คอกาแฟทั่วไปคงจะรู้ว่าการติดกาแฟเป็นอย่างไร... ผู้เขียนเริ่มหัดฉันกาแฟมาตั้งแต่แรกบวช จนกระทั้งกาแฟกลายมาเป็นเพื่อนที่ไปไหนไปกันกับผู้เขียน... นานมาแล้ว บางวันตอนบ่ายจะรู้สึกปวดหัว แต่เมื่อได้กาแฟสักแก้ว ตามด้วยน้ำร้อนอีก ๒-๓ แก้ว อาการปวดหัวทำนองนั้นก็จะหมดไป... เมื่อเป็นอย่างนี้หลายครั้ง ผู้เขียนก็จับอาการได้ว่า อย่างนี้ เค้าเรียกกว่า อยากกาแฟ และถ้าเป็น อย่างนี้ เค้าเรียกว่า ติดกาแฟ ... ประมาณนี้
ด้วยสภาพที่จำเจ ทำให้บางครั้งผู้เขียนก็เลิกฉันกาแฟเป็นครั้งคราว โดยทนปวดหัว ๒-๓ วัน แล้วอาการเช่นนั้นก็จะหมดไป... ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ผู้เขียนอดกาแฟมาเป็นวันที่สามแล้ว ขณะที่เขียนบันทึกนี้ อาการปวดหัวหรืออยากกาแฟก็ยังมีอยู่ แต่ไม่เหมือนวันแรก... บังเอิญนึกเรื่องวิปัสสนาญาณได้ จึงลองนำกระบวนการนี้มาเทียบเคียงและเล่าเล่นๆ....
คำว่า วิปัสสนาญาณ แปลว่า ความรู้ทำให้เกิดความเห็นแจ้ง เป็นหมวดธรรมใช้อธิบายการบรรลุธรรม มี ๙ ประการ ดังต่อไปนี้
ความปวดหัวที่เกิดขึ้นเพราะไม่ได้ฉันกาแฟ ถ้าได้ฉันกาแฟแล้วความปวดหัวก็จะดับไป....
ต้องการจะให้ความปวดหัวดับไปเท่านัน จึงต้องไปหากาแฟมาฉัน....
สังขารคือหลายสิ่งที่รวมตัวกันขึ้นมาแล้วแปรเปลี่ยนสลายไป... ความปวดหัวก็จัดเป็นสังขารเพราะเกิดขึ้นแล้วดับไป การที่ความปวดหัวหรือสังขารตัวนี้ปรากฎขึ้นมา ช่างน่ากลัวเหลือเกิน....
ความปวดหัวที่น่ากลัวเหลือเกินนี้แหละ จัดเป็นโทษ ...
การที่เราต้องฉันกาแฟซ้ำๆ ซากๆ เพื่อบรรเทาความปวดหัวทำนองนี้ ช่างน่าเบื่อหน่ายซะเหลือเกิน...
อยากจะเลิกเสียให้พ้นๆ...
ถ้าเราเลิกกาแฟได้ ความปวดหัวทำนองนี้ ก็คงจะไม่เกิดขึ้นอีก....
ดังนั้น เราต้องวางเฉยกับความปวดหัวทำนองนี้ อย่าไปสนใจมัน...
เพราะสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดที่เหตุ สิ่งนั้นทั้งปวงต้องดับที่เหตุ... ความปวดหัวทำนองนี้มีการฉันกาแฟเป็นเหตุ ถ้าเราไม่ฉันกาแฟแล้ว ความปวดหัวซึ่งเป็นผลก็จะดับไปอย่างแน่นอน....
................
ตามที่เล่ามาย่อๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่า หลักธรรมในทางพระพุทธศาสนา สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการอธิบายได้... ประมาณนี้
สำหรับคอกาแฟทั้งหลาย เช้านี้ ท่านรับกาแฟบ้างหรือยัง ?
โชคดีที่ผมไม่ติดกาแฟครับ...พระอาจารย์
เรื่องกาแฟเป็นเรื่องประหลาดมหัศจรรย์ยิ่งครับ...
มันเข้ามาสู่วิถีชีวิตประจำวันเรา(และคนทั่วโลก)ได้อย่างไร...ไม่น่าเชื่อ...
ขนาดยายที่เข้าร่วมเวทีกับเรายังรู้เลยว่ากินกาแฟแล้วตาแข็ง...
ยายเลยซัดครั้งละ 2 แก้ว...เพื่อนผมเลยถามว่า...ยายครับ...ทานกาแฟมากอย่างนี้จะดีหรือครับ...
ยายบอกว่า...ไม่เป็นไรหรอกไอ้หนูเอ้ย...เผื่อตาเค้าจะแข็งมั่ง(ไม่แข็งมานานแล้ว)....555555555555555
กราบนมัสการหลวงพี่ BM.chaiwut
เช้านี้ได้ดื่มกาแฟแล้วค่ะ กินประกอบกับขนมปังเป็นอาหารเช้า
ตัวเองทานกาแฟวันละอย่างน้อย ๒ แก้วค่ะ แต่ถ้าเป็นเสาร์ อาทิตย์ที่ไม่ได้ทำงาน บางทีจะไม่ได้กิน และไม่ปวดหัว และไม่เกิดอยากค่ะ นัยว่าคงกินเพราะเวลาทำงานนั่งเขียนหนังสือหรือตรวจงานจะชอบมีแก้วกาแฟสำหรับจิบ และหรือน้ำร้อนก็ได้ค่ะ คงจะเป็นพฤติกรรมประเภทหนึ่งเหมือนกัน ว่าถ้าอยู่ที่ทำงาน ต้องเช้าแก้ว บ่ายแก้ว ประมาณนั้นค่ะ
ดิฉันชอบที่หลวงพี่ยกตัวอย่างเทียบเรื่องการติดกาแฟกับวิปัสสนาญาณค่ะ ชัดเจนดี คนส่วนใหญ่จะเข้าใจง่าย เพราะเทียบกับสิ่งทั่วไปที่เกิดกับเขาค่ะ..
นมัสการพระคุณเจ้าพระมหาประเสริฐ
ผมขอเสนออย่างนี้ดีไหมครับ หากเป็นข้อความที่ปรากฏอยู่บนอินเทอร์เน็ตแล้ว น่าจะเป็นการง่ายกว่าที่จะระบุแหล่งที่มา (URL) เพื่อที่ผู้อ่านจะได้เข้าใจบริบททั้งหมดของข้อความครับ อีกทั้งนอกจากเป็นการให้เกียรติแก่เจ้าของข้อความแล้ว ยังเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วยครับ
จริงอยู่ที่การใช้ข้อความที่สำคัญบางส่วน ให้เครดิตแต่ผู้สร้างสรรค์ผลงาน และไม่ได้ใช้ในเชิงทางการค้านั้น จะจัดเป็น fair use ได้ (เป็นข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์ตามมาตรา 33 ใน พรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537) แต่ผมก็ยังคิดว่าความคิดเห็น ควรจะเป็นความคิดเห็นของเราเองครับ
อยากให้พระคุณเจ้าได้พิจารณาครับ