คิดถึงหลายๆคนครับ เลยเอาภาพมาฝากกันอีกครับ
สวัสดีค่ะน้องเม้ง
พี่ว่าต้องใช้ยา"ครอบครัวอบอุ่น" เข้ามาช่วยค่ะ
แต่ถ้าจะมีครอบครัวอบอุ่นได้ ต้องอยู่ดีกินดี พอมีพอใช้ เศรษฐกิจพอเพียง คนมีงานทำเลี้ยงชีพสร้างครอบครัวอบอุ่นได้..แต่ตอนนี้คนไม่มีงานทำในพื้นที่ หรือไม่สามารถสร้างงานในพื้นที่ได้ ทำให้คนต้องออกจากพื้นที่เกิด ไปทำมาหากินที่อื่นๆ ครอบครัวล่มสลาย ชุมชนขาดภูมิคุ้มกันค่ะ
การสร้างครอบครัวอบอุ่น ไม่ใช่เรื่องง่าย (อีกแล้ว) ชุมชนอาจต้องมีผู้นำที่เป็นตัวอย่างที่เข็มแข็ง มีศูนย์รวมใจของชาวบ้าน เช่น วัด หรือมัสยิดหรือโบสถ์คริส ฯลฯ มีผู้ใหญ่บ้าน มีกำนัน มีข้าราชการที่พึ่งพาได้ มีโรงเรียนชุมชน แล้วชุมชนจึงจะมีกำลังพอมาศึกษาจุดเด่นของพื้นที่ในชุมชน ทรัพยากรในชุมชน ร่วมกันสร้างงานในชุมชน อนุรักษ์ทรัพยากรในชุมชน ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นที่ของชุมชม และสร้างครอบครัวอบอุ่นได้...
อาจมีมากกว่านี้ ตอนนี้คิดออกแค่นี้ค่ะ ยังไงก็ช่วยเสริมด้วยแล้วก้นนะคะ..
สวัสดีครับพี่กมลวัลย์
ที่น้องเม้งถามว่าในองค์กรบริหาร ในองค์กรการศึกษามีภูมิคุ้มกันเหล่านี้ บกพร่องด้วยไหม พี่ว่ามันบกพร่องอย่างแรงเลยแหละค่ะ..
คนที่ทำงานในองค์กรบริหาร องค์กรการศึกษา พี่ว่าไม่ได้ทำงานด้วยจุดมุ่งหมายเดียวกัน หรือทำงานเพื่อจุดมุ่งหมายขององค์กร พี่ว่าเขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำ ว่าองค์กรของเขามีเป้าหมายอะไร (อันนี้พี่ไม่รวมองค์กรที่ทำการค้าหรือธุรกิจที่แสวงหาแต่กำไรนะคะ อันนั้นอาจจะชัดที่เป้าหมายคือการแสวงหากำไรเพื่อความอยู่รอดขององค์กร)
ในที่นี้พี่จะพูดถึงเฉพาะองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรเท่านั้น แต่เป็นองค์กรที่บริการประชาชน พี่ว่าตอนนี้คนทำงานเองก็ค่อยรู้เป้าหมายองค์กร บางคนก็ไม่ใส่ใจด้วยซ้ำ มันทำให้ทำงานกันอย่างไม่เป็นระบบ เพราะบางคนทำงานเพื่อตัวเอง แต่คนบางคนทำงานองค์กรเพื่อสังคม กลุ่มหลังนี้ค่อนข้างน้อย และไม่ค่อยแสดงตัว และคนกลุ่มหลังมักเป็นคนไม่แสวงหาอำนาจ ยศตำแหน่ง อยากทำแต่งานที่ตัวเองรัก ดังนั้นก็อาจจะมีแต่คนกลุ่มแรกที่ขึ้นบริหารองค์กร (เป็นส่วนใหญ่ อาจจะไม่ทั้งหมด)
เมื่อตัวเขาไม่เห็นไม่เข้าใจเป้าหมายการบริการขององค์กร เขาก็ยังบริหารองค์กรเพื่อสนองตอบความต้องการของตัวเองเป็นหลักอยู่ ไม่ได้บริหารงานเพื่อบริการประชาชน ตามที่ควรจะเป็น...ดังนั้นองค์กรจึงเป็นโรค"ผู้บริหารบกพร่อง" เสียเยอะค่ะ แล้วก็ถ้าน้องเม้งไปถามผู้บริหารเหล่านี้นะคะ เขาจะไม่ค่อยรู้ตัวหรอกค่ะ เขาจะยืนยันมากๆ ว่า เขาทำดี คิดดี เขาค่อนข้างมองความคิดคนส่วนน้อยไม่ค่อยออกค่ะ..อันนี้จะเป็นลักษณะของการยึดติดของคนที่ผิดไม่เป็น และยอมรับไม่เป็นค่ะ
