ก่อนอ่านบันทึกนี้ โปรดทำแบบทดสอบต่อไปนี้ก่อน จะอ่านแบบได้อรรถรสมากขึ้นครับ... ;-)
คุณใช้ชีวิตคล้ายไอน์สไตน์แค่ไหน?
สำหรับเหตุผลเบื้องหลังคำเฉลยที่ให้ไว้นั้นมีดังนี้ครับ
ข้อ 1 : เมื่อครั้งเป็นนักเรียนหรือนักศึกษา คุณสนใจเข้าเรียนสม่ำเสมอ ไม่ค่อยโดดเรียน แถมยังอาจเคยได้รับคำชมจากครูผู้สอนว่าเป็นคนขยันอีกด้วย [ตอบ : ไม่ใช่]
หลักฐาน : เมื่อครั้งที่ไอน์สไตน์วัยหนุ่มเรียนในระดับมหาวิทยาลัยที่ ETH (Eidgenossische Technische Hochschule) หรือ The Swiss Federal Polytechnic Institute ในเมืองซูริกประเทศสวิตเซอร์แลนด์นั้น เขา “โดดร่ม” เป็นประจำ แต่อาศัยเลคเช่อร์โน้ตจากเพื่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนการสอบ (เอ๊ะ! ไปโดนใจหลายคนเข้าบ้างหรือเปล่านี่)
เพื่อนซี้ที่คอยช่วยเหลือไอน์สไตน์อยู่เสมอ ก็คือ มาร์เซล กรอสมันน์ (Marcel Grossmann) ซึ่งภายหลังกลับมาเป็นศาสตราจารย์ทางคณิตศาสตร์ที่ ETH แถมยังเป็นคนที่มีส่วนช่วยให้ไอน์สไตน์สามารถพัฒนาทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปได้สำเร็จ นอกจากนี้ พ่อของกรอสมันน์ยังเป็นคนหางานให้ไอน์สไตน์ทำเมื่อครั้งเรียนจบใหม่ๆ อีกด้วย
ซ้าย :มาร์เซล กรอสมันน์ เพื่อนนักคณิตศาสตร์ของไอน์สไตน์
ขวา : แฮร์มันน์ มิงคอฟสกี นักคณิตศาสตร์ อาจารย์ของไอน์สไตน์
ในวิชาคณิตศาสตร์นั้น ไอน์สไตน์เคยได้รับสมญานามจากอาจารย์แฮร์มันน์ มิงคอฟสกี (Hermann Minkowski) ว่า lazy dog หรือ เจ้าสุนัขสันหลังยาว อีกด้วย แต่ต่อมา มิงคอฟสกีนี่เอง ที่เป็นคนแรกซึ่งผนวกอวกาศ (space) และเวลา (time) กลายเป็นหนึ่งเดียวเรียกว่า กาล-อวกาศ (space-time หรือจะสะกดว่า spacetime ก็ได้)
ผมเองตอนเรียนอยู่ ม.5 ก็เคยโดนอาจารย์สอนชีววิทยาเขียนในสมุดแล็บว่า “ขยันน้อยเหลือเกิน” เหมือนกัน พออยู่มหาวิทยาลัยปี 3 ก็มีรุ่นน้องมาแซวว่า อาจารย์ท่านหนึ่งฝากมาบอกว่า พี่น่ะหัวดีนะ แต่ขี้เกียจชะมัด ...ตอนนี้ก็เลยต้องมาเขียนเยอะๆ เพื่อไถ่บาปลบล้างความผิดอยู่นี่ไงครับ แหะ...แหะ ;-P
ข้อ 2 : คุณเคยเป็นติวเตอร์รับสอนพิเศษ เพื่อแลกกับเงินเล็กๆน้อยๆ เพื่อยังชีพ [ตอบ : ใช่]
หลักฐาน : มัวริซ โซโลวีน (Maurice Solovine) เพื่อนซี้คนหนึ่งของไอน์สไตน์ เขียนเล่าไว้ในหนังสือ Albert Einstein Letters to Solovine 1906-1955 ว่า ในช่วงเทศกาลอีสเตอร์ในปี ค.ศ.1902 หลังจากที่เขาซื้อหนังสือพิมพ์และเดินไปตามถนนกรุงเบิร์น ก็ได้พบกับที่แห่งหนึ่งซึ่งมีป้ายเขียนไว้ด้านหน้าว่า
“อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ซึ่งเคยเป็นนักศึกษาที่ Zurich Polytechnical School (อีกชื่อหนึ่งของ ETH) รับสอนฟิสิกส์ โดยคิดค่าสอนชั่วโมงละ 3 ฟรังก์”
น่าสนใจว่า สำหรับโฆษณาที่ไอน์สไตน์ลงในหนังสือพิมพ์มีข้อความว่า “ทดลองเรียนฟรี” อีกด้วย ;-)
โซโลวีนจึงคิดว่า “บางทีคนๆ นี้อาจจะช่วยอธิบายฟิสิกส์ทฤษฎีให้ฉันได้” เมื่อได้พูดคุยกันถูกคอ ทั้งสองคนนี้ก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันชั่วชีวิต
ทำไมไอน์สไตน์ถึงต้องเป็นสอนพิเศษหลังเรียนจบใหม่ๆ เพื่อแลกกับเงินยังชีพ?
มีคนอธิบายไว้ว่า จริงๆ แล้วไอน์สไตน์อยากจะเป็นอาจารย์ประจำสอนในมหาวิทยาลัย ETH ที่ตนเองจบมา แต่เนื่องจากเขาเป็นนักศึกษาที่ “ไม่เอาไหน” ในสายตาของอาจารย์ จึงต้องระเหเร่รอนหากินอย่างฝืดเคือง เช่น รับงานคำนวณให้กับนักดาราศาสตร์บ้าง เป็นครูสำรองบ้าง สอนพิเศษบ้าง จนกระทั่งได้งานประจำเป็นพนักงานตรวจสิทธิบัตรสวิส (Swiss Patent Office) ในกรุงเบิร์น โดยได้รับค่าตอบแทนเพียงปีละ 3,500 ฟรังก์
ข้อ 3 : คุณชอบเขียนจดหมายถึงเพื่อนสนิท เพื่อเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตให้เขาได้รับรู้ [ตอบ : ใช่]
หลักฐาน : นิสัยประจำตัวของไอน์สไตน์ข้อนี้มีหลักฐานมากมาย เช่น เมื่อครั้งที่ไอน์สไตน์เขียนถึงเพื่อนนักฟิสิกส์ชื่อ อาร์โนลด์ ซอมเมอร์เฟลด์ (Arnold Sommerfeld) ในราวปลายเดือนตุลาคม พ.ศ. 2455 (ค.ศ.1912) ไอน์สไตน์ได้ “บ่น” ให้เพื่อนฟังว่า
“ช่วงนี้ผมกำลังหมกมุ่นเกี่ยวกับปัญหาเรื่องความโน้มถ่วง และเชื่อว่าจะสามารถจัดการกับความยุ่งยากซับซ้อนทั้งหมดได้ เพราะมีเพื่อนนักคณิตศาสตร์ที่นี่คอยช่วยอยู่ แต่อย่างหนึ่งที่แน่นอนก็คือ ตลอดชั่วชีวิตของผม ผมไม่เคยต้องใช้ความพยายามมากเท่านี้มาก่อน ... เมื่อเทียบกับปัญหานี้แล้ว ทฤษฎีสัมพัทธภาพอันแรกกลายเป็นการเล่นของเด็กไปเลย”
เพื่อนนักคณิตศาสตร์ที่ไอน์สไตน์พูดถึงก็คือ มาร์เซล กรอสมันน์ ส่วน ‘ปัญหานี้’ ก็คือ การพัฒนาทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป อันเป็นผลงานชิ้นเยี่ยมที่สุดในชีวิตของไอน์สไตน์นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม กรณีที่คลาสสิคที่จับใจที่สุดน่าจะเป็นการเขียนจดหมายติดต่อกันระหว่างไอน์สไตน์กับมอริซ โซโลวีน เพราะนับแต่ทั้งสองอยู่ห่างไกลกัน ไอน์สไตน์กับโซโลวีนได้ติดต่อกันทางจดหมายอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม 1906 (ขณะนั้นไอน์สไตน์อยู่ที่กรุงเบิร์น สวิตเซอร์แลนด์) จนถึงฉบับสุดท้าย คือวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 1955 (ซึ่งไอน์สไตน์น่าจะอยู่ที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน มลรัฐนิวเจอร์ซี สหรัฐอเมริกา)
รวมเวลาที่ติดต่อกันทางจดหมายนานถึง 49 ปี!
(น่าคิดเหมือนกันว่า GotoKnow ของเราจะอยู่ถึง 49 ปีไหม?)
หนังสือ Letter to Solovine 1906-1955
ซึ่งบันทึกจดหมายที่ไอน์สไตน์เขียนถึงมอริซ โซโลวีน ยาวนานถึง 49 ปี
ข้อ 4 : คุณเล่นเครื่องดนตรีอย่างน้อย 1 ชิ้น โดยมักเล่นยามว่าง หรือเล่นให้เพื่อนๆ ฟังตอนสังสรรค์กัน (หมายเหตุ : เล่นเทป หรือเล่น CD นี่ไม่นับนะครับ) [ตอบ : ใช่] <p align="left">หลักฐาน : แม่ของไอน์สไตน์ซึ่งเป็นนักเปียนโนเป็นคนสอนไอน์สไตน์ตอนเขาอายุได้ 6 ขวบ แต่ภาพที่เราเห็นกันบ่อยกว่า คือ ไอน์สไตน์เล่นไวโอลินนั้น ตามประวัติบอกว่า ไอน์สไตน์เริ่มหัดเล่นตอนอายุได้ 5 ขวบ แต่ก็ไม่ได้ติดใจมากนัก </p><p align="left"> อย่างไรก็ตาม ภายหลัง เขากลับเล่นไวโอลินบ่อยๆ ตลอดชีวิต และบางครั้งหากมีการสังสรรค์กับเพื่อนสนิท ไอน์สไตน์ก็จะบรรเลงไวโอลินให้ฟัง
</p><p align="center"> </p><p align="center">ไอน์สไตน์กำลังเล่นไวโอลิน (ปี ค.ศ.1941)
</p><hr><p>
ข้อ 5 : ในการศึกษาเรื่องๆ หนึ่ง คุณจะสืบค้นข้อมูลที่มีอยู่อย่างละเอียดยิบ เช่น มีใครเคยคิดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ยังไงบ้าง และคุณชอบต่อยอดความคิดที่คนอื่นเคยคิดไว้แล้วให้ลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไป [ตอบ : ไม่ใช่]</p><p>หลักฐาน : ในการทำงานวิจัย นักศึกษาและนักวิจัยสมัยนี้ “ถูกสอน” ให้ค้นคว้างานที่คนอื่นทำมาแล้วให้กว้างขวางและละเอียดถี่ถ้วน เพื่อต่อยอดหรือไม่ก็ฉีกแนวความคิดนั้นออกไป นี่คือที่มาของคำว่า research (รีเสิร์ช) ซึ่งมาจากคำว่า re (อีกครั้ง) + search (ค้นคว้าหาข้อมูล) ที่ภาษาไทยแปลว่า วิจัย นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม แม้ไอน์สไตน์เป็นนักอ่านตัวยง เพราะชอบศึกษางานของนักคิดนักเขียนคนสำคัญในยุคของเขา (และก่อนหน้านั้น) อย่างกว้างขวาง </p><p> แต่หากพูดถึงการพัฒนาทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์แล้ว ไอน์สไตน์กลับไม่ค่อยได้ศึกษาว่าคนอื่นทำอะไรมาก่อนอย่างละเอียดมากนัก ตรงกันข้าม เขาจะสามารถจับประเด็นที่เป็นแก่นสาระได้อย่างแม่นยำ และพัฒนาทฤษฎีต่างๆ ขึ้นมาจากหลักการพื้นฐานแทบทั้งสิ้น </p><p> นิสัยของไอน์สไตน์เช่นนี้ ดร.จอห์น กริบบิน (Dr. John Gribbin) นักวิทยาศาสตร์-นักเขียน ได้ล้อเล่นแบบแสบๆ คันๆ ไว้ว่า
“ตลอดอาชีพของเขา ไอน์สไตน์ไม่ได้อ่านประวัติของเรื่องต่างๆ ที่เขาสนใจมากนัก เขาชอบหาวิธีแก้ปัญหาเองจากหลักการเบื้องต้น นี่เป็นวิธีการที่ยอดเยี่ยมมากในการทำงานด้านฟิสิกส์ หากว่าคุณเฉลียวฉลาดเท่ากับไอน์สไตน์”
พูดง่ายๆ คือ ไอน์สไตน์ไม่ชอบทำการ “research” (= ค้นคว้าของเดิมที่มีอยู่) แต่ชอบ “search” (ค้นหาด้วยตนเอง) นั่นเอง
แนวทางการวิจัยที่ว่านี้ น่าเปรียบเทียบกับประโยคเด็ดของเขาประโยคหนึ่งที่ว่า </p><p align="center">“If we knew what it was we were doing, it would not be called research, would it?” </p><p>นั่นคือ “ถ้าเรารู้ตัวว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ไอ้สิ่งที่ทำนั่นก็ไม่สมควรถูกเรียกว่างานวิจัย ใช่มะ?” (เอ้า! สกว. ว่าไงครับเรื่องนี้?)
</p><p><hr> </p> <p> </p><p>ข้อ 6 : คุณยินดีรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นๆ (แม้แต่คนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จัก) และวิจารณ์ความคิดดังกล่าวอย่างสร้างสรรค์อยู่เป็นนิจ [ตอบ : ใช่]
</p><p>หลักฐาน : ประเด็นนี้มีตัวอย่างหลายเรื่อง เล่าสัก 3 เรื่องก็แล้วกัน </p><p> เรื่องแรก ในปี 1924 นักฟิสิกส์ชาวอินเดียชื่อ สัตเยนทรนาถ โบส (Satyendra Nath Bose) ซึ่งเป็นรองศาสตราจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยดักกา (University of Dacca) ได้ส่งบทความไปยังวารสาร Philosophical Magazine </p><p> แต่บทความนี้ถูกปฏิเสธ โบสจึงเขียนจดหมายถึงไอน์สไตน์ ซึ่งขณะนั้นเป็นศาสตราจารย์ทางฟิสิกส์อยู่ที่มหาวิทยาลัยเบอร์ลิน พร้อมแนบต้นฉบับบทความไปให้ไอน์สไตน์พิจารณา โดยกล่าวในจดหมายตอนหนึ่งว่า </p><blockquote><p>“กระผมไม่มีความรู้ภาษาเยอรมันเพียงพอที่จะแปลบทความนี้ ถ้าท่านคิดว่าบทความนี้มีค่าพอลงพิมพ์ได้ กระผมจะขอบพระคุณอย่างยิ่งถ้าท่านจะกรุณาจัดการส่งไปให้ลงพิมพ์ในวารสาร Zeitschrift fur Physik ถึงแม้กระผมจะเป็นคนแปลกหน้าสำหรับท่าน กระผมก็ไม่ลังเลที่จะขอร้องรบกวนท่าน เพราะเราทุกคนต่างก็เป็นนักเรียนของท่านโดยเรียนจากผลงานที่ท่านตีพิมพ์ ...” </p></blockquote><p>เมื่อไอน์สไตน์ได้ศึกษาแนวคิดของโบสแล้ว ก็แปลบทความดังกล่าวด้วยตนเองในนามของโบส และให้ความเห็นวิจารณ์ไปด้วยว่า “ตามความเห็นของผม วิธีการคำนวณของโบสเกี่ยวกับกฎของพลังค์นับเป็นก้าวสำคัญก้าวหนึ่งทีเดียว”</p><p></p><p align="center"> </p><p align="center">สัตเยนทรนาถ โบส</p><p>
ส่วนอีกเรื่องหนึ่งนั้น ชื่อคนที่เกี่ยวข้องน่าจะฟังคุ้นหูคนไทยไม่น้อยนั่นคือ คือ จอห์น แนช (John Nash) พระเอกในเรื่อง A Beautiful Mind นั่นล่ะครับ </p><p>คือเมื่อครั้งที่แนช ได้เข้าศึกษาในระดับสูงกว่าปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน ซึ่งไอน์สไตน์พำนักอยู่ในบั้นปลายชีวิตนั้น แนชก็ขอเข้าพบไอน์สไตน์เพื่อนำเสนอไอเดียว่าด้วย “ความโน้มถ่วง แรงเสียดทาน และการแผ่รังสี” ว่ากันว่าไอน์สไตน์ตั้งใจฟังด้วยความอดทนจนจบ และในที่สุดก็บอกจอห์น แนชว่า “นี่แน่ะพ่อหนุ่ม คุณน่าจะไปศึกษาฟิสิกส์เพิ่มเติมให้มากกว่านี้ซะหน่อยนะ”</p><p> </p><p align="center"> </p><p align="center">หนังสือ The Essential John Nash </p><p align="center">ซึ่งเล่าเกร็ดเล็กๆ ตอนที่แนชพบไอน์สไตน์
เห็นไหมว่า ไอน์สไตน์ยินดีรับฟังแนวคิดเห็นแปลกๆ ของคนอื่น ไม่ว่าความคิดเห็นนั้นจะเข้าท่าหรือไม่ โดยไม่เคยเรียก หรือดูถูกใครว่าเป็น ‘ปัญญาชนเก๊’ หรือ ‘ปราชญ์กำมะลอ’ (pseudo-intellectual) อย่างแน่นอน!
</p><p align="center"> </p><hr><p align="left">
ข้อ 7: คุณมีก๊วนเพื่อนซี้ที่มักจะนัดพบกันเป็นประจำเพื่อพูดคุย ถกเถียง และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในเรื่องที่สนใจร่วมกัน [ตอบ : ใช่]
หลักฐาน : ไอน์สไตน์ชอบถกเถียงกับเพื่อนสนิทที่สนใจในเรื่องหนึ่งๆ ร่วมกัน เช่น หลังเรียนจบใหม่ๆ ก็คุยกับก๊วน Akademie Olympia โดยนำหนังสือของนักคิดนักเขียนคนสำคัญในยุคนั้นมาใช้เป็นประเด็นในการสนทนา เช่น </p><ul>
</ul><p align="center"> </p>
<p align="center">
กลุ่ม Akademie Olympia ซึ่งนัดพบกันเป็นประจำเพื่อสนทนาและถกเถียงประเด็นต่างๆ ที่มีความสนใจร่วมกัน </p>
<p align="center">จากซ้ายไปขวา : คอนราด ฮาบิชต์, มอริซ โซโลวีน และอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์</p><p align="left">
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ ในช่วงที่ทฤษฎีควอนตัมกำลังถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ๆ นั้น ไอน์สไตน์ถกเถียงกับนีลส์ โบร์ (Niels Bohr) โดยไอน์สไตน์ได้ใช้ “การทดลองในความคิด” เพื่อโต้แย้งและหักล้างหลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์ก </p><blockquote><p align="left">เมื่อโบร์ได้ฟังข้อโต้แย้งของไอน์สไตน์ครั้งแรกถึงกับอึ้ง และนอนไม่หลับทั้งคืน เพราะเฝ้าครุ่นคิดว่าจะจับผิดไอน์สไตน์ได้ยังไง </p></blockquote><p align="left">แต่ในที่สุด ความเป็นจริงก็ย่อมชนะ เพราะถึงรุ่งเช้าโบร์ก็โผล่ออกมาพร้อมด้วยสีหน้าแจ่มใส (แม้จะอดนอนมาแทบทั้งคืน) และได้แก้เผ็ดไอน์สไตน์โดยใช้ผลลัพธ์จากทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปมาหักล้างตรรกะ (ผิดๆ) ของไอน์สไตน์เอง! 8-P</p><hr><p align="left">
ข้อ 8: ในยามว่าง คุณมักจะทบทวนในเรื่องที่สนใจอยู่เสมอๆ เช่น หากคุณเป็นนักวาดภาพ ก็จะไม่เคยว่างเว้นการขยับปลายพู่กันกันมือแข็ง หรือหากคุณเป็นเซียนพระเครื่อง ก็จะอ่านหนังสือพระเครื่องหรือหยิบพระเครื่องขึ้นมาส่องทั้งวัน [ตอบ : ใช่]
หลักฐาน : ไอน์สไตน์เคยกล่าวไว้ว่า </p><blockquote><p align="center">“เมื่อผมไม่มีปัญหาพิเศษอะไรอยู่ในสมอง ผมชอบที่จะนำการพิสูจน์ทฤษฎีทางฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ ซึ่งผมรู้จักมานานแล้วกลับมาทำซ้ำอีก ไม่มีจุดมุ่งหมายใดๆ ในการนี้ เพียงแต่เป็นโอกาสให้ได้อยู่ในภวังค์อันรื่มรมย์แห่งการคิด”</p></blockquote><p align="left">ฟังประโยคสั้นๆ เพียงแค่นี้ ก็คงจะรู้สึกได้แล้วว่า ทำไมไอน์สไตน์ถึงได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดนักคิดระดับโลก</p><hr><p align="left">
ข้อ 9: หากให้เลือกระหว่าง งานที่เกี่ยวข้องกับการค้นคว้าหาความจริงของธรรมชาติ กับตำแหน่งทางการเมือง คุณจะเลือกตำแหน่งทางการเมือง เพราะการเมืองเป็นเรื่องสำคัญกว่ามาก [ตอบ : ไม่ใช่]
หลักฐาน : ในปี ค.ศ. 1952 ไอน์สไตน์เคยได้รับเชิญให้เป็นประธานาธิบดีคนที่สองของประเทศอิสราเอล แต่เขาปฏิเสธ ส่วนวรรคทองที่ทำให้เราเข้าใจไอน์สไตน์ในเรื่องนี้ก็คือ </p><p align="center">“Politics is for the moment; an equation is for eternity” </p><p align="left">นั่นคือ </p><p align="center">“การเมืองเรื่องชั่วครู่อยู่ไม่นาน สมการสัจจะทรงคงนิรันดร์” </p><p align="left">(สำนวนแปลสุดแสนไพเราะและเฉียบคมนี้เป็นฝีมือของ อาจารย์ ดร.พัฒนะ ภวนันท์ แห่งภาควิชาฟิสิกส์ได้แปลไว้อย่างงดงาม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 ในวารสารวิทยาศาสตร์ ปีที่ 33 เล่ม 6 หน้า 133)</p><p align="left"> คำว่า ‘สมการ’ ที่ไอน์สไตน์พูดถึงในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเฉพาะตัวสูตรคณิตศาสตร์เท่านั้น แต่น่าจะหมายถึง กฎเกณฑ์และความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของสรรพสิ่งในธรรมชาตินั่นเอง (อย่างเช่น สูตร E = mc^2 ก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน เป็นต้น)
</p><hr>
ข้อ 10 : ลึกๆ แล้ว คุณคิดว่า วิชาปรัชญานั้นช่างน่าหลงใหล และมีเสน่ห์กว่าบรรดาศาสตร์อื่นๆ โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ [ตอบ : ไม่ใช่]
หลักฐาน : ไอน์สไตน์วัยโจ๋เริ่มศึกษาปรัชญาตั้งแต่อายุราว 13 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานของอิมมานูเอล ค้านท์ (Immanuel Kant) นักปรัชญาชาวเยอรมัน ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1724-1804
<p>อย่างไรก็ตาม ไอน์สไตน์พบว่า วิธีการทางวิทยาศาสตร์นั้นหนักแน่นและน่าเชื่อถือกว่า เพราะนอกจากจะมีเหตุมีผลเป็นระบบ ดังเช่นที่ปรัชญาก็มีแล้ว วิทยาศาสตร์ยังให้น้ำหนักกับหลักฐานที่พิสูจน์ได้อย่างชัดเจน ทำให้เขาเบนความสนใจออกจากปรัชญา และมุ่งเน้นการศึกษาฟิสิกส์เพียงอย่างเดียว</p><p align="center">
</p><hr><p>ประวัติของบทความ :</p><ul>
</ul>
เข้ามาอ่าน .... แต่อ่านไม่จบ พอเริ่มข้อสอง ก็ลากมาข้างล่าง....
อาตมาขี้เกียจ ไม่เอาไหนแต่เด็กๆ แล้ว...
ยกเว้น คณิตศาสตร์ หรือวิชาคำนวน มักเป็นติวเตอร์ให้เพื่อน... เวลาใกล้ๆ สอบ เพื่อนค่อนข้างจะห่วงเป็นพิเศษ (ความรู้สึกส่วนตัวว่า...เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนเรื่องนี้เท่านั้น นอกนั้นก็ตัวถ่วงกลุ่มตลอด) ...
เพิ่งนึกขึ้นได้ ที่ขี้เกียจอ่าน ก็คงเพราะคิดว่า ฉันคงเป็นฉัน ฉันไม่อยากจะสำรวจแล้วว่าฉันเป็นอย่างไร ...ทำนองนี้
เจริญพร
อ่านได้ความรู้มากค่ะ อาจารย์ ขอบคุณ
ในข้อที่เขาไม่ได้เป็นคนขยันเท่าไร เห็นมาหลายคนแล้ว ที่ชอบท่องมากๆ ชอบจำบทเรียนมากๆ ไม่เคยขาดเรียนเลย ไม่ได้ฉลาดกว่า คนบางคนเลย พวกท่องเก่งจะหนักในการ imitate มากว่า จะคิดค้นได้เอง
ขอขอบพระคุณอาจารย์บัญชา...
ปีนี้...
ขอขอบพระคุณครับ...
กราบนมัสการหลวงพี่พระมหาชัยวุธ
เอาไว้ถ้ามีประเด็นสงสัยเกี่ยวกับไอน์สไตน์เมื่อไร ก็ลองแวะกลับมาอ่านในส่วนอื่นก็ได้ครับ
จริงๆ แล้ว "แบบทดสอบ" ก่อนหน้านี้ ไม่ได้ต้องการบอกว่าเราคล้าย (หรือไม่คล้าย) ไอน์สไตน์ แต่เป็นวิธีการเล่าประวัติของไอน์สไตน์แบบหนึ่งเท่านั้นเองครับ
จึงกราบเรียนมาด้วยความเคารพ
สวัสดีครับ คุณ sasinanda
ขอบคุณที่ให้เกียรติแวะมาเยี่ยมเยียนบ่อยๆ นะครับ
ผมว่าการที่ไอน์สไตน์คิดค้นอะไรได้มากมายนี่ ดูจากข้อ 8 ก็น่าจะพอเห็นนิสัยแล้ว คือ ยามว่าง ก็ทบทวนอยู่เรื่อยๆ
ยิ่งเสริมด้วยข้อ 7 คือ มีกลุ่มเพื่อนที่ "คอเดียวกัน" คุย-ถกเถียงกันสนุก ก็ยิ่งทำให้เรียนรู้ได้อย่างลุ่มลึก และมีความสุขครับ
ส่วนข้อ 5 นั่น ผมถือว่าน่าจะเป็นการแสดงสัญญาณของอัจฉริยะอย่างแท้จริง คือ มี originality สูงมากนั่นเองครับ (เป็นความคิดเห็นส่วนตัว...เถียงได้)
สวัสดีครับ อาจารย์หมอวัลลภ
นับเป็นเกียรติอย่างสูงสำหรับข้อคิดเห็นของอาจารย์ครับ
บันทึกเรื่องไอน์สไตน์นี่ เป็นผลพวงมากจากการค้นคว้าค่อนข้างมากเมื่อปี 2005 ครับ เพราะปีนั้นเป็นการฉลองครบรอบ 100 ปีแห่งปีมหัศจรรย์ของไอน์สไตน์ (100 Years of Einstein Miraculous Year)
ผมเองในฐานะที่ได้ใช้ประโยชน์จากวิชาฟิสิกส์ในตอนเรียนต่อ การหาเลี้ยงชีพ และในชีวิตประจำวัน....
ก็เลยรู้สึกว่าอยากจะคืนอะไรให้กับวิชาฟิสิกส์บ้าง (ตอนนี้กำลังทำพจนานุกรมศัพท์ฟิสิกส์ยุคใหม่อยู่นะครับ...ใช้งานได้เป็นเรื่องเป็นราวเมื่อไร จะนำมาโพสต์ให้ทราบกัน)
ขอบคุณอาจารย์อีกครั้งสำหรับกำลังใจครับ :-)
สวัสดีค่ะพี่ชิว
อ่านตั้งแต่บททดสอบมาจนจบบทเฉลย เลยรู้ว่าตัวเรานี้หนามิได้เกิดมาเพื่อเป็นไอน์สไตน์ ฮ่าๆๆๆ
ขอบคุณสำหรับบทความและสวัสดีปีใหม่ไทยค่ะ :D
..ณิช..
สวัสดีครับ ณิช
ดีแล้วครับ ขืนเหมือนไอน์สไตน์ คงต้องไปไว้ผมทรงสิงโตหัวฟูๆ ด้วย...ยุ่งแน่ :-P
ขอฝากคำคมของไอน์สไตน์ไว้ให้ ณิช และเพื่อนๆ ทุกท่านที่แวะมาทางนี้ด้วยครับ:
"I know why there are so many people who love chopping wood. In this activity one immediately see the results."
"ผมรู้ว่าทำไมถึงมีคนจำนวนมากที่ชอบผ่าไม้ฟืน เพราะในกิจกรรมเช่นนี้ เขาจะเห็นผลงานได้ในทันที"
พี่ชิว
สวัสดีครับอาจารย์...
สวัสดีครับ อาจารย์วิบุล
พจนานุกรมฉบับมติชน ให้ความหมายของคำว่า กาละเทศะ ไว้ว่า
กาละเทศะ น. เวลาและสถานที่; ความควรไม่ควร
ในความหมายแรก คือ เวลาและสถานที่ เป็นการแปลที่ใกล้กับคำว่า spacetime ครับ เนื่องจาก space ในทางฟิสิกส์หมายถึง ที่ว่าง หรือตำแหน่ง แต่ทว่า...
คำว่า กาละเทศะ ที่เข้าใจกันในภาษาไทย มักจะมีท่วงทำนอง (sense) ไปในความหมายที่สอง คือ "ความควรไม่ควร" เช่น ทำอะไรให้ถูกต้องตามกาละเทศะ หรือ ทำอะไรไม่ถูกตามกาละเทศะ
ผมจึงขอใช้ตามที่นักฟิสิกส์จำนวนหนึ่งใช้ คือ กาลอวกาศ หรือ กาล-อวกาศ ซึ่งแม้จะไม่ตรงเป๊ะตามความหมายในทางฟิสิกส์ แต่ก็ฟังแล้วรู้เลยว่าเป็นศัพท์ฟิสิกส์แน่ๆ เพราะมีคำว่า "อวกาศ" ซึ่งแปลกลับเป็น space ได้เหมือนกัน
นอกจากนี้ยังฟังเสนาะหูด้วยครับ...จึงขอดื้อใช้ว่า กาล-อวกาศ ตามที่เขียนไว้ครับ :-P
ซักวันผมจะไปยืนอยู่ที่จุดนั้น
สวัสดีครับ อาจารย์บัญชา
อาจารย์สบายดีนะครับ..ที่กรุงเทพฯอากาศเป็นอย่างไร ที่เชียงใหม่อากาศเย็น คลื้มทั้งวันเลยครับ ..ไปดู2012กับดาวลูกไก่มาแล้ว ..ดีสมจริงมากเลยครับไปดูจอใหญ่ในโรงภาพยนตร์ ยิ่งใหญ่มาก และน่ากลัวจริงๆ ถ้เราไม่หยุดทำร้ายธรรมชาติ
คุณพรเทพ
ดีครับ...ว่าแต่ตอนนี้ยืนอยู่จุดไหนครับ? (ถามจริงๆ คือ หมายความว่า เรียน หรือทำงานอะไรอยู่เอ่ย)
พี่วสุ สวัสดีครับ
ดีจังครับ ควงพี่ต๋อยไปดู 2012 ด้วยกัน หนังแบบนี้ต้องดูโรงใหญ่ครับ อลังการดี
ผมกับครอบครัวก็ไปดูมาแล้วครับเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เจ้าหนูนิ (คนเล็ก) อยากดูมากๆ
ผมคิดว่าถ้าตัดฉากหายนะออกไป - หนังเรื่องนี้ถามคำถามพื้นฐานที่คาใจคนเรามาตลอด นั่นคือ
"คุณจะทำอย่างไร หากคุณหรือคนที่คุณรัก กำล้งเผชิญกับความตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้"
นอกจากนี้ หนังเรื่อง 2012 ยังเต็มไปด้วย สัญลักษณ์ ที่น่าสนใจทั้งนั้นเลยครับ เรือ Noah ปฏิทิน 0001 น้ำล้นถ้วยจากเซน ฯลฯ
ดีใจที่พี่วสุกับพี่ต๋อยได้ดูหนังเรื่องนี้ครับ ^__^