเข้าใจง่าย เพราะเทียบกับสิ่งทั่วไปที่เกิดกับเขาค่ะ..

พระมหาประเสริฐ มนฺตเสวี
อัลเบิร์ต ไอสไตล์ กล่าวถึงพระพุทธศาสนาก่อนเสียชีวิต

ถึงแม้อัลเบิร์ต ไอสไตล์ ได้จากโลกนี้ไปโดยที่เขายังไม่สามารถค้นพบตำตอบตามที่เขากำลังต้องการก็ตาม แต่ไอสไตล์ได้ทิ้งคำพูดที่เป็นปริศนาที่สำคัญมากให้กับมนุษยชาติ ในช่วงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของเขา   อัลเบิร์ตได้เริ่มสงสัยแล้วว่า พระพุทธศาสนา อาจจะเป็นศาสนาที่ให้คำตอบต่อคำถามที่เขากำลังพยายามค้นหา  ในช่วง 1 ปีก่อนที่เขาจะเสียชีวิตนั้น มหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน ได้ตีพิมพ์งานเขียนชิ้นหนึ่งของเขาชื่อเรื่อง " The Human Side " ซึ่งนักฟิสิกส์ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลผู้นี้ ได้กล่าวทิ้งท้ายให้เป็นปริศนาแห่งโลกอนาคตว่า

The religion of the future will be a cosmic religion. It should transcend personal God and avoid dogma and theology. Covering both the natural and the spiritual, it should be based on a religious sense arising from the experience of all things natural and spiritual as a meaningful unity. Buddhism answers this description. If there is any religion that could cope with modern scientific needs it would be Buddhism. (Albert Einstein)

"ศาสนาในอนาคต จะต้องเป็นศาสนาสากล ศาสนานั้นควรอยู่เหนือพระเจ้าที่มีตัวตน และควรจะเว้นคำสอนแบบสิทธันต์ (คือเป็นแบบสำเร็จรูปที่ให้เชื่อตามเพียงอย่างเดียว) และแบบเทววิทยา(คือพึ่งเทวดาเป็นหลักใหญ่) ศาสนานั้น เมื่อครอบคลุมทั้งธรรมชาติและจิตใจ จึงควรมีรากฐานอยู่บนสามัญสำนึกทางศาสนา ที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ต่อสิ่งทั้งปวง คือ ทั้งธรรมชาติและจิตใจอย่างเป็นหน่วยรวมที่มีความหมาย พระพุทธศาสนาตอบข้อกำหนดนี้ได้....ถ้าจะมีศาสนาใดที่รับมือได้กับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ปัจจุบัน ศาสนานั้นก็ควรเป็นพระพุทธศาสนา"

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
นักฟิสิกส์ ชาวเยอรมัน ผู้เสนอทฤษฏีสัมพันธภาพ

คำพูดของไอสไตล์นั้นมีความนัยที่สำคัญซ่อนอยู่และรอคอยการค้นพบ และทฤษฎีเอกภาพหรือทฤษฎีสรรพสิ่งที่ต้องการค้นหานั้น ที่จริงพระพุทธเจ้าได้ตอบให้เบ็ดเสร็จก่อนหน้านั้น 2500 ปี
 http://en.wikipedia.org/wiki/Albert_Einsteinhttp://www.mlahanas.de/Privat/quotations.htm Buddhism Answers"The religion of the future will be a cosmic religion. "Buddhism has the characteristics of what would be expected in a cosmic religion for the future: it transcends a personal God, avoids dogmas and theology; it covers both the natural & spiritual, and it is based on a religious sense aspiring from the experience of all things, natural and spiritual, as a meaningful unity. Buddhism answers this description. If there is any religion that would cope with modern scientific needs, it would be Buddhism."- Albert Einstein  [1954, from Albert Einstein:The Human Side, edited by Helen Dukas and Banesh Hoffman, Princeton University Press]http://members.shaw.ca/sanuja/buddhismquorts.html   ...พระพุทธศาสนา ศาสนาพุทธ เกิดจากความกลัวแก่ กลัวเจ็บ กลัวตาย ต้องการหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง และต้องการเข้าถึงสุขแท้สุขถาวรที่ไม่ต้องกลับมาทุกข์อีก (1)

...เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะมีพระชนมายุ ๒๙ พรรษาพระองค์เสด็จออกประพาสอุทยาน ขณะที่กำลังเพลิดเพลินอยู่นั้น พระองค์ได้พบกับสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตนั่นคือ คนแก่ คนเจ็บและคนตาย ทำให้พระองค์ทรงหวั่นวิตกว่า อีกไม่นานเราเองก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายอย่างนี้เหมือนกัน ทำอย่างไรหนอ เราจะรอดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ได้? เมื่อมีร้อนก็มีหนาวแก้ เมื่อมีมืดก็มีสว่างแก้ เมื่อมีความแก่ความเจ็บและความตาย ก็ต้องมีวิธีแก้อย่างแน่นอน เราจะหาวิธีการนั้นให้พบให้จงได้จากนั้นพระองค์จึงตัดสินพระทัยทิ้งราชสมบัติ ทิ้งกองเงินกองทองออกจากพระราชวังไปนั่งให้ยุงกัดอยู่กลางป่า(2)


พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร?
......พระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งกฎธรรมชาติว่า สัตว์ทุกชีวิตเคยเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน(3) ผู้ที่ไม่เคยเกิดเป็นพ่อแม่กันมาก่อนหาได้ยาก(4) บางชาติเกิดเป็นเทวดา บางชาติเป็นมนุษย์ บางชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน บางชาติเกิดเป็นเปรต/อสุรกาย บางชาติต้องตกนรก ต้องเวียนว่ายตาย-เกิดอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ตามอำนาจบุญและบาปที่ตนเองได้ทำไว้ เหตุการณ์ทุกอย่างที่เราประสบอยู่ทุกวันนี้ไม่มีคำว่าโชคหรือบังเอิญ ทุกอย่างเป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระทำของเราในอดีตทั้งสิ้น(5)

.........เมื่อเรายังต้องเกิดอีก สิ่งที่จะตามมาด้วย คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย และความทุกข์กายทุกข์ใจ ดั่งพระจาลาภิกษุณีกล่าวว่า ความตายย่อมมีแก่ผู้ที่เกิดมาแล้ว ผู้ที่เกิดมาแล้วย่อมประสบทุกข์ เพราะเหตุนี้แลเราจึงไม่ชอบความ เกิด”(6)

........ฉะนั้น วิธีที่จะรอดพ้นจากความแก่ ความเจ็บ ความตาย และความทุกข์ทั้ง ปวงได้ ก็มีอยู่เพียงวิธีเดียวเท่านั้น นั่นก็คือการไม่เกิดอีกเพราะเมื่อไม่เกิดอีก เราก็ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย และไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป(7)


จุดมุ่งหมายพระพุทธศาสนา
....เป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือ เจริญวิปัสสนาภาวนาจนบรรลุเข้าสู่ มรรค ผล นิพพาน ตัดกระแสธรรมชาติให้ขาดสะบั้นลงได้อย่างเด็ดขาดสิ้นเชิง กำจัดสาเหตุที่ก่อให้เกิดการถือกำเนิดในภพใหม่(8) สิ่งที่ทำให้สัตว์ทั้งหลายต้องเกิดอีกไม่มีที่สิ้นสุดก็คือความต้องการของสรรพสัตว์เองหรือที่เรียกว่ากิเลสตัณหา”(9)

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า อานนท์ กรรมชื่อว่าเป็นไร่นา วิญญาณชื่อว่าเป็นพืช ตัณหาชื่อว่ายางเหนียวในเมล็ดพืช วิญญานดำรงอยู่ได้ เพราะธาตุหยาบของสัตว์ มีความหลงไม่รู้ความจริงเป็นเครื่องปิดกั้น มีตัณหา เป็นเชื้อเครื่องผูกเหนี่ยวใจไว้ การเกิดใหม่จึงมีต่อไปอีก(10) ตัณหาทำให้สัตว์ต้องเกิดอีก จิตของสัตว์ย่อมแล่นไป สัตว์ที่ยังต้องเวียนว่ายในสังสารวัฏฏ์ย่อมไม่อาจ หลุดพ้นจากทุกไปได้”(11)

.......เมื่อมนุษย์เจริญวิปัสสนาจนเกิดมรรคจิตครบ ๔ ครั้ง ก็จะกำจัดกิเลสตัณหา ในจิตของตนเองให้หมดสิ้นไปได้อย่างสิ้นเชิง(12) เขาจะไม่ต้องเกิดใหม่อีกต่อไป เปรียบเหมือนเมล็ดพันธุ์มะม่วงที่มียางเหนียวอยู่ภายใน ถ้านำไปปลูกจะงอกเป็น ต้นมะม่วงได้อีก แต่ถ้านำไปต้มกำจัดยางเหนียวให้หมดไป จากนั้นนำไปปลูกโดย วิธีใดก็ตามจะไม่งอกอีกแล้ว กิเลสตัณหาในดวงจิตของเราก็เช่นกัน
........แต่ถ้าหากไม่สามารถทำมรรคจิตให้เกิดครบ ๔ ครั้งได้ แม้เกิดเพียงครั้งเดียวก็จัดว่าเข้าสู่กระแสแล้ว(โสดาบัน) ก็ไม่ต้องตกนรก/ทุกข์ในอบายอีกต่อไป และจะบรรลุอรหันต์ได้เองโดยอัตโนมัติภายในระยะเวลาไม่เกิน ๗ ชาติ(13)


กรรมฐาน
....กรรมฐาน เป็นศาสตร์หนึ่งที่มีอยู่ในจักรวาลเหมือนกับวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ต่างกันแต่ศาสตร์นี้ต้องศึกษาวิจัยในห้องแลปร์คือจิตล้วน ๆ และ มีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ความหลุดพ้นจากทุกทั้งปวง ศาสตร์นี้เป็นกลไกที่มีอยู่ตามธรรมชาติ แต่ยากที่มนุษย์จะเข้าถึงได้ สิ่งที่สามารถเข้าถึงและแทงตลอดกฏเกณฑนี้ได้มีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือจิตที่ทรงพลานุภาพ ตามธรรมดาแล้วมนุษย์ล้วนมีจิตกันทุกคน แต่จิตธรรมดาจะกลายเป็นจิตที่ทรง พลานุภาพได้นั้นต้องอาศัยการบ่มเพาะเป็นเวลานาน คัมภีร์อรรถกถาบอกว่า ต้องใช้เวลานานถึง ๔ อสงไขยกับแสนกัปเลยทีเดียว(14) ด้วยเหตุนี้ นาน ๆ จึงจะมีดวงจิตที่ทรงพลานุภาพมาปฏิสนธิสักครั้งหนึ่ง โลกใบนี้อุบัติขึ้นประมาณ ๔,๕๐๐ ล้านปีมาแล้ว ซึ่งเป็นเวลาที่ยาวนานมาก แต่ดวงจิตที่ทรงพลานุภาพมาปฏิสนธิแค่เพียง ๔ ครั้งเท่านั้น(15) ครั้งสุดท้ายมาปฏิสนธิ เมื่อ ๒๖๒๗ ปีก่อนนี้เอง ผู้นั้นเราเรียกกันว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

.......เรื่องกรรมฐานนี้ มนุษย์ทั่วโลกได้พยายามค้นคว้าและเข้าถึงมานานแล้ว แต่เนื่องด้วยบารมีไม่เพียงพอจึงเข้าถึงได้เพียงครึ่งเดียว คนกลุ่มนั้นก็คือพวก ฤษีและศาสดาต่าง ๆ พวกท่านสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ มีฤทธิ์เดชมากมาย แต่ก็ยังไม่สามารถกำจัดกิเลสในจิตตนเองให้หมดไปได้(16) ยังมีความรัก โลภ โกรธ หลงอยู่ ท่านเหล่านี้เข้าถึงได้เพียงแค่ระดับฌานสมาบัติเท่านั้น ยังไม่สามารถเข้าถึงวิปัสสนาปัญญา บรรลุมรรค ผล นิพพานได้(17)

.....สมถกรรมฐาน (18) คือ การกำหนดจิตอยู่กับสิ่งใด สิ่งหนึ่งที่เหมาะสม เช่น ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก เป็นต้น(19) ใส่ใจแต่เฉพาะอาการเข้า อาการออกของลมหายใจเท่านั้น โดยไม่สนใจสิ่งอื่น แม้แต่ความคิดก็ไม่สนใจหายใจเข้า หายใจออกตามปกติธรรมด่า มีสติระลึกรู้อยู่ในขณะปัจจุบัน มีสติระลึกรู้อยู่อย่างนี้นับร้อยครั้ง พันครั้ง หมื่นครั้งจนจิตตั้งมั่น แนบแน่นอยู่ กับลมหายใจนิ่งเป็นสมาธิ แล้วกำหนดรู้อาการนิ่งสงบของจิต จนนิ่งเป็นอุเบกขา เมื่อถึงขั้นนี้จะน้อมจิตไปทำสิ่งใดก็จะสำเร็จได้ดั่งใจหมาย เช่น สามารถ กำหนด รู้ความคิดของคนอื่นได้เป็นต้น(20)

......เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวช พระองค์ได้ไปศึกษาศาสตร์นี้จากสำนักฤษีต่างๆ ที่มีอยู่ในสมัยนั้นจนหมดความรู้อาจารย์ แต่เมื่อออกจากสมาธิ กิเลสตัณหาก็ยังมีอยู่เท่าเดิม ยังมีความกลัวความกังวลอยู่ พระองค์จึงตัดสินพระทัยศึกษาค้นคว้าหาวิธีดับทุกข์ด้วยพระ องค์เอง ด้วยการเจริญวิปัสสนา(21)

.........เมื่อเกิดวิปัสสนาปัญญญารู้แจ้งอยู่ไปตามลำดับครบ ๑๖ขั้นจะบรรลุ โสดาบัน เที่ยวที่ ๒ บรรลุสกทาคามี เที่ยวที่ ๓ บรรลุอนาคามี เที่ยวที่ ๔บรรลุพระอรหันต์เข้าถึงพระนิพพาน(22) ดับทุกข์ได้โดยสิ้นเชิงไม่ต้องเกิดใหม่อีกต่อไป เมื่อไม่ต้องเกิดอีกก็ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย และไม่ต้องทุกข์ กายทุกข์ใจอีกต่อไป การตายอีกครั้งหนึ่งซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย จึงเรียกว่าดับขันธปรินิพพาน ดับทั้งกายดับทั้งจิต ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

อ้างอิง..พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(เล่มที่ / หน้าที่)
1ไตรปิฎก.๒๕/๔๗๖,๓๑/๔๐๐
2 ดูรายละเอียดใน ไตรปิฎก.๑๐/๑-๑๐
3 ไตรปิฎก.๑๖/๒๒๓
4 ไตรปิฎก๑๖/๒๒๗
5 ไตรปิฎก๑๔/๓๕๐-๓๖๕
6 ไตรปิฎก๑๕/๒๒๓
7 ไตรปิฎก๑๙/๕๓๔
8ไตรปิฎก.๑๑/๒๒๒ ,อรรถกถาอังคุตตรนิกาย(บาลี)๑/๑๖๔
9 ไตรปิฎก๑๕/๖๘
10 ไตรปิฎก.๒๐/๓๐๑
11 ไตรปิฎก๑๕/๗๐
12 ไตรปิฎก.๓๑/๙๗
13 ไตรปิฎก.๑๙/๕๔๔, ๑๔/๑๘๖, ๒๐/๓๑๕, ๒๕/๑๒
14 วิสุทฺธชนวิลาสินี(บาลี)๑/๑๒๐
15 ไตรปิฎก.๓๓/๗๒๓
16 ไตรปิฎก.๒๐/๓๘๐
17 ไตรปิฎก.๑๓/๓๙๖,อรรถกถามัชฌิมนิกาย(บาลี) ๑/๑๙๙
18 วิสุทฺธิมรรค(บาลี)๑/๑๓๒-๑๔๙
19 ไตรปิฎก.๑๒/๑๐๑
20 ไตรปิฎก.๑๐/๑๔๒, ๒๒/๓๖
21 ไตรปิฎก.๑๙/๔๖๑,อรรถกถาอังคุตตรนิกาย(บาลี)๑/๘๑๓๓
22 ไตรปิฎก.๓๑/๑-๑๖,๒๕/๗๒๐

http://dungtrin.com/
       นิพพานนั้นอยู่ไม่ไกลหรอก...เพื่อนเอย.. ความปรารถนาของคนยุควัตถุนิยมอย่างปัจจุบันแทบไม่ต่างกันนัก นั่นก็คือ เงินตรา ทำบุญไหว้พระหรือบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ครั้งใดมักมีคำขอพรห้อยท้ายว่าขอให้รวย ขอให้รวย  ด้วยเหตุนี้เองจำนวนผู้ศรัทธาในเจ้าพ่อ เจ้าแม่ สำนัก ทรงต่างๆ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจึงมีจำนวนมากขึ้นทุกวัน  ส่วนผู้ที่มุ่งหาพระ นิพพานมีจำนวนน้อยลงเข้าไปทุกที หรือแทบไม่มีเลยในบางสังคม ทั้งที่บอกกัน ว่าเป็นชาวพุทธนับถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง   จึงเกิดเป็นประเด็นปัญหาให้ผู้ทำ หน้าที่เผยแผ่ศาสนาช่วยกันหาหนทางแก้ว่าทำอย่างไร? จึงจะให้ชาวพุทธทำ บุญมุ่งนิพพานกันมากขึ้น แทนที่จะมุ่งหวังอย่างอื่นที่มิใช่ธรรมจริง ธรรมแท้ในฐานะที่ผู้เขียนเองศึกษาปริยัติมาพอสมควรและผ่านการปฏิบัติ วิปัสสนา มาอย่างเข็มข้นเป็นระยะเวลา ๖ เดือนเต็ม เคยได้ฟังเทศนาจากพระอาจารย์ผู้ ทรงความรู้หลายท่าน พอมีความรู้ทั้งปริยัติและปฏิบัติอยู่บ้าง  จึงใคร่จะตั้งเป็น ประเด็นคำถาม และให้คำตอบ จำนวน ๑๗ ข้อ ดังต่อไปนี้              

