ทำความดี..ให้เหมือนกับการตีไฟเลี้ยวบนถนน


อัตโนมัติ ....โดยไม่ต้องสั่ง ทำโดยใต้อำนาจจิตใจ ไม่มีใครบงการ เหมือนเวลาขับรถ ควรจะรูว่าตีไฟทุกครั้งที่จะเลี้ยว ความปลอดภัยจะเกิดขึ้นบนท้องถนน

อาคารที่โรงเรียนมีเพียง 2 อาคารแต่เชื่อมโยงติดต่อบนอาคาร  ผู้สัญจรไปมาไม่ต้องลงไปเดินข้างล่าง  เดินบนอาคารก็ติดต่อถึงกันได้

นักเรียนและครูก็เดินปะปนกัน   จึงจำเป็นต้องมีกฏระเบียบในการสัญจรเหมือนท้องถนน  คือเดินชิดขวามือทุกคน  ฝ่ายอาคารสถานที่ได้ใช้สีขีดเป็นเส้นลูกศรกำหนดให้ทุกคนรักษากฏระเบียบข้อนี้  และทุกคนก็รักษาระเบียบได้ดี

วันหนึ่งมีเวลาว่างจากการสอน  ครูอ้อยจะเดินไปหาเพื่อนครูที่อยู่อีกอาคารหนึ่ง  จึงเดินตามเส้นทางที่กำหนดอย่างสบายใจ  และเดินตามหลังนักเรียนคนหนึ่งซึ่งเป็นนักเรียนระดับประถมต้นประมาณ ป.2 เป็นเด็กผู้ชาย

เธอเดินข้างหน้าครูอ้อย  เธอเดินเหยียบเศษกระดาษแผ่นหนึ่งอย่างตั้งใจ  ครูอ้อยหยุดดูเธอสักพักหนึ่ง  เธอก็ทำท่าเตะกระดาษแผ่นนั้น

ครูอ้อย  " นี่นักเรียน  เธออยู่ชั้นอะไรคะ  เมื่อเห็นเศษกระดาษตกอยู่ที่พื้น ควรทำอย่างไรคะ "

นักเรียนคนนั้น เธอหันมาดูครูอ้อย  และทำเป็นไม่สนใจ ครูอ้อยรีบเดินไปประชิดตัวนักเรียนทันที  " ไหนไหน "

ครูอ้อยจับตัวนักเรียน  จูงมือมานั่งที่ระเบียงข้างตึก  และสั่งให้นั่งคุกเข่าที่พื้นซึ่งสะอาดจากการเช็ดถูของภารโรงแล้ว

" นักเรียนคะ  ครูถามว่าเธอชื่ออะไร  " แล้วครูอ้อยก็มองที่ป้ายชื่อที่ปักที่หน้าอกเสิ้อนักเรียน  อ่านชื่อ  แล้วก็ถามอีกครั้ง  " ว่าไง "

นักเรียนคนนั้นเธอเข้าตาจน  จึงตอบชื่อของเธอออกมาอ้อมแอ้ม

ครูอ้อยจึงพร่ำสอนตามวิถีของครูที่จะต้องปลูกฝังให้กับนักเรียนทุกคน  ว่า  ไม่ควรมองข้ามการทำความดีแม้กระทั่งสิ่งเล็กน้อย  เพราะสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้จะก่อเกิดรวมตัวและแตกแยกหน่อแห่งความดีต่อไป

เสมือนกับการขับรถอยู่บนท้องถนน  ครูอ้อยขับรถบบนถนนลาดพร้าวทั้งเช้าและเย็น  แท็กซี่ที่ถูกเรียกให้ไปถนนลาดพร้าวยังส่ายหน้าไม่รับผู้โดยสาร  และรีบบอกว่า  " ไม่รับครับจะเอารถไปส่งครับ"  ที่ตอบเช่นนี้เพราะหลีกหนีความผิดที่ไม่รับผู้โดยสาร  แต่ความเป็นจริง  คือถนนลาดพร้าวเป็นแดนที่รถติดมากและปราบเซียนด้วย

ปราบเซียน   หมายถึง   มีรถมากมายที่มักจะมีผู้ขับขี่ยวดยานไม่รักษากฏวินัยและมารยาทในการขับขี่มากมาย  ตั้งแต่รถยนต์  รถประจำทางและรถมอเตอร์ไซค์ทีขับตามใจ  ไม่รักษากฏระเบียบกันเลย   อุบัติเหตุจึงเกิดขึ้นอย่างมากมายและบ่อยครั้งไม่เว้นแต่ละวัน  ดังนั้นผู้คนที่ขับขี่ยวดยานจึงต้องรักษาเสถียรภาพของตนเอง  โดยการขับอย่างระมัดระวัง  ใครไม่เก่งในการขับยวดยานจริงๆอย่ามาที่ถนนนี้  จะมีแต่เซียนเท่านั้น 

ครูอ้อยไม่ได้อยากเป็นเซียนล่ะค่ะ  พูดตามเขาว่ามาค่ะ

ครูอ้อยสังเกตว่า รถที่ขับไม่ค่อยรักษากฏระเบียบ  คือรถแท็กซี่ที่นึกอยากจะเลี้ยว หรือหยุด หรือเปลี่ยนเลน  ก็ปาดเข้าปาดออกทันที  ทำให้รถที่ตามมาข้างหลังแตะเบรคไม่ทันและชนกันวุ่นวายหลายต่อหลายครั้ง

รวมทั้งรถประจำทางที่ต้องวิ่งอยู่ในบัสเลน  เธอก็ออกมาแจมด้วยและเข้าออกเลนอย่างสนุกเพราะต้องบริการผู้โดยสารในการจอดรับและส่งที่ป้ายรถเมล์  เป็นรถใหญ่จอดกระทันหันรถมาข้างหลังก็จะชนเอาได้  และห่วงกับการเข้าวินที่อู่จึงรีบร้อนเป็นเจ้าถนน

ดังนั้น  กติกาง่ายๆในกรณีนี้ที่กล่าวมา  อุบัติเหตุจะไม่เกิดขึ้นเลย  หากผู้ขับขี่ยวดยาน  ตีไฟ  ก่อนจะเลี้ยวซ้ายหรือขวาทุกครั้ง  แม้กระทั่งการเปลียนเลนก็ควรตีไฟด้วยทุกครั้ง

วันหนึ่ง  ครูอ้อยขับรถตามรถเบนซ์คันหนึ่ง  ขับตามเธอมาเหมือนกับเดินตามนักเรียนคนนั้น  ตามมาเรื่อยๆ  เพราะทุกเลนมีรถวิ่งอยู่เต็ม  จู่จู่เธอก็เปลี่ยนเลน  แต่ไม่ตีไฟท้ายบอกรถตามมาข้างหลัง  ครูอ้อยแตะเบรคสุดแรง  รถหยุดเสียงดังเอี๊ยด....เพราะเบรคทำงานมีประสิทธิภาพมาก

ช่างโชคดีที่ไม่มีรถตามมาข้างหลัง  ครูอ้อยถอนหายใจเฮือก  และขับต่อไป  ข้างหน้าเป็นสี่แยกและไฟแดงพอดี  ครูอ้อยขับตามรถคันนั้นและจอดเทียบข้างพอดี 

ขอดูหน้าหน่อย " ครูอ้อยคิดดังๆ

หน้าตาก็ดี  ขับรถก็ราคาแพง  แต่ไม่มีมารยาทในการขับขี่เลย  เธอทำอย่างนี้รถตามมาอาจจะชนเธอเกิดความเสียหายหรืออันตรายถึงแก่ชีวิตได้ 

ครูอ้อยมองหน้าเธอไปเป็นผู้ชาย  หน้าตาดีขับรถโก้ราคาแพง  แต่คุณภาพชีวิตแย่มาก  รถจอดอยู่นานเพราะเป็นสีแยกใหญ่  ครูอ้อยนึกถึงตอนที่พร่ำสอนนักเรียนที่โรงเรียนทันที

ที่โรงเรียนยังสอนนักเรียนกันได้  คราวนี้บนท้องถนนจะสอนกันอย่างไร  จะลงไปพูดก็เปลืองตัวเปลืองวาจา  ให้คนมองเปล่าๆ  ครูอ้อยก็ได้มองหน้าเขาทะลุกระจกออกไป...อยู่นาน 

" หรือว่า รถของเขาไม่มีไฟเลี้ยว  รถยี่ห้อนี้ไม่มีไฟเลี้ยว  เป็นไปไม่ได้ "  ครูอ้อยคิด

มันเป็นอะไรกันแน่  เหตุผลที่เขาไม่ตีไฟเลี้ยวก่อนการเปลี่ยนเลย  ขี้เกียจกระมัง  ไฟเสียหรือ  อะไรกันแน่

ทำไม  เราไม่ทำความดีให้เหมือนกับการตีไฟเลี้ยวบนท้องถนนกันล่ะ

เป็นคำถาม  ถามครูอ้อยตลอดเวลา  น่าจะดึงออกมาใช้โดยอัตโนมัติของจิตใต้สำนึกของการทำความดี

ไม่ต้องให้บอกหรือสอน  การทำความดี ควรทำ...ให้เหมือนกับการตีไฟเลี้ยวบนท้องถนน

 

คำสำคัญ (Tags): #diary#siriporn
หมายเลขบันทึก: 55898เขียนเมื่อ 27 ตุลาคม 2006 04:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 17:35 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

ครูตั้งชื่อบันทึกได้ดึงดูดมากค่ะ วัยรุ่นเรียกกิ๊บเก๋ 

น้องป. 2 ที่ครูถามแล้ว หันมาแล้วด้วย แต่ทำเป็นไม่สนใจ นี่น่าตกใจนะคะ คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กน้อยแค่นั้นจะมีปฏิกิริยาแบบนั้น ดีแล้วค่ะที่ได้ครูดีๆคอยดูอยู่

ส่วนคนขับรถคันโก้แต่ไม่ตีไฟนั้น นอกจากมองจ้องผ่านกระจกนานๆแล้ว เป็นหนู หนูจะแถมด้วยการยกมือไหว้งามๆประชดไปอีกที : )

 

สวัสดีค่ะคุณมัทนา

  • ดีใจค่ะที่บันทึกถูกใจ  กิ๊บเก๋  ตั้งแต่ชื่อบันทึก
  • น้อง ป.2 คนนั้นมีหลายคนค่ะที่ต้องเรียกชื่อก่อนจึงจะเดินมาหา 
  • ส่วนคนขับรถคนนั้น ทำเป็นไม่สนใจ  พอๆกับเด็ก ป.2 ที่ไม่รู้ตัวว่าทำผิด 
  • ไม่ใช่บาปบริสุทธิ์  มันเป็นตั้งใจบาปเลยค่ะ

ถ้าชอบเรื่องของครู  นักเรียน  เรียนเชิญอ่านที่นี่ค่ะ

ขอบคุณค่ะ

ครูอ้อยคะ

  • แวะมาทักทายก่อน
  • ช่วงนี้งานเยอะ ทั้งราษฎร์ และหลวง
  • เดี๋ยวต้องเตรียมข้อมูล
  • แล้วจะแวะมานะคะ
  • สวัสดีค่ะ คุณ sompornp 
  • ถึงแม้ว่าจะไม่มีเวลาทั้งงานราษฎร์งานหลวง  แต่เพื่อเรื่องของหัวใจเธอก็มาเยี่ยมครูอ้อยที่บ้านอย่างสม่ำเสมอ 
  • นับถือเธอจริงๆ  ผู้มีน้ำใจ
  • ขอบคุณค่ะ

ครูอ้อยครับ...มีอยู่วันนึงผมขับรถออกจากถนนเล็ก(หลังที่ว่าการอำเภอเมือง)ขึ้นถนนใหญ่(มิตรภาพสายหลัก)...

วันนั้นผมจอดรถรอจุดที่เป็นทางโค้งเว้าที่เกาะกลางถนน...ซักครู่ผมก็ขับออกไปเมื่อเห็นว่าไม่มีรถในระยะใกล้ ๆ แล้ว... แต่คุณพระช่วย...ด้วยถนนสายนี้เป็นไฮเวย์...เผลอแพล็บโดนบีบแตรไล่หลังดังสั่น....

พอเขาขับเลยไปแล้ว...ผมก็รีบบึ่งตามไป...เขาคงมองลอดกระจกเห็นผมขับตามอย่างกระชั้นชิด...

เขาชลอรถจนผมขับตามทัน...

เขาเปิดกระจกมองหน้าผมด้วยสายตาปานว่าจะกินเลือดกินเนื้อผม...

ผมเปิดกระจกลง...ยกมือไหว้เขาอย่างสวยงาม(เทียบเท่าคุณสมศักดิ์ไหว้ท่านสนธิ)...

เขาทำหน้าเหมือนอมยาขม...ปิดกระจกแล้วขับจากไป...

สวัสดีค่ะ  นายขำ

สวัสดีค่ะ

  • ทำความดี...ให้เหมือนกับการตีไฟเลี้ยวบนถนน
  • ทำความดี...โดยอัตโนมัติ...โดยไม่ต้องมีใครสั่ง
  • ทำความดี...เมื่อรู้ว่า..นั่นคือความดี..ไม่ต้องให้ใครมาบอกว่า..ไม่ดีหรือดี

จะเป็นนักเขียนที่ดี...อยู่ที่ผู้อ่านเป็นผู้ตัดสิน

นักเขียน...ย่อมรู้ตัวเอง  มีอัตตา  ลอกเลียนกันไม่ได้  นักเขียนพันธ์แท้  ลอกเลียนกันไม่ได้

การทำความดี..ควบคู่กับการเป็นนักเขียน  ที่เขียนแบบของตัวเอง  ลอกเลียนกันไม่ได้  ผู้อ่านเป็นผู้ตัดสิน

ขอย้ำ  ผู้อ่านเป็นผู้ตัดสินค่ะ  อิอิ

ทำดี ทำดี ทำดี

แต่ไม่รู้ว่า..จะอดทนได้แค่ไหน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท