สวัสดีครับ
ผมได้รับบทความจากน้องแอน น้องสาวใจดี จากแม่สอด จ.ตาก นะครับ เลยอยากนำมาให้ทุกท่านได้อ่านกัน และเผื่อมีผู้ศรัทธา ร่วมบริจาคสิ่งของถึงเพื่อนร่วมโลกบนแผ่นดินเดียวกัน ครับ กราบขอบพระคุณมากครับ
-----------------------------------------------------------
เราไม่ได้อยู่บนโลกเดียวกัน ???
เรื่องเล่าจาก Eh Tu Hta Camp (ค่ายชั่วคราว เอ ทู ท่า)
การเดินทางยาวนานกว่าค่อนวัน...โดยการนั่งรถ..ลงเรือ ข้ามน้ำ และ เดินเท้า รวมๆ แล้ว ไปกลับ สิบสองชั่วโมง เพื่อไปพบเจอเพื่อนผู้ยากไร้ เพียงชั่วโมงเดียว... แต่หลังจากกลับมาแล้ว ทำให้ฉันลืมไม่ลง และไม่อาจะเฉยเมยกับสิ่งที่พบเจอ
ดูภาพเพิ่มเติมได้ที่ http://public.fotki.com/maesot/aschoolintheforest/
เช้าตรู่ไก่โห่ วันอังคาร เราเดินทาง ออกจากแม่สอด ด้วยรถปิคอัพสองคันเต็มไปด้วยผ้าห่มนวม ที่จะเอาไปให้ชาวบ้านในค่ายผู้อพยพ เราต้องนั่งเบียดเสียดกันในรถคันละ 6 คน ลองคิดดูว่าเพื่อนชาวต่างชาติตัวโตๆ นั่งชิดกันเหมือนปลากระป๋องนำเข้า ต้องเปลี่ยนกันโน้มตัวไปข้างหน้า เพื่อให้เพื่อนคนอื่นๆ ได้นั่งสบายชั่วอึดใจ จากนั้นถึงจะเป็นทีของตัวเองได้หายใจเต็มปอดบ้าง
เส้นทางแสนคดเคี้ยว แต่ละโค้งนับยังไม่ทันถึงสามวินาที เจอโค้งอีกแล้ว โชคดีที่เช้านี้ยังไม่ได้ทานอะไรเลย ไม่งั้น มื้อเช้าไทยๆ คงต้องออกมาอวดโฉมเพื่อนชาวต่างชาติเป็นแน่
พลขับบอกว่าได้ครึ่งทางแล้ว ก้มไปดูนาฬิกา บวกลบคูณหารแล้วปรากฏว่า ใช้เวลามาสามชั่วโมงแล้ว ยังได้แค่ครึ่งทาง โห.. อย่างนี้คงต้องเผื่ออีกสามชั่วโมงจึงจะถึงปลายทาง ไหนๆ ก็ไหนๆ กลับลำคงไม่ทันแล้ว ยังไงก็คงต้องถึงไหนถึงกัน หลังจากเข้าห้องน้ำห้องท่า หาอะไรร้อนๆ รองท้องแล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลาต้องเดินทางต่อ
แฮ่ะๆๆ แต่รู้ทันว่าอาจจะเกิดภาพไม่สวยงามนัก เวลารถขึ้นเขา เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา เลยต้องเตรียมตัวไว้ก่อน แอบขอถุงพลาสติกมาไว้ใบนึง เผื่อเอาไว้ใส่ของร้อนๆ ที่เพิ่งรองท้องไปเมื่อตะกี้
หลังจากแอบหลับตาไก่ (อาการอย่างหนึ่ง คล้ายๆ หลับๆ ตื่นๆ) มาได้หลายรอบจนปวดต้นคอ ยังสงสัยอยู่ว่ามันเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นเอง หรือว่าเพื่อนร่วมเดินทางช่วยทำให้มันปวดก็มิทราบ แต่ก็ช่างมันเถอะเดี๋ยวมันคงจะหายเอง ดูเหมือนตอนนี้ รถกำลังพาเข้ามายังทางแคบๆ คิดว่าเล็กขนาดนี้รถคงสวนกันไม่ได้แน่ หรือคนทำจงใจไว้สำหรับรถที่เข้าและห้ามออกหรือเปล่า
เราเดินทางมาถึงทางข้ามน้ำที่หมู่บ้าน ท่าตาฝั่ง เจ้าหน้าที่จากองค์กรนึงที่มากับเราก็ไปจัดการติดต่อคนมาช่วยยกผ้าห่ม และของใช้ที่จำเป็นที่เราเตรียมมา ขึ้นเรือซึ่งจะพาเราไปถึงที่หมายปลายทางของวันนี้
เมื่อของพร้อม คนพร้อม เรือสองลำก็พาเราเดินทางทวนน้ำไหล แม่น้ำสาละวินที่เคยเห็นแต่ในทีวี ก็ได้เห็นของจริงวันนี้ แม่น้ำแห่งนี้แบ่งกลางระหว่างประเทศไทยและประเทศพม่า ทั้งสองฝั่งดูไม่ต่างกันมากนัก เรือพาเราเดินทางมาได้ชั่วโมงกว่าๆ ผ่านด่านตรวจเช็คเรือฝั่งไทยไม่นานก็ถึงที่หมายปลายทาง
ทันใดที่เราถึงจุดหมายวันนี้ เวลาก็ล่วงเลยมาได้เกือบสามโมงแล้ว ผู้นำทางบอกว่า เราจะใช้เวลาได้ที่นี่เพียงชั่วโมงเดียวก่อนด่านจะปิด ก้าวแรกที่เยียบลงบนพื้นทรายประเทศพม่า ทำให้ฉันหวั่นๆ เรื่องความปลอดภัย แต่คิดไปคิดมา เราจะกลัวอะไร คนที่นี่เค้าต้องอยู่ที่นี่อย่างไม่รู้อนาคต และไม่รู้นานเท่าไหร่ด้วยซ้ำ เรามาเพียงชั่วโมงเดียว เราจะกลัวอะไร มาถึงนาทีนี้ฉันกับพวกเค้าเหล่านี้ก็ไม่ได้ต่างกันเลย
เดินขึ้นเนินประมาณห้านาทีก็เห็นคนกลุ่มนึงกำลังก่อสร้างอาคารอะไรสักอย่าง ที่ทำด้วยวัสดุจากธรรมชาติ เรียบง่าย ไม้ไผ่ ใบตองตึง ใบหญ้าคา ตลอดทางเดิน ผู้คนยิ้มแย้มทักทาย ด้วยภาษาที่ไม่คุ้นหู แต่สัมผัสได้จากรอยยิ้มที่พวกเค้ามีให้ ต้องเป็นความหมายว่ายินดีต้อนรับเป็นแน่
เดินไปอีกมาณห้านาที ก็เจอเด็กๆ อยู่ในอาคารที่คล้ายๆ เล้าหมู เพิ่งอ๋อเมื่อผู้นำทางบอกว่า นี่เป็นโรงเรียน มีเด็กเรียนโรงเรียนแห่งนี้ตอนนี้ประมาณ หกร้อยคน ห้องเรียนไม้ไผ่ ที่กั้นเป็นห้องๆ แคบๆ มีเด็กนั่งเบียดกัน จนบางส่วนต้องออกไปยืนเรียนข้างๆ ดูเด็กๆ จะตื่นเต้นกับพวกเราที่เป็นแขกไปเยือน เด็กจำนวนมากเดินออกมายืนหน้าห้องมุงดูพวกเรา
เดินไปอีกประมาณห้านาทีก็เจอชาวบ้านอีกสองกลุ่ม กำลังก่อสร้างอาคาร หลังนึงเป็นคลินิคชั่วคราว หลังนึงเป็นอาคารสำนักงานบริหารจัดการและครัวรวม เดินผ่านไปอีกห้องแคบๆ เล็กๆ เห็นฝรั่งผู้ชายอายุน่าจะราวๆ สี่สิบเศษๆ กำลังยืนวาดรูปดวงตา และส่องไฟฉายไปมา ทราบว่าลุงแกเป็นอาจารย์หมอจากต่างประเทศ กำลังอบรม อสม. ที่จะปฏิบัติงานในคลินิคใหม่นี้ และ อสม.ที่จะเดินทางไปให้การรักษาพยาบาลแก่ชาวบ้านในป่า
เดินมาถึงอาคารที่เหมือนห้องโถง เจอคุณลุงที่ดูไม่แก่มากนัก แต่ความสง่าแลดูแล้วคงไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาแน่ๆ ออ..ลุงแกเป็นเหมือนผู้นำชุมชนแห่งนี้ แกเล่าให้ฟังว่า หมู่บ้านแห่งนี้ อพยพมาตั้งอยู่ที่นี่ได้สามปีกว่าๆ แล้ว ประชากรรวมแล้ว ขณะนี้ประมาณ 2700 คน มีโรงเรียนแห่งนึง ที่สอนในระดับประถมศึกษา ยังไม่มีสถานพยบาล
เวลาผ่านเลยไปเกือบถึงชั่วโมงแล้ว พวกเราต้องรีบเดินทางกลับ คำถามสุดท้ายที่พวกเราถามหัวหน้าชุมชนไปว่า ที่นี่ต้องการอะไรเร่งด่วนบ้าง คำตอบที่ได้มาคือ อาหาร เสื้อผ้า ผ้าห่ม มุ้ง เครื่องครัว.....และทุกอย่างที่เราแบ่งปันได้
เด็กๆ กลุ่มใหญ่เดินมาส่งเราขึ้นเรือ พร้อมโบกมือลา...หลังจากวันนั้น ถึงวันนี้ก็หลายวันแล้ว พวกเค้ายังอยู่ที่เดิม ยังรอคอยผู้ไปเยือนที่จะแบ่งปัน และช่วยเหลือบ้าง... จากสิ่งที่ไปเห็น ความรู้สึกเป็นมิตรที่สัมผัสได้ ฉันอยากทำหน้าที่เพื่อนมนุษย์ที่จะช่วยเหลือ และกระจายข่าวถึงมิตรสหายที่อยากช่วยด้วย เมื่อมีโอกาส
หากคุณสนใจอยากบริจาคของใช้ที่จำเป็น เช่น อาหาร เสื้อผ้า ผ้าห่ม มุ้ง เครื่องครัว (รับประกันของถึงมือผู้รับ)หรือส่งของบริจาคมาทางไปรษณีย์ได้ที่
ศิราพร แก้วสมบัติHelp Without Frontiers
740 ถ.อินทรคีรี อ.แม่สอด
จ.ตาก 63110
กรุณาติดต่อ แอน ที่เบอร์โทร (081) 953 8535
email : [email protected]
--------------------------------------------------------------------------------------------
มาช่วยประชาสัมพันธ์ให้น้องสาวคนเก่งของผมอีกคน จากภาคเหนือนะครับ
หากท่านใดสนใจจะร่วมช่วยเหลือบริจาคสิ่งของเครื่องใช้ เสื้อผ้า ก็เชิญได้ตามศรัทธานะครับ
กราบขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
สมพร ช่วยอารีย์
สวัสดีค่ะ
ตามมาอ่านเรื่องดีๆค่ะ..แล้วจะช่วยทั้งประชาสัมพันธ์และช่วยบริจาคนะคะ..
ไฮเดลเบิร์กเป็นเมืองสวยอีกเมืองที่เบิร์ดชอบแต่มีโอกาสได้ไปแค่ครั้งเดียว..สิ่งที่ติดตา ติดใจคือภาพทิวทัศน์ของเมืองที่ทอดขนาบแม่น้ำกับ PHILOSOPHER WAY ( ทางสายปราชญ์ในสวนสวยของเมือง ) ยินดีกับคุณเม้งด้วยนะคะที่ได้เรียนในเมืองมหาวิทยาลัยและเป็นที่พระราชสมภพของ ร.8 เอ๊ะหรือ ร.9 ชักไม่แน่ใจ อิ อิ ^ ^