. ทำบุญแล้ว ส่งผลให้ร่ำรวยจริงหรือ?ตอบ. การทำบุญ มี ๓ อย่าง  คือ ๑.ให้ทาน  .รักษาศีล ๓.เจริญภาวนา  การทำบุญที่ส่งผลให้ร่ำรวย คือ การให้ทาน แต่ต้องทำให้ถูกวิธีและถูก บุคคลด้วย นั่นก็คือต้องทำด้วยจิตที่ประกอบด้วยศรัทธาอย่างแท้จริง และทำ เพื่อต้องการเสียสละ1 มิใช่มุ่งหวังประโยชน์อย่างอื่น เช่น เพื่อให้คนนับถือหรือ เพื่อให้ถูกหวย  ต้องทำด้วยจิตบริสุทธิ์ สิ่งของที่ให้ก็ต้องเป็นของที่ได้มาโดยสุจริต ขณะให้มีจิตยินดีหลังจากให้ไปแล้วก็รู้สึกปลื้มใจทุกครั้งเมื่อนึกถึง และต้องทำใน บุคคลผู้บริสุทธิที่แท้จริง2 จึงจะได้อานิสงส์มากนั่นก็คือผู้มีศีลทั้งหลาย ยิ่งมีศีล มากมีศีลบริสุทธิ ผู้ให้ก็ยิ่งได้อานิสงส์มาก  ถ้าทำได้อย่างนี้ก็จะได้รับอานิสงส์เป็น ความร่ำรวยดังที่ปรากฎในจูฬกัมมวิภังคสูตร3  บางคนร่ำรวยทัน ตาเห็นในชาตินี้ บางคนต้องรอให้กรรมเก่าอ่อนกำลังเสียก่อนจึงจะร่ำรวยได้ใน ชาติต่อๆ ไป แต่ถึงแม้จะร่ำรวยปานใดก็ตาม ขึ้นชื่อว่ามนุษย์แล้วย่อมทำทั้งดีและชั่ว ยิ่งมีฐานะร่ำรวยยิ่งส่งผลให้การกระทำยิ่งใหญ่ไปด้วย คือ ทำบุญก็เป็นบุญใหญ่  ทำบาปก็เป็นบาปหนักที่จะส่งผลให้ตกอบายนับชาตินับปีไม่ถ้วน  โดยเฉพาะ การต้องตกนรก เป็นการชดใช้กรรมด้วยการถูกทรมานอยู่ตลอดเวลา หาระหว่างขั้นมิได้เลย  เมื่อพ้นจากนรกแล้วก็ยังต้องไปชดใช้เศษกรรมในกำเนิด เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย อีกนับชาติไม่ถ้วนอาจจะมีบางคนอ้างว่า  ถ้ารวยแล้ว ฉันจะทำแต่ความดี  ไม่ทำบาปเด็ดขาด แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีสิ่งรับประกันได้ว่า ชาติก่อนๆ จะไม่เคยทำบาปอกุศลเอาไว้ เพราะบาปอกุศลบางอย่างมิได้ให้ผลในชาติถัดไปทันที แต่จะไปให้ผลในชาติ ที่๒,ที่๓ เป็นต้นไป4  หรือถึงแม้ในชาติที่ผ่านๆ มาไม่ได้ทำบาปอกุศลไว้เลย แต่ก็ไม่มีสิ่งรับประกันได้ว่า ในชาติต่อๆ ไปเราจะไม่ทำบาปอกุศลที่ส่งผลให้ต้อง ตกนรกอีก  ซึ่งสังเกตได้จากลูกเศรษฐีหลายๆ ท่านที่เกิดมาบนกองเงินกองทอง  บางคนได้ทำบาปอกุศลมากมาย ฆ่ากันระหว่างพี่น้องก็มี บางคนถึงกับฆ่าพ่อ แม่ตนเอง มีข่าวให้ได้ยินอยู่บ่อยๆ มิใช่หรือ?   ชาตินี้เขาเกิดมาร่ำรวยบน กองเงินกองทองเหมือนดั่งคาบช้อนทองออกมาจากท้องแม่ เพราะชาติก่อน ๆ ได้เคยให้ทานไว้มาก   แต่ความร่ำรวยที่เขาได้รับนั้นกลับทำให้เขาต้อฆ่าพี่ ฆ่าน้อง เพื่อแย่งชิงสมบัติไว้แต่เพียงผู้เดียว บางคนร่ำรวยแล้วก็อยากจะเป็นใหญ่ จึง ต้องฆ่าศัตรูมากมายที่เขาคิดว่าจะขัดขวางไม่ให้ตนเป็นใหญ่อย่าว่าแต่มนุษย์เลย ที่ต้องตกอบายทุกข์ทรมานในนรกอยู่เป็นอาจิณ  แม้แต่ ผู้ที่มนุษย์บูชาขอพรอยู่เสมออย่างเช่นพระพรหม ก็ยังต้องตกนรกเลย5 เพราะ ก่อนที่ท่านจะมาเกิดเป็นพรหมในพรหมโลก  ท่านก็ต้องเคยเกิดเป็นมนุษย์ มาก่อน บำเพ็ญเพียรจนได้ฌาน เมื่อตายแล้วจึงได้ไปเกิดเป็นพรหม ครั้งที่เกิด เป็นมนุษย์ท่านก็ต้องเคยทำทั้งดีทั้งชั่วเอาไว้ไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่งแน่นอน  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยตรัสเปรียบเทียบให้พระภิกษุฟังว่า         เมื่อพรหมเคลื่อนจากภพของตนแล้ว ที่จะได้กลับไปเกิดเป็นพรหมอีก  หรือไปเกิดในภูมิที่ต่ำลงมา มีจำนวนน้อยตกนรกเสียส่วนมาก เทียบได้กับจำนวน ฝุ่นที่ปลายเล็บกับผืนดินทั้งปฐพี ฉะนั้น6                                                                                                                           . มีวิธีการไหนบ้างที่ทำให้ไม่ต้องตกนรกอีก ทั้งที่ได้เคยทำบาปอกุศลไว้ มาก ?ตอบ. มีซิ! ...ต้องบรรลุโสดาบันให้ได้ภายในชาตินี้ 7  ต้องเจริญวิปัสสสนา กรรมฐานจนผ่านญาณที่ ๑๓ ไปให้ได้...                                                                                                                                         .พระโสดาบันทำให้ไม่ตกอบาย (เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย นรก)อีกจริง หรือ? จะเป็นไปได้อย่างไรตอบ. จริง ..เมื่อเจริญวิปัสสนาจนวิปัสสนาญาณขึ้นถึงญาณที่ ๑๔ โสดาปัตติมรรคจะทำหน้าที่ประหารตัวมิจฉาทิฏฐิที่นอนเนื่องอยู่ใน จิตสันดาน ได้อย่างเด็ดขาดสิ้นเชิง มิจฉาทิฏฐินี่แหละที่เป็นตัวเชื้อ ให้เราต้องตกอบาย (คือ กำเนิดเตรัจฉาน เปรต อสุรกาย นรก)อีก8 เมื่อเราบรรลุโสดาบันได้แล้ว ไม่ว่าในอดีตชาติหรือชาติปัจจุบัน เราได้เคย ทำบาปอกุศลไว้มากมายเพียงใดก็ตาม ก็ไม่ต้องไปชดใช้กรรมในอบายภูมิอีก ต่อไป และจะเกิดในสุคติภูมิ (โลกมนุษย์,สวรรค์) ได้อีกไม่เกิด ๗ ชาติเป็นอย่างยิ่ง   สัตว์โดยทั่วไปต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ใน ๓๑ ภูมิ (คือ อรูปพรหม ๔ ชั้น รูปพรหม ๑๖ ชั้น  เทวดา ๖ ชั้น  มนุษย์ เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย และนรก9) หาเบื้องต้นและที่สุดไม่พบ ต้องตกอบายทุกข์ทรมานในนรกอยู่เป็นอาจิณ เหมือน บ้านเก่าทีต้องแวะเวียนไปอยู่เสมอ  แต่ถ้าเราสามารถบรรลุโสดาบันได้ภายใน ชาตินี้ ก็ไม่ต้องตกอบายอีก จะไปเกิดในสุคติภูมิอีกไม่เกิน ๗ ชาติแล้วบรรลุอรหันต์ เข้าถึงความดับภพชาติโดยสิ้นเชิง ไม่เกิดอีกต่อไป เมื่อไม่เกิดอีกก็ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย ไม่ต้องตกนรก, ตกอบาย และไม่ต้องเป็นทุกข์อีกแล้ว                                                                                 . ปัจจุบันนี้ ยังมีผู้สอนวิธีปฏิบัติให้บรรลุโสดาบันอยู่อีกหรือไม่?ตอบ. เรื่องนี้สามารถสอบถามได้จากท่านผู้ผ่านการศึกษาพระไตรปิฎก และปฏิบัติวิปัสสนาอย่างเข็มข้นต่อเนื่องมาแล้วเป็นระยะเวลา ๓ เดือนเป็น อย่างน้อย ผู้เขียนเองถึงแม้จะไม่ช่ำชองปริยัติและปฏิบัติมากมายนัก แต่ก็พอ ให้ความมั่นใจได้ว่า ผู้ที่สามารถสอนวิปัสสนากรรมฐานให้บรรลุโสดาบันยังมีอยู่ จริงในปัจจุบัน ซึ่งมีหลักและวิธีการปฏิบัติที่สามารถสอบสวนเปรียบเทียบได้ กับหลักการที่ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา   หรือถ้าจะให้มั่นใจยิ่งขึ้น ก็ลองมาปฏิบัติดูก่อนสัก ๑๐ วัน แล้วขอฟังลำดับญาณ ก็จะรู้ว่ามีวิธีการปฏิบัติ ในแต่ละขั้นตอนเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งการปฏิบัติก็มิได้หนักหนาสาหัสสากัณอย่าง ที่คิด  คือ พักผ่อนประมาณ ๗ ชั่วโมง  เวลาที่เหลือนั่งสมาธิเดินจงกรมครั้งละ ๑ ชั่วโมงสลับกัน ปฏิบัติติตต่อกันอย่างถูกหลัก สติปัฏฐานประมาณ ๓-๔ เดือนก็จะรู้ได้เองว่า ตนเองบรรลุโสดาบันแล้วหรือยังโดยไม่ต้องเชื่อต่อ ใครทั้งสิ้น (..แม้แต่พระอาจารย์ผู้สอน) ให้ตนเองตัดสินสภาวะจิตของตนเอง10                                                                                                  . บรรลุโสดาบัน เกิดได้อีกเพียง ๗ ชาติ ยังน้อยไปยังอยากเกิดอีก หลายๆ ชาติตอบ.ต้องการเกิดมากกว่านั้น ก็ไม่อาจปฏิเสธการตกนรกได้  ให้เลือกเอา !                                                           .ข้าพเจ้ามีบารมีไม่ถึงปฏิบัติคงไม่บรรลุหรอก ปฏิบัติแล้วไม่บรรลุจะเสีย เวลาเปล่า?      ตอบ. คุณเอาอะไรมาตัดสินว่า ตนเองมีบารมีถึงหรือไม่ถึง จากประสบ การณ์ที่ได้สัมผัสกับผู้ปฏิบัติหลาย ๆ ท่าน ซึ่งคาดว่าได้บรรลุธรรมขั้นต้นแล้ว บางท่านฐานะทางบ้านไม่ดีนัก (..เพราะชาติก่อนมิได้ทำบุญให้ทานเอาไว้ แม้แต่สมัยพระพุทธเจ้าก็ยังเคยมียาจกเข็ญใจคนหนึ่ง ชื่อสุปพุทธะได้แอบฟัง ธรรมเพียงกัณฑ์เดียวสามารถบรรลุโสดาบันได้ 11)  ผู้ปฏิบัติบางคนป่วยหนักจน ใกล้จะตายแล้ว แสดงว่าชาติก่อนเคยทำผิดศีลข้อ ๑ ไว้มาก เพื่อนของข้าพเจ้า บางท่านเรียนไม่เก่งเลย ผู้ปฏิบัติบางคนอ่านหนังสือไม่ออกเสียด้วยซ้ำ แต่ทุกท่านทุกชนชั้นก็สามารถปฏิบัติจนเกิดดวงตาเห็นธรรมได้ภายในระยะเวลา   เพียง ๓ -๔ เดือนเท่านั้นเรื่องบุญบารมีนี้  ผู้เขียนมีความคิดว่า ถ้าบุคคลผู้นั้นตัดสินใจได้ว่าฉันจะ ปฏิบัติวิปัสสนาแบบเอาชีวิตเข้าแลกให้ครบระยะเวลา ๓ เดือน ไม่ว่าอะไร จะเกิดขึ้น  ภายใน ๓ เดือนนี้จะไม่ออกเด็ดขาด ไม่ว่าลูกจะตาย แม่จะเสียชีวิต หรือบ้านถูกไฟใหม้ ฉันก็จะไม่ออกจากการปฏิบัติเด็ดขาด จนกว่าจะครบ ๓ เดือนถ้าหากผู้นั้นตัดสินใจเด็ดขาดได้เช่นนี้ ก็เท่ากับว่าเขามีบารมีพร้อม บริบูรณ์ที่จะบรรลุธรรมแล้ว  บุญบารมีในการบรรลุธรรมมิได้ขึ้นอยู่กับฐานะ หรือความรู้ แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยว ยอมเอาชีวิตเข้าแลก และความมุ่งมั่นต่อการปฏิบัติมากกว่าการตัดสินใจที่จะลงมือปฏิบัติวิปัสสนาเป็นระยะเวลา ๓ เดือนเต็มนั้น มิใช่เรื่องยากเลยถ้าเรารู้จักคิดพิจารณาให้ถี่ถ้วนว่าการที่ต้องตกนรก เกิดเป็น ผี เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานอีกนับล้านนับโกฎิปี12 กับการยอมสละเวลา เล็กน้อย เพียงแค่ ๓-๔ เดือน เพื่อปฏิบัติวิปัสสนาให้บรรลุถึงโสดาปัตติมรรคญาณ ปิดประตูอบายเสียให้สนิท เราจะเลือกเอาอย่างไหน?”    . โสดาบันคืออะไร? มีความสำคัญอย่างไร?    ตอบ. โสดาบัน แปลว่า เข้าถึงกระแสที่จะไหลไปสู่ความไม่เกิดอีกภายใน ๗ ชาติเป็นอย่างยิ่ง13 (เมื่อไม่เกิดอีกก็ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย และไม่ ต้องเป็นทุกข์อีกแล้ว) เป็นมรรคขั้นต้นของมรรคทั้ง๔ (คือ โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค) ที่เป็นเป้าหมายสูงสุดของพระ พุทธศาสนา เป็นเป้าหมายสำคัญที่สัตว์ทั้งมวล ผู้รักสุขเกลียดทุกข์และต้องการ สุขแท้สุขถาวร ควร/ต้องไปให้ถึงให้ได้ภายในชาตินี้ ด้วยการเจริญวิปัสสนา กรรมฐานให้วิปัสสนาญาณเกิดไปตามลำดับจนครบ ๑๖ ขั้น ก็จะสำเร็จเป็น พระโสดาบันโดยสมบูรณ์                                                                                                                            . วิปัสสนาคืออะไร? ทำไมต้องปฏิบัติ?ตอบ. วิปัสสนา แปลว่า เห็น(รู้อย่างเข้าใจ)แจ่มแจ้งในรูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน อาการที่เคลื่อนไหว ใจที่คิด เป็นต้น เป็นวิธีการปฏิบัติที่จะนำกายและใจ ของผู้ปฏิบัติให้เข้าถึงสภาวดับ สงบ เย็น(นิพพาน)ได้ 14  ถ้าต้องการสุขแท้ สุขถาวร ที่ไม่กลับมาทุกข์อีกก็ต้องดำเนินไปตามหนทางนี้เท่านั้น ไม่มีทางอื่น ความรู้สึกของผู้ปฏิบัติหลายท่าน คิดว่าการปฏิบัติสมถกรรมฐาน ดีกว่า วิปัสสนากรรมฐาน เพราะสมถฝึกแล้วทำให้เหาะได้ รู้ใจคนอื่นได้ เสกคาถาอาคม ได้ ส่วนวิปัสสนาทำไม่ได้แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ผู้ปฏิบัติสมถกรรมฐานก็ยังเป็น เพียงปุถุชนที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดใน ๓๑ ภูมิ หาที่สุดของภพชาติไม่ได้ ยังต้อง ตกอบายทรมานในนรกอีก  ส่วนผู้ปฏิบัติวิปัสสนานั้น ถึงแม้จะเหาะไม่ได้ เสกคาถา ไม่ขลัง แต่ก็เหลือภพชาติเพียงแค่ ๗ ชาติเป็นอย่างยิ่ง และตั้งแต่ชาตินี้เป็นต้นไปก็จะไม่ตกอบายอีกแล้ว ไม่ว่าอตีดจะเคยทำบาปอกุศลไว้มากมายปานใดก็ตาม.         ปฏิบัติวิปัสสนาแล้วจะได้รับผลดีอย่างไรบ้าง?ตอบ. ประโย

นมัสการพระคุณเจ้าพระมหาประเสริฐ

ผมขอเสนออย่างนี้ดีไหมครับ หากเป็นข้อความที่ปรากฏอยู่บนอินเทอร์เน็ตแล้ว น่าจะเป็นการง่ายกว่าที่จะระบุแหล่งที่มา (URL) เพื่อที่ผู้อ่านจะได้เข้าใจบริบททั้งหมดของข้อความครับ อีกทั้งนอกจากเป็นการให้เกียรติแก่เจ้าของข้อความแล้ว ยังเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วยครับ

จริงอยู่ที่การใช้ข้อความที่สำคัญบางส่วน ให้เครดิตแต่ผู้สร้างสรรค์ผลงาน และไม่ได้ใช้ในเชิงทางการค้านั้น จะจัดเป็น fair use ได้ (เป็นข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์ตามมาตรา 33 ใน พรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537) แต่ผมก็ยังคิดว่าความคิดเห็น ควรจะเป็นความคิดเห็นของเราเองครับ

อยากให้พระคุณเจ้าได้พิจารณาครับ 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท