ปฐมบทของการเดินทาง


KK Women's and Children's Hospital

ชีวิต fellow ที่สิงคโปร์               

มันเป็นจังหวะหนึ่งของชีวิตที่ได้พานพบประสบผ่าน คืนหนึ่งของเดือนตุลาคม 2549 อาจารย์หเทิญได้โทรมาบอกผมว่า มีทุนให้มาเรียนด้าน urogynaeology ที่สิงคโปร์ เป็นทุนจากบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เขาติดต่อผ่านมาทางอาจารย์สุวิทย์จากจุฬาลงกรณ์ ท่านก็เลยนึกถึงหมอจากที่อื่นที่ไม่ใช่ในกรุงเทพบ้าง เลยสอบถามจากอ.หเทิญอีกที ซึ่งโอกาสนั้นก็ได้ตกลงมาที่หน้าตักผมอย่างบังเอิญที่สุด               

ต้นเดือนตุลาคมจึงได้มาพบกับคุณวิภรณ์ จากบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน พร้อมกับอ.สุวิทย์เพื่อทำความรู้จัก และพูดคุยกันเรื่องเรียนต่อว่ามันเป็นอย่างไร ก็ได้ทราบว่าทุนนี้เป็นทุนที่บริษัทได้จ่ายเงินให้กับ KK Women’s and Children’s Hospital เพื่อเป็นค่าคอร์สทั้งหมด และทาง KK Hospital จะจ่ายเงินเดือนให้ผมอีกทีหนึ่ง ก็ราวๆ 1,500 เหรียญสิงคโปร์ ในช่วงเดือนนั้นหมอธาริณีหรือบี เพิ่งได้ไปเริ่มเรียนเป็นคนแรก จากวันนั้นอ.สุวิทย์ก็เริ่มส่งหนังสือแนะนำตัวไปให้ Dr Han ซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วย urogynaecology เพื่อให้เขาพิจารณารับผม ที่ต้องรีบส่งไปให้เขาก็เพราะทราบมาว่า ทุนนี้มีคนต้องการหลายคน ไม่ว่าจะเป็นหมอจากประเทศไทยด้วยกันเอง จากมาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม รวมๆแล้วก็น่าจะมีหลายคน ส่วนตัวผมเองก็รวบรวม CV ที่แสนจะกระจัดกระจายเพื่อส่งให้คุณวิภรณ์ และขอจดหมายแนะนำตัวจากอ.หเทิญและอ.วีระพลด้วย ใช้เวลารอนานประมาณ 1 เดือน หลังปีใหม่ไม่กี่วันก็ทราบผลว่าผมได้รับเลือก ในจำนวนนี้มีหมอไทย 2 คน คือผมและพี่พิชัยจากศิริราช และจากประเทศอินโดนีเชียและมาเลเซียที่ละ 1 คน พร้อมกับการแจ้งผลเขาได้ส่งหนังสือมาถึงผมให้เตรียมเอกสารแล้วส่งไปสิงคโปร์โดยเร็ว เนื่องจากอาจจะต้องเริ่มงานในเดือนเมษายนเลย                เรื่องเอกสารนี้มีให้เล่าได้ยืดยาวมาก                

หลังจากได้รับ mail จากสิงคโปร์ ก็ได้รู้ว่าเอกสารที่ต้องส่งไปนั้นมีหลายอย่างมาก อย่างแรกก็คือ เอกสารที่ต้องส่งไปที่แพทยสภาสิงคโปร์ (Singapore Medical Council, SMC) เพื่อขอใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมชั่วคราว เพราะว่าผมจะได้สามารถดูแลคนไข้และทำหัตถการได้ เอกสารที่ต้องส่งไปที่ Ministry of Manpower (MOM) เพื่อขออนุญาตทำงาน นี่ยังไม่รวมเอกสารที่ต้องส่งไปยัง KK Hospital ซึ่งเขาไม่ได้แจ้งผมในครั้งแรก แล้วให้ผมยื่นไปให้เขาอย่างเร่งด่วนในครั้งหลัง                

เอกสารที่ต้องส่งไปยัง SMC ประกอบด้วย

1.       ใบปริญญาฉบับแปล และฉบับจริง ถ่ายเอกสาร

2.       ใบแสดงผลการเรียนหรือ transcript ฉบับแปล

3.       ใบแสดงวุฒิบัตรฉบับแปล และฉบับจริง ถ่ายเอกสาร

4.       ใบแสดงว่าเราผ่านการเป็น internship ฉบับแปล และฉบับจริง ถ่ายเอกสาร

5.       ใบรับรองจากคณบดีว่าเราจบการเรียนแพทย์จาก ม.อ. จริงๆแล้ว ตอนแรกผมให้รองคณบดีฝ่ายการศึกษาก่อนปริญญาออกให้ แต่เขาไม่ยอม เลยต้องส่งฉบับที่คณบดีรับรองไปให้ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม

6.       ใบรับรองว่า เราผ่านการฝึกอบรมสูตินรีเวชวิทยา นี่ก็เหมือนกัน ตอนแรกให้รองคณบดีฝ่ายการศึกษาหลังปริญญาออกให้ ก็ไม่ยอม ต้องคณบดีอีก ผมเลยให้ท่านรับรองรวดเดียวเลย

7.       ใบรับรองจากหัวหน้าภาควิชา ว่าผมมีความสามารถด้านใด นั่นคือต้องเขียนว่า ใน 2 ปีที่ผ่านมาผมได้ดูแลรักษาคนไข้กี่คน ผมเลยให้อ.วีระพลเขียนเป็นจำนวนคนไข้ที่เราได้ผ่าตัดประเภทต่างๆส่งไปให้เขา

8.       ใบรับรองการทำงานแพทย์ว่าไม่เคยถูกฟ้องจากแพทยสภา (Certificate of Good Standing, CGS)

9.       ใบรับรองจากอาจารย์หัวหน้าภาค อันนี้เป็นคนละฉบับกับข้อ 7 นะครับ

10.    ใบรับรองแพทย์ที่แสดงผลการตรวจเลือด HIV, HBsAg และเอกซเรย์ปอด

เอกสารหมายเลข 1, 3, 4 และ 8 ต้องโทรไปขอที่สำนักงานแพทยสภา จ่ายเงินไปหลายบาทเหมือนกัน แต่ที่นี่บริการดีมาก เพียงแค่บอกว่ารีบ เขาก็จะรีบจัดการและส่งให้ทาง EMS เลย จริงๆแล้วดูเหมือนว่าง่ายในการจัดเตรียมเอกสาร แต่จริงๆแล้วผมดองไว้เป็นสัปดาห์เลย เพราะอ่านไม่รู้เรื่อง ท้ายที่สุดเลยปรึกษากับชัชชัย เพื่อนรุ่นเดียวกันที่น้องสาว (คุณหมอภัสสร) เคยไปฝึกงานที่สิงคโปร์อยู่ 1 ปี และเจอสภาพเช่นเดียวกับผมคือ ไม่รู้จะเตรียมเอกสารอย่างไร สำหรับส่วนที่ขอจากงานทะเบียนกลางก็ไม่ยุ่งนัก มีให้ยุ่งยากใจบ้างเวลาที่จะเอารูปสมัยรับปริญญาเมื่อสิบปีที่แล้ว ดีที่ตอนนี้คอมพิวเตอร์สามารถจัดการให้ได้อย่างง่ายดาย มิฉะนั้นไม่รู้ว่าจะต้องถ่ายรูปใหม่แล้วทำให้หน้าดูอ่อนลงไปสิบปีนั้นจะต้องทำกันยังไง ส่วนใบแปลปริญญานั้น ผมต้องการแบบด่วน จึงต้องวิ่งไปให้คณบดีลงนาม ถึงตอนนี้อ.กิตติจึงเรียกไปนั่งคุยกัน สอบถามถึงเรื่องที่จะเรียน อาจารย์แนะนำว่าให้ผมดูระบบการบริหารงานของ KKH ด้วย ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่นะครับ เพราะเรื่องงานบริหารกับผมนี่รู้สึกว่าเข้ากันได้ยากพอสมควรส่งเอกสารไปแล้วนั่งรอนอนรอไปอีกประมาณ 1 เดือน ก็ได้รับคำตอบว่าเอกสารไม่ครบ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเราไม่ส่งเอกสารที่บอกว่าเราสำเร็จการอบรมวุฒิบัตร ขาดเอกสารรับรองการเรียนก่อนและหลังปริญญา ก็เลยตอบกลับไปว่า Certificate of Diploma ที่ส่งไปนั่นน่ะถูกต้องแล้ว พร้อมกันนี้จึงส่งใบประกาศยืนยันการเป็นสมาชิกราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทยมาให้อีกฉบับ ส่วนเรื่องรับรองการเรียนการฝึกอบรมก็ต้องรบกวนคณบดีดังที่เล่ามาข้างต้น เป็นอันว่าเหนื่อยอีกรอบ เอกสารชุดใหญ่ที่ขาดไปก็คือ เอกสารที่ต้องส่งปให้กับองค์กรแพทย์ของ KKH ก็เลยรีบแจ้งไปก่อนเลยว่า mail ครั้งแรกที่ให้เราส่งเอกสารไปไม่มีแบบฟอร์มของ KKH เลย (สงสัยว่าเขาลืมเองมากกว่า เพราะสอบถามพี่พิชัยก็เจอปัญหาเดียวกัน) ก็เลยจัดการรีบกรอกและส่งไปให้เขาภายในเวลา 2 วัน ร้อนจริงๆ รออีก 2 สัปดาห์ก็  mail มาบอกใหม่ บอกว่าเราไม่ได้ส่งภาพถ่ายเอกสารหนังสือเดินทาง คราวนี้ไม่วุ่นมาก เพราะเข้าเครื่อง scanner แล้วส่งทาง e-mail เลย จากนั้นก็รอไปอีกโดยไม่สามารถรู้ได้เลยว่าขั้นตอนการเดินเรื่องของเขาไปถึงไหนแล้ว

จากนั้นก็เริ่ม mail ติดต่อกับคุณหมอบี ซึ่งทราบว่าเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน เขาเป็นเพื่อนของตู่ (อ.จิตติ) เป็น oncogynaecologyst และหันมาสนใจด้าน urogynaecology และทำงานอยู่กับอ.สุวิทย์ที่จุฬาลงกรณ์ บีเริ่มการสนทนาด้วยการขู่เลยก็ว่าได้ เขาบอกว่า Dr Han นี่เป็นคนที่อารมณ์ไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย ยามดีก็ดีสุดสุด แต่ยามใดร้ายแล้วล่ะก็ เราถูกดุด่าได้ง่ายๆเลยเชียว เรื่องที่น่าเป็นห่วงสำหรับผมเป็นที่สุดก็คือ ที่พัก เพราะทราบมาว่าค่าครองชีพที่สิงคโปร์สูงมากเอาการ ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น เพราะบีเองก็เช่าอยู่ร่วมกับเพื่อนอีก 3 ห้อง ก็เดือนละ 800 เหรียญ ยังไม่รวมส่วนค่าไฟฟ้า ค่าน้ำอีก แต่ก็ยังอยู่ได้ เพราะว่าหลายๆมื้ออาหารก็ทำกินเอง ช่วยให้ประหยัดไปได้มาก ตกลงว่า ผมจะขอเช่าอยู่ต่อจากบี

จากที่เคยบอกว่าอาจจะได้ไปเริ่มทำงานที่ KKH ราวๆเดือนเมษายน ก็เกิดเรื่องดีๆขึ้นกับผมหลายอย่าง อย่างแรกคือ สามารถปล่อยวางงานบริการของภาควิชาลงได้ ไม่ต้องเป็น ward staff ไม่ต้อง round ไม่ผ่าตัด คนไข้ที่ OPD ก็สามารถแจกจ่ายให้พี่จิน (อ.จิตเกษม)และพี่ตาล (อ.สาธนา) ช่วยๆกันดูไป แต่งานสอนนักเรียนแพทย์ที่เพิ่งขึ้นใหม่สามารถได้ทำจนเขาจบกอง จากนั้นก็เริ่มมีงานเลี้ยงส่ง งานแรกไปจัดกันที่บ้านพี่หลิง (อ.ศรันญา) งานนี้มีคนมาร่วมหลายคน อ.สุธรรม อ.วีระพล อ.วิรัช อ.เรืองศักดิ์ พี่จิน พี่เปิ้ล (อ.กรัณฑรัตน์) พี่ตาล และเกี๊ยง (อ.เกรียงศักดิ์) สนุกมาก อาหารที่ถูกปากที่สุดคงเป็นเต้าหู้ทอดที่พี่หลิงลงมือทอดเอง

ข่าวการเดินทางไปเรียนครั้งนี้กระจายไปไกลและเร็ว แต่การไปก็ส่งผลกระทบกับคนหลายคน โดยเฉพาะคนที่ตั้งครรภ์แล้วอยากจะให้ผมดูแลให้ มีบุคคลสำคัญถึง 3 คนท้องพร้อมๆกัน คนแรกคือน้องแอ๊ม (อ.ปดิพร) แอ๊มเป็นคนแรกๆที่ทราบข่าวการจะไปเรียนของผม เพราะท้องเป็นคนแรก คนที่สองคือน้องเดียร์ (อ.อรรัตน์) ที่ก่อนหน้านั้น 1 สัปดาห์ยังบ่นกับผมอยู่เลยว่าอยากท้อง ต่อมาอีก 1 สัปดาห์ก็คือน้องจ๊ำ (จำชื่อจริงไม่ได้เสียแล้ว เพราะเรียกแต่จ๊ำ เนื่องจากเป็นน้องรหัสของภรรยา) งานี้เลยส่งให้อ.เรืองศักดิ์ทั้งหมดเลย คนข้างนอกก็รู้เรื่อง อย่างเช่นอ.จุฑาทิพย์ (อาจารย์ทันตแพทย์ที่ผมทำคลอดให้) นำหนังสือคู่มือท่องเที่ยวสิงคโปร์มาให้อ่าน ได้มาเล่มหนึ่งสุดจะคุ้มค่า เพราะผมได้ใช้ประโยชน์จากหนังสือเล่มนี้อย่างมาก               

 ประมาณกลางเดือนมีนาคม ผมได้ไปประชุมที่ประเทศญี่ปุ่น เป็นที่น่าแปลกใจเหมือนกัน ที่ใครๆในโรงพยาบาลส่วนหนึ่ง ดูเหมือนจะมากเสียด้วยที่เข้าใจว่าผมไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น หลังจากนั้นในช่วงปลายเดือนก็ไปเข้า workshop เรื่อง pelvic floor dysfunction และการรักษา ซึ่งวิทยากรก็คือ Dr Han นั่นเอง งานนี้บีเพิ่งกลับจากสิงคโปร์ก็เลยเป็นวิทยากรไปด้วย ข่าวร้ายที่ได้รับก็คือ บ้านที่บีอยู่มีคนมาเช่าต่อแล้ว เพราะเขาไม่สามารถปล่อยให้ว่างลงไปได้ 1 เดือน เนื่องจากค่าเช่ามันแพง ในงานประชุมครั้งนี้ได้มีโอกาสพบพี่พิชัย ก็เลยจำได้ว่าเป็นรุ่นพี่ที่สอบบอร์ดพร้อมกัน พี่พิชัยจบจากศิริราช วันนั้นเช่นเดียวกันก็ได้ทราบว่า เอกสารที่ส่งไปสิงคโปร์ทั้งหมดเพิ่งได้รับการส่งเข้า SMC ในใจก็คิดหงุดหงิดว่า ทำไมจึงได้ช้านัก เราหรือก็อุตส่าห์รีบแทบได้ (ไม่ได้รวมช่วงเวลาที่ดองไว้ตั้งนานก่อนจะได้ถามชัชชัยหรอกนะ) สรุปว่า เริ่มในเดือนเมษายนไม่ได้แน่นอน                

กลับไปทำงานที่สงขลานครินทร์ก่อน คราวนี้พบใครก็ต้องคอยตอบคำถามว่า ไม่ไปอีกหรือ บ้างก็ถามว่า จะไปเรียนที่ญี่ปุ่นเมื่อไหร่ อะไรทำนองนี้ ก็ตอบๆไป สงสัยเป็นเพราะรัฐบาลทะเลาะกันมั้ง (ช่วงนั้นมีข่าวทักษิณได้รับการต้อนรับจากทางการสิงคโปร์อย่างดีพอดี ทางรัฐบาลไทยเลยโกรธใหญ่) เลยยกเลิกทุน งานนี้ในใจก็หวั่นๆอยู่เหมือนกันว่าเอกสารอาจจะมีปัญหาอีกหรือไม่

ช่วงนี้ผมก็มีโชคเดินเข้ามาหาอีกแล้ว ในวันที่ประชุมกลุ่มที่จัดการเรียนการสอนเรื่องการแพทย์เชิงประจักษ์ (EBM) ได้คุยกับอ.ลักษมี เลยได้ทราบว่า อาจารย์เพิ่งกลับจากการอบรมด้าน palliative care จากสิงคโปร์ อาจารย์เลยมอบ sim card ของ Sing Tel ซึ่งยังมีเงินเหลือราวๆ 7 เหรียญ และบัตรโดยสารรถไฟฟ้า (EZ card) ที่มีเงินเหลือราวๆ 7 เหรียญเช่นเดียวกันให้ผม อยากจะบอกว่าทั้ง 2 สิ่งนี้ ช่วยทำให้ผมใช้ชีวิตง่ายขึ้นมากที่สิงคโปร์ดังที่จะเล่าต่อไป               

สิ่งที่จะต้องกล่าวถึงด้วยก็คือ การลงทุนที่ผมได้ทำไปก่อนเดินทาง ผมตัดสินใจซื้อกล้องถ่ายรูปตัวใหม่ที่เป็นชนิด digital single len reflex เนื่องจากเชื่อว่าคุณภาพของภาพน่าจะดีกว่ากล้องตัวเล็กๆ ผมเลือกซื้อ Canon 400D ในราคา 29900 บาท และตัดสินใจซื้อ notebook computer ตัวใหม่ เนื่องจากเครื่องเก่ามีอายุราว 3 ปีครึ่ง เริ่มมีปัญหาหน้าจอเสียๆดีแล้ว ผมซื้อ Toshiba ในราคา 35000 บาท เรียกว่าแทบหมดตัวเลยทีเดียว               

ล่วงเข้ามาถึงปลายเดือนเมษายนก็ได้รับ mail แจ้งมาว่า SMC อนุมัติเรียบร้อยแล้ว ให้ผมเตรียมพร้อมที่จะเดินทางได้ทันที ก็ยังไม่วายแจ้งให้เราทราบอีกว่า เราต้องนำเอกสารต่างๆที่เป็นตัวจริงติดตัวไปด้วย พร้อมทั้งใบ Certificate of Good Standing ที่ต้องขอใหม่อีกครั้ง (เสียเงินอีก 600 บาท) และเขายังบอกว่า ผมต้องได้รับการตรวจร่างกาย ตรวจเลือด และเอกซเรย์ปอดอีกครั้ง ก็หงุดหงิดในใจเหลือจะประมาณว่า แล้วที่ส่งไปให้ทั้งหมดน่ะ ไม่น่าเชื่อถือเลยสักอย่างเชียวหรือ หลังจากทำใจ 2 ชั่วโมงก็รีบติดต่อแพทยสภาทันที และแจ้งคุณวิภรณ์ว่าจะออกเดินทางในวันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน เลย

เชื่อหรือไม่ว่าในวันเสาร์ที่ 29 เมษายน อ.วีระพล ได้จัดงานเลี้ยงส่งกันอีกรอบ งานนี้จะไปกินโต๊ะจีนกันที่ภัตตาคารต่อฮวด งานนี้อ.สุธรรมจะลงขันด้วย แต่ปรากฏว่าในเย็นวันศุกร์ อ.วีระพลติดงานด่วนเลยขอยกเลิก งานนี้อ.ชัชปวิตรไม่ยอมเลิก เลยประกาศกันในวงในว่า เดี๋ยวจะเลี้ยงเอง งานนี้สนุกเหมือนกัน อาหารอร่อยตามแบบต่อฮวด รอบนี้ขาดอ.สุธรรม แต่มีอ.โสภณ ตู่และมิ้น (อ.ธารางรัตน์)มาเพิ่มเติม               

ปัญหาใหญ่หลังจากนี้เป็นต้นไปคือการหาที่พัก ก่อนหน้านี้ไม่ได้พยายามหาเลย เพราะยังไม่รู้ชะตากรรมของตัวเอง เมื่อทราบเวลาแน่นอนก็เริ่มเข้า internet เลย แต่เหมือนการงมโข่งยังไงชอบกล เพราะไม่รู้จะเริ่มตรงไหน บ้านแต่ละหลังเป็นอย่างไร ราคาแพงไปหรือไม่ ถึงตอนนี้บีก็ติดต่อมาว่า ราคา 2100  เหรียญสู้ไหวไหม ตอบได้คำเดียวว่าไม่ ถึงหารกัน 2 คนก็ยังไม่ไหวเลย การค้นหาทาง internet นี่ก็สนุกดี หากมีเลยเหลือประมาณ 1 เดือน แต่นี่มีแค่ 1 สัปดาห์ ผมเลยเครียดแทบตาย ติดต่อพี่ตี๋ (สุวันชัย) ก็ไม่มีผล เนื่องจากเพื่อนของพี่ตี๋ไม่เคยติดต่อกลับกันอีกเลย ผมใช้คำในการค้นหาหลายอย่างมากใน google ไม่ว่าจะเป็น share flat room accommodation rent และ Singapore ผลที่พบคือ ส่วนมากต้องการผู้หญิงทั้งนั้น กระทั่งผู้ชายที่ post  ที่อยู่ของตัวเองมาก็ต้องการคนร่วมห้องเป็นหญิง ส่วนหนึ่งเป็นเกย์ (บาง web จะระบุว่าเราเป็นคนลักษณะใด) บางที่ก็อยู่ไกลมาก บางที่ต้องการคนเช่านาน 1 ปี บางที่ต้องการให้เช่าเพียง 1 เดือน สรุปว่าจนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถหาที่อยู่ได้ซักที คุณนงลักษณ์จากกองอนามัยการเจริญพันธุ์เป็นคนหนึ่งที่ผมได้ปรึกษา ซึ่งก็ได้รับคำแนะนำให้ search หาโดยใช้คำว่า hostel, B&B (bed and breakfast), youth hotel เป็นต้น มาถึงตรงนี้ทำให้ผมเริ่มเครียด เพราะเมื่อเข้าไปใน hostel ต่างๆนั้น พบว่าเป็นโรงแรมจิ้งหรีดทั้งนั้น (นี่คือข้อเสียของผมจริงๆที่ไม่เคยได้รับความเดือดร้อน เคยแต่นอนโรงแรมสบายๆ ไปเที่ยวกับลูกและครอบครัวแต่ละครั้งจะเลือกโรงแรมที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัว มาเจอชนิดที่มีห้องน้ำรวม ถึงกับกลืนน้ำลายไม่ลงคอเลย) พี่เปิ้ลรู้ปัญหาของผมดี และได้ติดต่อไปหาน้องเขยทันที เขาเคยไปเรียนอยู่ที่สิงคโปร์นาน 1 เดือน ผมก็ได้รับคำตอบว่า คงเป็นการยากที่จะหาห้องราคาถูกทาง internet เพราะว่าบางครั้งเราอาจจะไม่ชอบห้องที่เราจอง แต่การจองนั่นหมายถึงการเสียเงินด้วย พี่แนะนำว่า ผมควรเตรียมข้าวของไปน้อยๆ และหา hostel อยู่ก่อน จากนั้นเมื่อไปถึงแล้วค่อยหากันอีกที ไม่น่าจะยากจนเกินไปสำหรับผม (เขาตั้งความหวังกันว่า ผมเก่ง) พี่หลิงเป็นคนหนึ่งที่รู้ปัญหา จู่ๆก็นึกขึ้นมาได้ว่า มีคนรู้จักทำงานอยู่ที่สิงคโปร์ เลยรีบโทรหาเขาทันที ชื่อคุณสุธรรม ซึ่งก็ดีใจหาย เพราะว่าเขาอุตส่าห์ติดต่อเพื่อนให้อีกที และให้ผมรอจนถึงวันพุธที่ 2 เพราะเพื่อนเขาจะเดินทางมาเมืองไทย วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม อาจารย์สุธรรมก็โทรมาหา เพื่อถามว่ามีที่พักหรือยัง ก็บอกว่ายัง ท่านจึงแนะนำให้ผมโทรไปถามที่บริษัททัวร์ เพราะเขาน่าจะมีเครือข่ายมาก ผมก็ไปที่ภาควิชา อ.สุธรรมยืนอยู่พอดีเลยให้พี่เอี้ยง (คุณอำพา เลขาฯภาควิชา) ติดต่อซันนี่ทัวร์ ผลก็คือไม่มี บังเอิญพี่เอี้ยงคิดได้ว่า คุณหวัด (สามีพี่สุทธิรักษ์ อดีตหัวหน้างานสิทธิประโยชน์) เขาทำงานอยู่ที่มาเลเซีย และเดินทางไปสิงคโปร์บ่อย จึงติดต่อหาคุณหวัดทันที งานนี้ก็ดีเหลือเชื่อ เพราะคุณหวัดรับปากว่าจะหาให้ และจะลองถามเพื่อนที่เป็นคนสิงคโปร์อีกที ว่าเขาสามารถรับเราไปอยู่ร่วมบ้านได้หรือไม่ ผมเองก็เลยได้แต่รอและภาวนาครับ งานนี้หากไสยศาสตร์มีจริงก็คงใช้งานสุดตัว ตราบจนวันพุธ ผมก็ได้ทราบว่าไม่ได้ เพราะเขาเก็บห้องไว้ให้พี่ชายที่ไปๆมาๆอยู่บ่อยๆ ความพยายามของคนรอบข้างดูเหมือนยังไม่สิ้นสุด เพราะว่าพี่เอี้ยงเกิดบังเอิญไปคุยกับคุณอัมพร นักฟิสิกส์รังสีรักษา เรื่องที่พักของผม ก็เลยได้เรื่องมา 2เรื่อง เรื่องแรกคือ ผมได้ทราบว่าอ.เต็มศักดิ์จะเดินทางไปสิงคโปร์ช่วงเดียวกับผมเลย และเรื่องที่ 2 คือ พี่อัมพรมีเพื่อนเป็นนักฟิสิกส์อยู่ที่สิงคโปร์ด้วย และจะ mail ไปถามและขอความช่วยเหลือโดยด่วน ภายใน 2 วันก็ทราบว่าไม่มี แต่โชคของผมยังดีอยู่ เนื่องจากอ.เต็มศักดิ์จะไปอบรมที่สิงคโปร์นานประมาณ 2 สัปดาห์ นั่นหมายความว่าผมมีที่พึ่งแล้ว อาจารย์จองโรงแรม Keong Saik เอาไว้ อยู่บริเวณ Chinatown ราคาค่อนข้างแพง แต่ผมขออนุญาตไปนอนด้วยเลย ตราบเท่าที่ยังหาที่พักไม่ได้ งานนี้โล่งใจไปเยอะ เข้ามาวันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม ผมก็ได้รับการติดต่อจาก Jessica จาก J&J เป็นครั้งแรกทาง mail  ดูเหมือนกับว่า ตอนนั้นเราทั้งคู่อยู่หน้าคอมพิวเตอร์พร้อมๆกัน การตอบ mail เลยเป็นไปอย่างฉบับต่อฉบับ ท้ายที่สุดก็ได้ทราบว่า Jessica จะส่งคนไปรับผมที่สนามบิน และดูเหมือนว่าเธอจะหาที่พักให้ผมได้หรือเธอได้รับการติดต่อมาจาก agency ผมเองก็ไม่ทราบรายระเอียดอีกเลย เอาไว้ลุ้นกันอีกครั้งการเดินทางของผมเริ่มต้นจากหาดใหญ่ไปกรุงเทพก่อนในช่วงเช้า และต่อเครื่องต่อไปสิงคโปร์ ทั้งหมดเดินทางด้วยการบินไทยรักคุณเท่าฟ้า ถึงตรงนี้หลายคนคงจะสงสัยว่าทำไมจึงดูลักลั่นอย่างนี้ ที่จริงแล้วมีสายการบิน Tiger air บินจากหาดใหญ่ไปสิงคโปร์เลย มี 2 เหตุผลที่จะบอกคือ ก่อนหน้านี้ ผมทราบมาว่า Tiger air ที่บินจากหาดใหญ่ไปนั้น จะถึงสิงคโปร์ตอนตีหนึ่ง อย่างนี้ของบายจากกะเหรี่ยงคนนี้ทันที เพราะกลัวเข้าเมืองไม่ถูก อย่างที่สองคือ กระเป๋าสัมภาระของผมได้ตระเตรียมเอาไว้มันหนักมาก ภรรยาสุดที่รักได้ตระเตรียมข้าวของทุกอย่างเพื่อที่ผมจะได้ไม่ต้องไปหาซื้อในระยะเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์เลย ดังนั้นไปกับการบินไทยน่าจะไม่ต้องเสียค่าสัมภาระน้ำหนักเกินเพิ่มเติม แต่มีข้อเสียนิดหนึ่งตรงที่ต้องเปลี่ยนเครื่องจากดินเมืองไปสุวรรณภูมิ และอีกทั้งระยะเวลาที่ต้องรอนั้นนานมาก จัดกระเป๋าเสร็จก็นึกได้ว่ากระเป๋าหนักออกอย่างนี้แล้วมันจะแตกไหม เลยนึกถึงสายรัดกระเป๋า พอดีกับไอ้อันที่มีอยู่มันสั้นกว่ากระเป๋าเลยต้องวิ่งไปยืมจากพี่เปิ้ลชั่วคราวก่อน หมดไปอีก 1 เรื่อง

