วันนี้ขอนำบทความที่ผมเคยเขียนไว้ และนำเสนอทางโฮมเพจของสำนักงานเกษตรังหวัดกำแพงเพชร เขียนตามความเข้าใจนะครับ ลองอ่านดูเผื่อจะเกิดแนวคิดใหม่ๆแล้วนำมาสู่การพัฒนาการจัดการความรู้และงานส่งเสริมการเกษตรของพวกเราได้บ้าง...
กว่าจะมาเป็น...การจัดการความรู้
ในยุคของข่าวสารข้อมูล และก้าวย่างเข้าสู่ยุคแห่งการเรียนรู้
จนกระทั่งทะลุถึงยุคของการใช้ปัญญา
ตามมุมมองของผู้รู้ที่พยายามสื่อให้กับพวกเราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย
จากคลื่นลูกที่สามจนถึงคลื่นลูกที่ห้า
แต่ในขณะที่ชีวิตจริงของเรากำลังดำเนินอยู่นี้
บางครั้งก็ไม่สามารถที่จะขีดเส้นกำหนดได้ว่า
เรากำลังอยู่ในยุคไหนกันแน่
อาจเป็นการยากที่เราจะใช้เหตุการณ์หรือสิ่งบ่งบอกต่างๆ
เป็นตัวชี้วัด
แต่สิ่งหนึ่งที่คิดว่าทุกท่านคงเห็นด้วยก็คือ ไม่ว่าจะเป็นยุคใดๆ
ก็ตาม เรายังคงต้องเรียนรู้ ปรับตัว ใช้ข้อมูลข่าวสาร
ใช้ปัญญาในการตัดสินใจและปรับตัวเพื่อความอยู่รอดอยู่ตลอดเวลา
สิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักปรับตัวย่อมพบกับปัญหา และสูญสิ้นเผ่าพันธุ์…
เป็นกฎของธรรมชาติ องค์กรใดไม่ปรับตัว
ก็ยากที่จะยืนหยัดอยู่ได้ในโลกที่มีแต่การแข่งขัน
ดังนั้นในปัจจุบันเราจึงมักจะได้ยินได้ฟังเสมอเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างองค์กร
การปรับปรุงหรือปรับรูปแบบให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลง
แม้แต่ภาครัฐที่ว่าเข้มแข้ง
ก็ยังต้องปรับโครงสร้างการบริหารจัดการสู่การบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่เพื่อความเหมาะสมกับยุคสมัยและการเปลี่ยนแปลง
และวิธีการหนึ่งที่ทุกองค์กรมักนิยมใช้ในการพัฒนา
ปรับองค์กรให้เหมาะสมสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง ก็คือ
การบริหารหรือ การจัดการความรู้ (Knowledge Management)
การจัดการความรู้คืออะไร? มีผู้รู้หลายท่านได้ให้ความหมายไว้
แต่จะขอยกความหมายที่อาจารย์พรธิดา วิเชียรปัญญา (2547)
ซึ่งได้ศึกษาจากผู้รู้หลายท่าน ได้สรุปว่า
การจัดการความรู้
หมายถึง “
กระบวนการอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับการประมวลข้อมูล สารสนเทศ
ความคิด การกระทำ ตลอดจนประสบการณ์ของบุคคล
เพื่อสร้างความรู้หรือนวัตกรรม
แล้วจัดเก็บไว้ในลักษณะของแหล่งข้อมูลที่บุคคลสามารถเข้าถึงได้โดยอาศัยช่องทางต่างๆ
ที่องค์การได้จัดเตรียมไว้
เพื่อนำความรู้ที่มีอยู่ไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงาน
ซึ่งก่อให้เกิดการแบ่งบันและการถ่ายโอนความรู้
และในที่สุดความรู้ที่มีอยู่จะแพร่กระจายและไหลเวียนทั่วทั้งองค์กรอย่างสมดุลย์
เป็นไปเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาผลผลิตและองค์การ ”
นอกจากความหมายที่ยกมากล่าวข้างต้นแล้ว ศาสตราจารย์
นายแพทย์วิจารณ์ พาณิช
ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.)
ก็ยังเขียนไว้ชัดเจน (บนเว็บไซต์ของ สคส.)
ว่าการจัดการความรู้เป็นกิจกรรมที่ซับซ้อนและกว้างขวางไม่สามารถให้นิยามด้วยถ้อยคำสั้น
ๆ ได้ ต้องให้นิยามหลายข้อจึงจะครอบคลุมความหมาย
ที่สำคัญแม้ว่าเราจะศึกษาตำราเกี่ยวกับการจัดการความรู้มากมายเพียงใด
ความรู้ชัดแจ้งที่เราได้เรียนรู้ (บันทึกเป็นตำราไว้)
ก็คงมีเพียงประมาณร้อยละ 20 เท่านั้น
นอกเหนือจากนั้นต้องปฏิบัติจริงเกี่ยวกับการจัดการความรู้
จึงจะเกิดความรู้และเข้าใจ
เพราะการจัดการความรู้ไม่เป็นรูปแบบที่ตายตัวหรือเป็นสูตรสำเร็จที่จะถ่ายทอดกันได้อย่างครบถ้วนหรือสมบูรณ์แบบ
เป็นที่น่ายินดีที่กรมส่งเสริมการเกษตร
ได้มีการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดการความรู้ หรือที่เรียกกันว่า
KM ซึ่งได้ดำเนินการใน 9 จังหวัดนำร่อง
จังหวัดกำแพงเพชรที่ผมทำงานอยู่ก็เป็น 1 ใน 9 จังหวัดนำร่องด้วย
แต่จากการได้ปฏิบัติงานร่วมกันตั้งแต่เริ่มต้น
ผมขอเสนอข้อคิดเห็นไว้เพื่อการพัฒนาการจัดการความรู้
ที่เรากำลังปฏิบัติกันอยู่ในขณะนี้ (คือขอคิดด้วยคนครับ)
โดยผมใช้วิธีคิดเชิงมโนทัศน์ (Concepturl Thinking)
ซึ่งศาสตราจารย์ ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ (2546,70)
ได้ให้ความหมายว่า การคิดเชิงมโนทัศน์ หมายถึง “
ความสามารถในการประสานข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่เกี่ยวกับเรื่องหนึ่งเรื่องใดได้อย่างไม่ขัดแย้ง
แล้วนำมาสร้างเป็นความคิดรวบยอดหรือกรอบความคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น”
และการคิดเชิงเปรียบเทียบ ฯลฯ
มาเป็นหลักในการคิดเบื้องต้น(คือผมสมมติว่าสวมหมวกหลายสีในการพิจาณา)
ดังนั้นลองมาดูความคิดเห็นของผมที่จะขอเสนออีกมุมมองหนึ่ง
ตามที่ผมเห็นการจัดการความรู้ที่เรากำลังดำเนินการอยู่ คือ
1.
เราทำเสมือนว่าการจัดการความรู้
สามารถดำเนินการได้เช่นเดียวกับการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง
ซึ่งเมื่อถึงเวลา หมดงบประมาณหรือหมดความสำคัญแล้ว
ก็ไม่ต้องทำอีกต่อไป
2. การที่จะดำเนินการเกี่ยวกับการจัดการความรู้
เพียงการดำเนินการผ่านตัวแทนขององค์กรเพียงไม่กี่คนเพียงวิธีเดียว
ก็เพียงพอในการถ่ายทอดหรือดำเนินการขับเคลื่อนการจัดการความรู้ในองค์กรได้
คือคิดและทำแบบแยกส่วน
3. การจัดการความรู้ เพียงทำความเข้าใจ
และสร้างรูปแบบ กำหนดขั้นตอนในการปฏิบัติให้เหมือนกัน
มองเหมือนว่าการจัดการความรู้เป็นเป้าหมาย
แล้วต่างคนก็ต่างนำไปปฏิบัติ
ก็เป็นการจัดการความรู้ที่สมบูรณ์แบบ
ที่ยกมาเขียนทั้ง 3 ข้อข้างต้น
เป็นเพียงมุมมองที่เห็นภาพของการปฏิบัติต่อการจัดการความรู้ที่เรากำลังทำอยู่
ซึ่งจริงๆ แล้ว ผมคิดว่าทุกคนคงไม่ได้ต้องการให้ภาพเป็นเช่นนี้
แต่สิ่งที่เป็นอยู่ใน 3 ข้อนี้
คือตัวอย่างภาพที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน
การจัดการความรู้
หรือการบริหารความรู้
นั้นในมุมมองของผมคิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับหลายสิ่งหลายอย่างเป็นกระบวนการ
เพราะว่า
1.
การจัดการความรู้นั้นไม่สามารถดำเนินในองค์กรได้แบบแยกส่วน
คือทำการจัดการความรู้เช่นเดียวกับการดำเนินการโครงการโดยทั่วไป
ไม่สามารถหวังผลแบบทันที เพราะเป็นเรื่องแบบการเกษตร
การจัดการความรู้เป็นผลของการปลูกพืช
แต่ปัจจัยและสิ่งแวดล้อมอื่นๆ เปรียบได้เหมือนกับการเรียนรู้ขององค์กร
(วรภัทร์,2548)
ดังนั้นการจะจัดการความรู้ต้องดำเนินการไปควบคู่กับการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้
(Learning Organization)
จึงจะทำให้การจัดการความรู้เป็นจริงได้ในองค์กรของเรา
เพราะการจัดการความรู้ไม่ใช่เป็นเพียงการค้นหาความรู้ จัดเก็บ
และเผยแพร่เท่านั้น ต้องมีการนำมาใช้และพัฒนายกระดับความรู้
เป็นกระบวนการระบบ เป็นพลวัต
2.
การดำเนินการจัดการความรู้นั้น
เป็นกิจกรรมของทุกคนในองค์กร
ดังนั้นการที่จะให้การจัดการความรู้ประสบผลสำเร็จ
ทุกคนต้องมีความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการจัดการความรู้ก่อนเป็นเบื้องต้น
ตั้งแต่ผู้บริหารทุกระดับ
จนถึงผู้ปฏิบัติงานทุกภาคส่วนขององค์กร
ทุกคนต้องมีวิสัยทัศน์ร่วม (Vision)
กำหนดเป้าหมายหรือมองไปที่เป้าหมายเดียวกันก่อน
แล้วจึงผนึกพลังร่วมกันเรียนรู้และฟันฝ่าจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย
การจัดการความรู้จึงจะดำเนินและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กรอย่างแท้จริง
การกำหนดคนรับผิดชอบก็เป็นสิ่งดีเพียงแต่ปรับเปลี่ยนวัฒนาธรรมองค์กรเสียใหม่
ไม่ให้เข้าใจว่ารับผิดชอบเพียงคนเดียวหรือคณะเดียว
เช่นเดียวกับโครงการตามปกติ
เพราะต้องทำหน้าที่เป็นผู้จัดการความรู้
ที่จะต้องคอยอำนวยความสะดวก
สนับสนุนและบริการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการความรู้ขององค์กร
3.
การจัดการความรู้คงไม่กำหนดรูปแบบที่ตายตัวได้
เพราะการจัดการความรู้ไม่ใช่ตัวเป้าหมาย แต่เป็นวิธีการ
อาจมีตัวแปรที่เกี่ยวข้องมากมาย
เราต้องไม่ยึดติดกับวิธีการใดวิธีการหนึ่งเพียงอย่างเดียวสำหรับเป็นกุญแจไปสู่ความสำเร็จในการจัดการความรู้
ต้องเป็นไปตามความเหมาะสมของแต่ละองค์กร
และต้องยอมรับในความหลากหลายหรือความแตกต่างที่จะเกิดขึ้น
4.
ในกระบวนการจัดการความรู้ของเรา อาจช้าหรือเร็ว
อาจขยายวงกว้างหรือแคบลงเฉพาะส่วน
ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบต่าง ๆ เราคงต้องเรียนรู้และพัฒนากันต่อไป
แต่การเริ่มต้น "ควรเริ่มจากเล็กไปหาใหญ่
จากง่ายไปหายาก ทำไป
เรียนรู้และปรับปรุงไปไม่มีที่สิ้นสุด"
การจัดการความรู้
เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นในการพัฒนาองค์กรหรือหน่วยงาน
แต่ต้องดำเนินควบคู่ไปกับการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้
(Learning Organization)
เปรียบได้กับการที่เราปลูกต้นไม้หนึ่งต้น บุคลากรคือรากพืช
ลำต้นคือวิสัยทัศน์
กิ่งก้านใบเป็นพันธกิจของงานทั้งหมด
ลูกและผลก็คือผลงานและความรู้ที่เกิดขึ้น
ผู้บริหารทุกระดับคือผู้ดูแลตั้งแต่การเตรียมดิน
คอยรดน้ำพรวนดิน สถานที่ทำงาน
และบรรยากาศการทำงานหรือเครื่องมือต่างๆ
ที่สนับสนุนการทำงานของเรา ก็คือสภาพแวดล้อมต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของพืชนั่นเอง
การจัดการความรู้ในองค์กร
ควรเริ่มตั้งแต่การสร้างความรู้ความเข้าใจ
ปรับมุมมองโลกทัศน์รอบตัวที่ถูกต้องของบุคลากร
สร้างบรรยากาศการทำงานที่ดีในองค์กร
ทุกคนต้องรู้เป้าหมายที่แท้จริงของงาน มีวิสัยทัศน์ร่วมกัน ปฏิบัติงาน
เรียนรู้และพัฒนาอยู่ตลอดเวลา องค์กรมีการเรียนรู้และเติบโต
มีระบบการทำงานที่ดี
ลูกค้าของเรามีความพึงพอใจต่อผลการปฏิบัติงานของเรา
ทุกคน……ทำงานอย่างมีความสุข
.....ดังนั้นการจัดการความรู้จะมองข้ามทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ไปไม่ได้เลย.....
วีรยุทธ สมป่าสัก
คุรวีรยุทธมอง KM ได้คมชัดมากครับ ...ยินดีด้วย และขอเอาใจช่วยครับ
ขอให้กำลังใจคุณวีรยุทธ และทีมงานจังหวัดกำแพงเพชร ให้ดำเนินการ KM ให้เป็นรูปธรรม เพื่อจะได้เป็น Best Practice ให้จังหวัดอื่นๆ ที่จะดำเนินการ KM ในปี 49 ต่อไป