เพราะฉะนั้นถ้าองค์กรใดมีคนทำงานที่มีโรค"ยึดมั่นถือมั่น"ในส่วนตนมาก องค์กรนั้นก็จะมีโรค"ผู้บริหารบกพร่องทางความคิด"มาก แล้วก็ทำความเสียหายได้มากค่ะ
แต่ก็นั่นแหละ พี่ก็ต้องมาทบทวนความคิด และสอบตัวเองอยู่เรื่อยๆ ทบทวนสิ่งที่ตัวเองทำเป็นประจำ ว่าเราเป็นหนึ่งในนั้นหรือไม่ อิอิ ของอย่างนี้ต้องไม่ประมาทค่ะ
สวัสดีครับพี่กมลวัลย์
อยากเขียน |
สวัสดีครับ
สวัสดีครับ คุณเม้ง (ยังไม่ลงตัวว่าจะเรียกกันว่าอย่างไรดี)
หัวข้อน่าสนใจอรกแล้ว เพราะตรงกับที่เคยเรียน เคยทำ (ผมจบศัลย์ แล้วไปเรียนต่อภูมิคุ้มกันวิทยา... แล้วก็ stem cell คนละเรื่องเดียวกัน) สิ่งหนึ่งที่หลงเหลือในความประทับใจก็คือ ระบบภูมิคุ้มกันช่างเป็นระบบที่มหัศจรรย์อะไรเช่นนี้
เซลล์ใน mode ปกติ
กลับไปที่เคยคุยกันนะครับ เซลล์ (หรือร่างกายเราก็เหมือนกัน) ใน mode ปกติก็จะ เติบโต ซ่อมแซม สื่อสาร และเรียนรู้ สองอย่างแรกเพื่อ อยู่รอด สองอย่างหลัง เพื่อ อยู่ร่วม และอยู่อย่างมีความหมาย ทั้งสามประการก็ทำให้เกิดเซลล์ หรือสิ่งมีชีวิตที่ อยู่รอด อยู่ร่วม และอยู่อย่างมีความหมาย
การสื่อสารระดับเซลล์นั้น แปลผลค่อนข้างเป็น linear คือ ตามความเข้มข้นของ signals หลากหลายประเภท และมี interactions กันมโหฬาร แต่ในระดับชีวิตนั้น กลไกการ "แปล" ผลจะซับซ้อนกว่านั้น มีการใช้ประสบการณ์เก่ามาประกอบ ความเชื่อมาประกอบ ความศรัทธามาประกอบ ฯลฯ นี่คือความหมายของ "องค์รวมของชีวิต"
ยกตัวอย่าง "พอเพียง" ที่เป็น catch-phrase ในปัจจุบันนั้น สำหรับแต่ละคน แต่ละครอบครัว ไม่เหมือนกันแน่ๆ และไม่ต้องพยายามให้เหมือนกันด้วย เหมือนครั้งหนึ่งที่ socialism พยายามจะจัดระบบที่ ทุกคนเหมือนกัน แล้วปรากฏว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ในขณะนี้โลก democracy ก็กำลังตกหลุมพรางเดิมคือ มาตรฐาน ซึ่งพยาธิสรีระ เหมือนกับที่ socialism ทำมาก่อน คือคิดว่าชีวิตนี้ มี มาตร ที่เป็น "ฐาน"
การทำงานของภูมิคุ้มกัน
ภูมิคุ้มกันร่างกายมีสองระบบ คือ innate immunity และ acquired immunity อย่างแรกเป็นระบบดั้งเดิมพื้นฐาน มีความจำเพาะน้อย แต่เริ่มลงมือทำงานก่อน เช่น อะไรเข้ามาร่างกายไม่เคยเห็นมาก่อน เซลล์ระบบ innate immunity ก็จะไปควบคุม หรือทำลาย อย่างที่สองเป็นระบบที่ก้าวหน้ามากขึ้น มีความจำเพะ คือ จำได้หมายรู้ ว่าที่มาคุกคามนั้น เป็นใคร มาจากไหน มีจุดอ่อนตรงไหน เมือร่างกายเจออีกครั้งหนึ่ง เราก็จะส่งทหารจำเพาะไปทำลาย
การศึกษาที่จะเพาะภูมิคุ้มกันนั้น ต้องส่งเสริมทั้งสองอย่าง
ส่งเสริมอย่างแรกอย่างไร?
Innate Immunity ทางการศึกษา จะมาจากวัฒนธรรม ความเชื่อ ความศรัทธา หรือการ set คุรค่า ความหมายของชีวิต
ส่งเสริมอย่างหลังอย่างไร?
คือระบบการคิด การไตร่ตรอง การเข้าใจ หรือ สัมมาสติ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสมาธิ นั่นเอง
ชักจะพูดเยอะเกินไปแล้ว กินพื้นที่คนอื่น ขออภัยด้วยครับ เผอิญเรื่องนี้มันวนเวียนอยู่ในศีรษะมานาน
สวัสดีอีกรอบค่ะน้องเม้ง
พี่ว่าคงหาวัคซีนแก้โรคผู้บริหารบกพร่องได้ยากค่ะ มันเหมือนคนหลงผิด เราแก้ตัวเขาไม่ได้ เพราะมีเพียงเขาคนเดียวที่แก้ตัวเขาได้
ระบบที่ดี+คนในองค์กรที่มุ่งสู่เป้าหมายรวมร่วมกัน อาจป้องกันไม่ให้องค์กรเกิดโรคผู้บริหารบกพร่องได้ แต่ถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว จากประสบการณ์ที่ผ่านมา จะพบว่าแก้ได้ยาก เพราะพวกนี้มักพยายามทิ้งทายาทไว้ต่อเนื่อง เผื่อตัวเองเมื่อลงจากตำแหน่งแล้วเขาจะเชิญมาเป็นที่ปรึกษาหรือบอร์ดอีก แถมตอนอยู่ในตำแหน่งก็อาจแก้กฎระเบียบ เพื่อให้ตัวเองทำงานที่หวังผลไว้ได้คล่องที่สุด (แต่ไม่ได้หมายความว่าทำให้องค์กรหรือคล่องที่สุดสำหรับองค์กร) บางทีก็เป็นการแก้กฎระเบียบให้ตัวเองทำอะไรก็ได้ถูกกฎหมาย ซึ่งตัวอย่างนี้เราก็เห็นแล้วในระดับประเทศในช่วงที่ผ่านมาก่อนการเปลี่ยนรัฐบาล..
บ้านเรามีลักษณะการบริหารงานแบบเอื้อประโยชน์กับพวกพ้องค่อนข้างมาก ระบบฝากฝังมีมาก และใช้พระคุณมากกว่าพระเดชค่ะ
อันนี้ต้องบอกว่าคิดคำตอบไม่ออกจริงๆ ว่าจะแก้คนเหล่านี้อย่างไร (นอกจากเขาจะแก้ตัวเอง ซึ่งเป็นไปได้ยาก) ได้แต่เรื่องป้องกันซึ่งต้องมีคนคิดดีเพื่อส่วนรวมเป็นจำนวนมากพอควร+ระบบค่ะ
สวัสดีครับคุณหมอ
สวัสดีครับพี่เหลียง
สวัสดีครับพี่กมลวัลย์
สวัสดีค่ะ น้องเม้ง
สวัสดีครับพี่แป๋ว
การศึกษาของปัจเจก เริ่มมาจากตนเอง ครอบครัว โรงเรียน ชุมชน
การศึกษาของชุมชน เริ่มมาจากข้อมูล ข่าวสาร ที่ทำงาน กฏหมาย วัฒนธรรม ประเพณี
ทั้งสองส่วน (ปัจเจก ชุมชน) ต้องมีฐานมาจากสุขภาพ ความมั่นคงของชีวิต
ครั้งหนึ่ง สมัยก่อน internet เคยมีการระดมคนมาร่วมแสดงพลังความคิดเห็นเพียงแค่ เพื่อนชวนเพื่อน เป็นจำนวนหลายแสนคนในเยอรมันนี โดยเริ่มจาก วงสนทนาระหว่างเพื่อน
เป็นที่มาของกิจกรรม World Cafe'
ฟังดูไม่ทันสมัย ไม่จ๊าบ ไม่หรูหราลึกซึ้งอะไร แต่โลกใบนี้หมุน และปั่น รุ่งเรือง ล่มสลาย มาจากการสนทนา พูดคุย กันมาตั้งแต่เริ่มประวัติศาสตร์
ถ้าถามว่า vaccine ที่เราต้องการคืออะไร ผมคิดว่าคำตอบอาจจะอยู่ที่ ทำอย่างไร มากกว่า คืออะไร
ถ้าพูดถึงการสนทนา ที่จุดหมายปลายทางก็คือการเกิดสมุหทิฏฐิ หรือ ความคิดร่วม ของกลุ่ม ก็ต้อง refer ถึงการทำ dialogue ของ David Bohm ที่แม้แต่องคการสหประชาชาติ Peter Senge หรือ Margaret Wheatley ยอมรับว่า เป็น วิธีการสื่อสารที่สร้างโลกใบใหม่ ได้ ขณะนี้ในเมืองไทย เริ่มมีการนำเอา สุนทรียสนทนา มาใช้ มาอบรมกันมากขึ้นๆ
หัวใจสำคัญของการสื่อสารคือ การฟัง
ถ้าเรื่องราวสำคัญ เราก็อยากจะสื่อสารให้ดี คนที่สื่อสารได้ดี ก็คือคนที่รับฟังมาก (พหูสูตร หนึ่งในมงคลสามสิบแปดประการ)
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับนัก activist เหมือนๆกันหมด ก็คือ ไม่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงแบบปฏิรูป แต่ต้องการปฏิวัติ ถ้าเราพิจารณาว่า course ของสังคมที่แย่ลงนั้น ใช้เวลาประมาณ 50 ปี ของการที่ข้อมูลข่าวสารให้แทรกซึมเข้าสู่วัฒนธรรมเก่า (ซึ่งดี) ร่วมกับ global changes นั่นคืออายุการทำงาน และลักษณะการทำงานของ social development model เป็นการเปลี่ยนแปลงที่คนที่อยู่ภายใน ต้องทำโดยบางทีก็ไม่รู้ตัว และที่แน่ๆก็คือ ไม่ได้คอยมองหาความสำเร็จทุกๆ 1 เดือน (นึกถึงครั้งหนึ่งที่มีคนเปลี่ยนนโยบายการเรียนใหม่ แล้วพูดออกมาว่าจะประเมินปีหน้า!!! สำหรับหลักสูตร 6 ปี !!!!!!! ก็ทำนองเดียวกัน) ยังไม่ทันที่วิธีของสังคมจะเริ่ม simmer เลย ก็หงุดหงิด frustrated และมองหาวิธีใหม่ ที่ทันใจกว่านั้น
บางทีผมว่าพวกเราหลายคน ต่างก็มองเห็นปัญหา และสามารถเห็นทางแก้ด้วย แต่รู้สึก powerless ที่จะประเมิน หรือจะมองเห็นการเปลี่ยนแปลง แม้ในช่วงชีวิตของเราเอง แต่น่นไม่สำคัญเลย ถ้าสิ่งที่เราต้องการคือ สังคมใหม่ โลกใบใหม่ เราก็เริ่มทำไปอย่างที่เราคิดว่าควร คิดว่าถูก พูดคุยกกันมากขึ้น มีโอกาสก็ advocate เรื่องที่เราอยากให้เกิด
วันกอ่นมีการพูดคุยในที่ประชุมผู้ปกครอง ปรากฏว่ามีผู้ปกครองหลายคนเห็นพฤติกรรมที่ไม่ค่อยดีนักของครู ในแง่ที่ดุมากเกินไป แต่ดูเหมือน ไม่มีใครอยากจะทำอะไร รุ่นน้องผมที่เป็นแม่เด็ก ก็จะไปบอกผู้อำนวยการโรงเรียน ใครๆก็บอกว่าอย่าเลย เดี๋ยวลูกจะถูกครูเขม่น
บางครั้ง การไม่เริ่มทำอะไร แม้เพียงเล็กน้อย ก็เป็นการ ทำอะไรที่เสียงดังก้องหู อยู่ก็เป็นได้
ถ้ารุ่นน้องคนนี้ตัดสินใจว่า จะทำเหมือนพ่อแม่คนอื่นๆ สิ่งที่เด็กทุกคนในที่นั้นได้เรียนก็คือ การปล่อยปละละเลย การ let it go อย่างใน title ของภาพยนต์เรือง The Rising Sun หรืออะไรเนี่ย ที่ Bruce Willis เล่นเป็นทหารเข้าไป rescue คนผิวดำออกจากมือพวกกบฎ ว่า "Sometimes the only thing needed for the evil to prevail is good people doing nothing"
สิ่งที่เราทำคือ กรรม และกรรมต้องมี วิบาก ตามมา และบางครั้งลมปีกผีเสื้อในความเป็น chaos ก็มีส่วนในการเกิดเฮอริเคนในภายหลัง
ผมคิดว่าวัฒนธรรม สังคม นั้น จะเกิดไปในทิศทางไหน วิธีการที่พวกเราฟัง วิธีการที่เราสนทนา ไปเรื่อยๆ ทุกๆวัน มีส่วนอย่างยิ่งต่อผลลัพธ์ มากกว่าการออกกฏหมาย การจัดสรร
สิ่งนี้คือ Self-management organization หรือ องคกรจัดการตนเอง
สวัสดีค่ะ
แต่ละท่านที่กรุณาแสดงความเห็นมาทั้งหมด อ่านแล้ว ประทับใจค่ะ ตรงประเด็นเลย
ขอเสริมเฉพาะที่เกี่ยวกับธรรมะ คือความเป็นจริงในโลกนี้ค่ะ
พระพุทธเจ้าท่านทรงชี้ให้เห็นว่า ปัญหาทุกอย่าง เริ่มมาจากกิเลสในตัวมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งติดตัวมนุษย์ทุกคนมาตั้งแต่เกิด ในความเห็นของดิฉัน สิ่งที่พอจะขัดเกลาได้บ้างคือ
สวัสดีครับพี่แป๋ว
กราบสวัสดีครับคุณหมอ
การศึกษาของปัจเจก เริ่มมาจากตนเอง ครอบครัว โรงเรียน ชุมชน
การศึกษาของชุมชน เริ่มมาจากข้อมูล ข่าวสาร ที่ทำงาน กฏหมาย วัฒนธรรม ประเพณี
ทั้งสองส่วน (ปัจเจก ชุมชน) ต้องมีฐานมาจากสุขภาพ ความมั่นคงของชีวิต
ถ้าถามว่า vaccine ที่เราต้องการคืออะไร ผมคิดว่าคำตอบอาจจะอยู่ที่ ทำอย่างไร มากกว่า คืออะไร
บางครั้ง การไม่เริ่มทำอะไร แม้เพียงเล็กน้อย ก็เป็นการ ทำอะไรที่เสียงดังก้องหู อยู่ก็เป็นได้
สิ่งที่เราทำคือ กรรม และกรรมต้องมี วิบาก ตามมา และบางครั้งลมปีกผีเสื้อในความเป็น chaos ก็มีส่วนในการเกิดเฮอริเคนในภายหลัง
ผมคิดว่าวัฒนธรรม สังคม นั้น จะเกิดไปในทิศทางไหน วิธีการที่พวกเราฟัง วิธีการที่เราสนทนา ไปเรื่อยๆ ทุกๆวัน มีส่วนอย่างยิ่งต่อผลลัพธ์ มากกว่าการออกกฏหมาย การจัดสรร
สิ่งนี้คือ Self-management organization หรือ องคกรจัดการตนเอง
การได้มีโอกาสพบปะ พูดคุยในเรื่องคล้ายๆ กัน หรือ ต่างๆ กัน ล้วนส่งเสริมให้ภาพที่ส่งผ่านนั้นชัดมากขึ้น
เรื่องของสังคม และปัญหา และการพัฒนา คงเดินไปด้วยกัน เพียงแต่ว่าสมดุลจะอยู่ที่ใด โลกนี้เป็นสีเทาเสมอ.....อยู่ที่ว่าจะปรับเทานั้นให้ไปทางค่าใด 0 หรือ 255 ครับ
สิ่งที่เห็นเป็นสีต่างๆ ก็เป็นสีเทาเช่นกัน คือสิ่งเดียวกันครับ
ภูมิคุ้มกันนั้นจะควรต้านสิ่งใดให้เกิดภาวะที่ไม่อยู่ในสภาพบกพร่อง หรือในช่วงที่ยังพอรับได้....โลกกำลังปรับตัวตลอดเวลา ชุมชนก็ปรับตัวตลอดเวลา ต่างที่ต่างปรับ ปรับไปทางไหน ท้ายสุดก็ปรับให้สมดุล ปรับมากก็แตกต่างมาก ห่างมาก ฉีดยามากก็อาจจะดื้อยามากขึ้น ใช้ปริมาณมากๆ ขึ้น แรงขึ้น จนท้ายที่สุดแล้ว น้ำเลือดคือน้ำยา....
ขอบคุณคุณหมอมากๆ นะครับ บ่นๆ ไปอาจจะไม่ตรงประเด็นเท่าไหร่นะครับ
เข้ามาบ่นๆ เสริมๆ กันต่อนะครับ ผมยังต้องศึกษาอีกเยอะมากๆ เลยครับ
สวัสดีค่ะคุณเม้ง
คงต้องเริ่มที่สามเหลี่ยมที่คุณเม้งเขียนด้านทั้งสามประกอบไปด้วย กาย สมอง และใจ
กาย ภูมิคุ้มกันคือ ทำเป็น..หมายถึง สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง สามารถใช้ทักษะความสามารถของตนเองให้เป็นประโยชน์ในการปฏิบัติภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สมอง ภูมิคุ้มกันคือ คิดเป็น..หมายถึง การศึกษา ( ไม่จำเป็นต้องเป็นการศึกษาในระบบเท่านั้นนะคะ ได้ทุกอย่างแม้แต่การศึกษาด้วยตัวเอง )ที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ มีความใฝ่รู้ มีความรู้เท่าทันข่าวสาร
ใจ ภูมิคุ้มกันคือ รักเป็น..หมายถึงรักตัวเอง รักในรากเหง้าของตัวเอง รักสังคมของตัวเอง
การทำให้เกิดภูมิคุ้มกัน..ทางการแพทย์ก็ต้องเป็นวัคซีน..วัคซีนที่จะฉีดก็มีสามตัวตามองค์ประกอบที่กำหนด..ธรรมชาติของวัคซีนเกิดจากการสกัดจากเลือดที่เกิดภูมิต้านทานเมื่อได้รับเชื้อเข้าไป...เราก็สามารถสกัดวัคซีนของแต่ละชุมชนได้..จากการพิจารณาต้นทุนที่เหลืออยู่ในชุมชนจากการที่ถูกเชื้อโรคเข้ามาเกาะกิน..แล้วนำต้นทุนที่เหลืออยู่ทั้งหมดมาสกัดเป็นบทเรียนของชุมชนที่ถือว่าเป็นวัคซีนในแต่ละด้านของชุมชนนั้นๆ และฉีดให้กับทุกๆคนในชุมชนเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันไม่ให้เชื้อโรคเข้ามาทำลายได้
แต่ธรรมชาติของวัคซีนจะต้องกระตุ้นซ้ำอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะถือว่าพ้นช่วงอันตราย เพราะฉะนั้นในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาและเชื้อโรคที่กำหนดก็เป็นไวรัสที่สามารถกลายพันธุ์ได้ตลอด จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ชุมชนจะต้องสกัดวัคซีนทุกปีเพื่อฉีดกระตุ้นซ้ำอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้เป็นภูมิคุ้มกันที่ดีตลอดไป
เข้ามาใช้สิทธิที่ถูกพาดพิง ป่วนเล่นๆคิดได้กลวงๆเท่านี้แหละเจ้าค่ะ..^ ^
สวัสดีครับพี่ศศินันท์
สวัสดีครับคุณเบิร์ด
สัวสดีครับคุณสมพร
ขยายความเพิ่มเติมนะครับ
เกลียวพลวัตเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะ "มหภาค" ทีเดียว ในความรู้สึกของผมเอง และเหมือน vaccine ที่ต้องมีการ boost เกลียวจะไปต่อ ก็มีข้อต่อ มีข้อเหวี่ยง อาศัย momentum เช่นกัน จึงจะไปต่อไป เมื่อหมดแรงเหวี่ยง แม้แต่ tornado ก็สิ้นฤทธิ์ลง
สาเหตุที่เราเห็นอะไรดีๆ (หรือไม่ดีก็มีปรากฏการณ์เดียวกัน แต่เราเสียดายน้อยกว่า เช่น mob hooligan ของอังกฤษ) สลายพลังไปนั้น ไม่ได้ลดความสำคัญของการเกิดการเคลื่อนไหวในครั้งแรก แต่จะเป็นการตอกย้ำความสำคัญของการทำต่อเนื่อง ทำไปเรื่อยๆ ไม่หยุด ทำโดยมโนสำนึก conscience (ไม่ใช่ conscious นะครับ) ว่าเราทำถูกแล้ว ชอบแล้ว
ผมประทับใจที่กฤษณมูรติครั้งหนึ่งเคยบอกว่าพวกเราทำอะไร วางแผนมากเกินไป เพราะคิดว่าเราจะพยากรณ์อนาคตได้ เพราะเชื่อมั่นในสมการ (ผมก็มีความเชื่อในสมการพอสมควร คุณสมพรทำ modeling ก็คงจะมีความเชื่อเรื่องนี้พอสมควร) แต่ law of uncertainty นั้น พูดกันในทุกๆศาสนา เป็นสัจจธรรมอย่างหนึ่ง
ถ้า "แผน" วางได้ โดยขาดความ certainty ได้ก็ OK แต่ถ้าเราหาอะไรที่แน่นอน ออกมารับรอง หรือพยายามมองหาอะไรที่ "ตาเนื้อ" อาจจะมองเห็นยาก เราก็ยังไม่ได้ทำ กฤษณมูรติ (หรือพระพุทธเจ้าก็ตามที) จึงบอกให้เรามีปัญญา บ่มเพาะ moral excellence แล้วก็ทำไปได้เลย ไม่ต้องรออะไรมากมาย
Deafening of no-action
ที่ผมยกตัวอย่างรุ่นน้องที่ตัดสินใจทำ/ไม่ทำนั้น เพราะว่า การไม่ทำอะไร คือการปล่อยปละละเลย การคิดว่าไม่ใช่เรื่อง การคิดว่าไม่สำเร็จดอก เราเป็นคนที่เล็กน้อย ไม่สลักสำคัญอะร การคิดแบบนี้ การทำ (โดยการไม่ทำ) อะไร ก็เป็นการกระทำอย่างหนึ่งเหมือนกัน ง่ายกว่าการทำ แต่ผลกระทบรุนแรงพอกัน เพราะสิ่งที่พ่อแม่ทำ ลูกๆก็เฝ้าดูอยู่ตลอดเวลา เพราะเราเป็น role model ของพวกเขา ถ้าเราทำอะไรเพื่อตนเองมากๆ เขาก็จะเรียนรู้อย่างรวดเร็วเรื่องของการเอาตัวรอด เรื่องของการไม่ต้อง "ใส่ใจ" ในเรื่องราวของชาวบ้าน ทุกๆครั้งที่เราสอดใส่เจตนคติลงไปให้เด็กๆ ไม่ว่าเราเป็นพ่อแม่ หรือเป็นครูก็ตาม เรามีบทบาทส่วนหนึ่งในการ สร้างวัฒนธรรม ด้วยเสมอ
สวัสดีครับคุณหมอสกล
ต้องขอขอบพระคุณหย้าบัวที่แนะนำมาให้อ่านวิธี tag และเรื่องราวที่ดี ของคุณเม้ง สมพร เป็นบล็อคที่น่าสนใจทีเดียว และคำถาม ที่ชวนให้ตอบก็มีมากมาย แต่ยังไม่ได้ตั้งท่าเลย ยินดีที่ได้รู้จักคุณสมพร ยังไม่ได้อ่านประวัติเลย ขออ่านทำความเข้าใจ หลายๆเรื่องก่อนนะคะ แล้วจะนำมาตอบคำถามให้ สวัสดีคะ
27. ว่าที่บัณฑิต
สวัสดีครับคุณว่าที่บัณฑิต