ผมจะต้องลงที่ดอนเมืองราว 9.30 น. และเดินทางอีกครั้ง 16.20 น. เป็นยังไงครับ จุดเริ่มต้นของการผจญภัยครั้งใหญ่ของชีวิตของผม ผู้ซึ่งแทบจะไม่เคยประสบความลำบากมาก่อนเลย 3 เดือนที่ผ่านมานี้ ทำให้ผมนอนหลับยากขึ้น สิวเยอะขึ้น รวมถึงหงอกเพิ่มมากขึ้นอย่างมาก

หมายเลขบันทึก: 95475เขียนเมื่อ 10 พฤษภาคม 2007 22:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 2 มิถุนายน 2012 22:02 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (12)

อาจารย์ธนพันธ์เล่าได้สนุกมากค่ะ ยินดีต้อนรับสู่โลก GotoKnow และขอให้โชคดีในสิงคโปร์นะคะ รู้สึกว่าพวกเราทั้งหลายที่ต้องไปเรียนต่อ จะมีประสบการณ์วุ่นวายกับเอกสารไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลยนะคะ อาจารย์ได้บันทึกไว้อย่างนี้ ทั้งได้เป็นที่ระลึกสำหรับตัวเองและครอบครัวแล้ว ยังเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆต่อไปด้วย เยี่ยมมากๆค่ะ ตัวเองยังเสียดายที่ไม่มีที่ให้เราเขียนสะดวกๆแบบนี้เมื่อ 6 ปีที่แล้วอยู่เลยค่ะ 

จะรอติดตามอ่านและลุ้นระทึกไปด้วยนะคะ 

ต้องของคุณอาจารย์เต็มศักดิ์ที่เป็นคนแนะนำ web นี้ครับ ผมเคยเข้ามาเมื่อปีกว่าๆที่ผ่านมา (หรืออาจจะไม่ถึงปีก็ไม่รู้ ชักเลือนๆ) บอกตามตรงว่าน่าเบื่อในความสับสนของ web มาก ไปไหนไม่ถูก ไม่รู้จักว่าป้ายคืออะไร จะต้อง post ยังไง นี่เป็นการลองใช้ครับ ผมมักจะโชคดีที่มีปิยมิตรผ่านมาในชีวิตเสมอครับ หลวงพี่เต็มศักดิ์ก็เป็นหนึ่งในผู้มีพระคุณ ขอบคุณที่อ่านครับ

เพิ่งเห็น blog อาจารย์ของแป๊ะ  ยินดีต้อนรับสู่โลก g2k ค่ะ  อาจารย์เขียนได้สนุกมาก  แต่หากจะกรุณา ก็ขอให้เคาะเว้นย่อหน้าบ้าง ให้คนอ่านได้พักสายตา (โดยเฉพาะคนที่อายุไม่น้อยแล้ว) 
ครับอาจารย์ แต่ผมเองก็ยังงงงงกับการจัดการกับการบันทึกเล็กน้อยครับ คือว่าผมเริ่มเขียนใน word ก่อน แล้วค่อย copy มาใส่ แล้วมันก็เป็นแบบนี้แหละครับ กำลังพยายามครับ ขอบพระคุณอาจารย์มาก

โอ้โห ท่าน ขั้นหลวงพี่เลยนะ

 

 

ขออนุญาต เกาะกระแสมาแรง โฆษณาหน่อย

ผมเริ่มเขียนเรื่อง ลอดช่องสิงคโปร์ ของผมแล้ว ที่นี่ครับ แป๊ะ

อาจารย์ค่ะ  หนูจะบอกอะไรให้ว่าในช่วงที่อาจารย์จะเดินทางนอกจากสิว  และหงอกแล้วยังหน้าหมองๆเพราะเครียดอีกค่ะ  แหะๆๆๆๆ....  หนูจะบอกอาจารย์ว่าหนูรู้สึกไว้วางใจค่ะที่อาจารย์ยังได้ผ่าตัดหนู  ที่จริงต้องพูดว่าหนูยังโชคดีต่างหาก ...เพราะอาจารย์ฝากเคสหนูกับอาจารย์ทิพวรรณไปแล้ว...

อีกนิดนึงค่ะ...ท่ายืนเอามือไขว้หลังนะคะ  มันดูแก่มาก  ๆ ไม่เหมาะกับอาจารย์เลยค่ะ...อิอิอิ

สวัสดีครับคุณใยไหม

วันนี้ไม่มีศัพท์วัยรุ่นออกมาเลยนะครับ

สบายดีไหมครับ ทำไมจึงเป็นใยไหมไปได้ล่ะ

เรื่องความแก่เป็นสิ่งที่ผมภูมิใจครับ ความแก่หมายถึงผมได้ผ่านชีวิตมามากกว่าคนที่อายุน้อยกว่า ทำประโยชน์ต่อคนอื่นมาได้นานกว่า

ตอนนี้สิวหายแล้ว แต่หงอกมีมาตั้งแต่ม. 5 แล้วครับ เป็นพันธุ์ครับ

เรื่องหน้าเครียดตอนนี้หายแล้ว แจ่มใสมาก มีความสุขดีครับ

โห...อาจารย์อย่าเรียกหนูว่าคุณเลยค่ะ  มันเขิล  อิอิอิ
หนูก็เด็กบ๋องคนนึง  (ที่อยากแกล้งอาจารย์แป๊ะ  555)
จริงๆอายุหนูก็ไม่เด็กแล้วนา  แต่ชีวิตหนูยังหาแก่นสารไม่ได้เลย  อิอิอิ ...  แต่หนูไม่เครียดกับชีวิตแล้วค่ะ
เพราะเครียดที่ไร  หนูต้องเข้า  รพ.ไม่โรคนั้นก็โรคนี้ประจำ  ล่าสุดอาจารย์แป๊ะก็เพิ่งผ่าตัดให้  ...

เห็นรูปอาจารย์สดใสมากค่ะ  จากรูปที่สิงคโปร์(น่ารักทั้งครอบครัว)หนูไปแอบดูมา  ลูกๆถอดแบบดวงตาอาจารย์มาเลย  อย่างที่หนูคาดการณ์เอาไว้ไม่มีผิด  ที่หนูเมล์หาอาจารย์ตอนไม่สบายนะค่ะ  เพราะอาจารย์เป็นหมอที่รักษาหนูคนเดียวที่หนูจำชื่อและนามสกุลได้ และคิดว่าอาจารย์จะให้คำตอบจากสิ่งที่หนูเป็นในวันนั้นได้ดีที่สุด  หนูเลยเสริทหาจากในกูเกิ้ล  จริงๆแล้วก้อไม่อยากรบกวนหรอกค่ะมันเกรงใจ  แต่มันเข้าตาจนไม่รู้จะถามใครที่พอจะให้คำตอบได้ดีจากสิ่งที่หนูเป็น  จะไปหาหมอหนูก็ไม่สะดวกนัก  เลยเอาฟร่ะ?.... แหะๆๆๆ  ช่วงนี้หลังจากผ่าตัดได้  1  เดือนก็เริ่มออกกำลังกายจนเหนื่อยค่ะ...  ผลปรากฎว่าหัวทิ่มเลยค่ะ  หน้ามืด  เป็นลม  พอนอนพักแล้วตื่นขึ้นมา  โลกหมุนโครงเครง   ขนาดลืมตายังไม่ไหว  เลยงดออกกำลังกายจนเหนื่อยค่ะ...  ตอนนี้หมอดวงลดาให้วิตามินมาทานเพิ่มรู้สึกดีขึ้นแล้วค่ะ...  หนูมีโปรแกรมจะเรียนต่อค่ะ  เรียน  มสธ  นี่แหละถูกดีหากตั้งใจจริงก็จบออกมาอย่างมีคุณภาพ  อีกอย่างก็ส่งตัวเองเรียนด้วย  ค่าเรียนแพงนี่ไม่ไหวค่ะ  กะว่าจะเขียนหนังสือขายค่ะแต่สมองมันไม่ค่อยจะเอาด้วย  อิอิอิ  ....  แต่ยังไงก็จะทำค่ะเพราะตรงนี้มีโอกาสที่จะทำแล้ว  แล้วจะใช้นามปากกาอื่นที่เดิ้นๆค่ะ.... 

ปล."คิดถึง"  อาจารย์  อยากต่อล้อต่อเถียง  555...ไปแล้วค่ะ  ชะแว่บ!!!... 

สวัสดีครับกอบกุล

ไอ้ที่เขียนมาน่ะ เป็นแก่นสารทั้งนั้นเลยครับ I confirm (ทำยังกะให้ใช้น้ำมันผสมเลยนะ)

สวัสดีค่ะคุณหมอแป๊ะ...ธนพันธ์ ชูบุญ

  • เกือบจะได้กลับบ้านหรือยังคะ
  • เป็นกำลังใจให้นะคะ..คุณหมอคนเก่ง..

สวัสดีครับครูอ้อย P ที่เคารพ

นับจากวันนี้ไปก็เหลืออีก 82 วันแล้วครับ

เร็วจริงๆ ผมมีความสุขมากครับ ทำงานทั้งวัน ตกค่ำก็มานั่งหน้าจอทีวีและคอมฯ

มีเพื่อนใหม่มากมาย และได้เจอเพื่อนเก่าใน G2K อย่างไม่ได้คาดฝันก็มี จุดใต้ตำตอก็มีครับ นี่ไง

  

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท