ตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้ตั้งแต่สองวันที่แล้ว
ตั้งแต่ตอนที่ความรู้สึกนั้นยังเข้มข้นอยู่ในใจ
ตั้งแต่อะไรๆยังพรั่งพรูออกมาจากความคิด
เพียงแต่เวลาและร่างกาย ณ เวลานั้นยังไม่อำนวยให้เขียนจริงๆ
จึงได้แต่พักเรื่องนั้นไว้ก่อน..
จนกระทั่งวันนี้จึงค่อยได้ลงมือเขียน.....
มันเป็นเรื่องแปลก ที่ฉันก็บอกไม่ถูกว่ามันคืออะไร
จากเหตุการณ์นั้น ทำให้ฉันอดมีคำถามขึ้นมาในใจไม่ได้ว่า Tacit K. กับ จิตสัมผัส มันเป็นสิ่งเดียวกันไหม ?
Tacit K. เกิดมาจากการสั่งสมความรู้และประสบการณ์ จนบังเกิดเป็นองค์ความรู้ของคนๆนั้น แต่จิตสัมผัสมันไม่น่าจะใช่ Tacit K. เพียงแต่ตามขั้นตอนมันคงต้องเกิด Tacit K. ขึ้นมาก่อน จึงจะบังเกิดจิตสัมผัสขึ้นมาได้
และเพราะ จิตสัมผัส มันไม่ได้เกิดขึ้นมาได้ทุกครั้ง ดังนั้นมันน่าจะมีอะไรซึ่งมากกว่านั้น ที่จะทำให้เกิด
สิ่งนั้นคืออะไรล่ะ ?
หรือคำตอบของมัน คือความลี้ลับของจักรวาล ?
ฉันอยากให้คุณอ่านเรื่องนี้ แล้วอยากจะให้ช่วยบอกฉันหน่อยเถิดว่า ฉันกำลังเจอเรื่องลี้ลับเรื่องหนึ่งเข้าแล้วใช่ไหม ?
..............................
เมื่อคืนของวันที่ 4 ซึ่งเวลากำลังย่างเข้าสู่วันที่ 5 เมษายน ฉันตื่นขึ้นตอนสี่ทุ่มครึ่งเพื่อเตรียมตัวขึ้นเวรดึก การได้หลับก่อนขึ้นเวร 2 ชม.เต็มๆ ปกติจะทำให้ฉันรู้สึกสดชื่น แต่แปลกที่วันนี้กลับตื่นมาด้วยอาการเพลียและมึนอย่างบอกไม่ถูก ร่างกายเจ็บร้าวไปหมดทั้งตัว เหมือนมันกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ รวมไปถึงอาการเสียวๆแปล๊บๆที่ในหัว และปวดตื้อรอบกระบอกตาขวากับแสบลูกตา
ถามตัวเองและประเมินตัวเองอยู่ในใจว่า
"เราไม่สบายอีกหรือเปล่า"
แล้วทำไม อยู่ๆถึงได้เกิดอาการไม่สบายขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุแบบนี้ ทั้งๆที่เมื่อตอนเย็นก็สบายดี ?
ลุกลงจากเตียงหยั่งตัวเหยียดยืนแทบจะไม่ไหวเลย ฝ่าเท้าระบมเจ็บ ตามแขนขา ลำตัว ปวดเสียวบอกไม่ถูก คล้ายๆกับกล้ามเนื้อทั้งตัวมันอักเสบขึ้นมา นึกถึงอาการเจ็บกล้ามเนื้อเวลาเป็นไข้หวัดใหญ่ แต่ถ้าเป็นไข้หวัดใหญ่ ก็น่าจะมีไข้ หรือมีอาการคล้ายหวัดนำมาก่อนสิ
เอ๊ะ..หรือว่าโรค "คออักเสบ" ที่เพิ่งกินยา antiboitic หมดไปเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วมันกำเริบขึ้นอีก ถ้าใช่ก็แย่เลย..ต้นแขนขวาที่โดนฉีดยาจนปวดระบมไปเกือบสัปดาห์เพิ่งขยับแขนได้คล่อง ถ้าเกิดเป็นอีก..แล้วจะโดนฉีดยาอีกไหมเนี่ย ?
คำถามพอวูบขึ้น ฉันก็ยกมือขึ้นลูบคอตัวเองแล้วลองกลืนน้ำลายดู พบว่าไม่ได้มีอาการเจ็บคออะไรเลย ค่อยโล่งใจว่าคงไม่ใช่คออักเสบ เพราะถ้าเป็นมันจะเจ็บแสบในคอมากๆเตือนขึ้นมาก่อน
มันจึงเป็นการลุกลงจากเตียงที่ยากลำบากพอดู พอลองเดินช้าๆไปมาสักสองสามนาที ให้เลือดลมไหลเวียนสะดวกขึ้น ก็ค่อยรู้สึกดีขึ้นบ้าง แต่อาการเสียวตามกล้ามเนื้อ เหมือนเส้นกล้ามเนื้อมันเกร็งบิด กับอาการปวดเสียวในหัวยังมีอีกเป็นพักๆ เพียงแต่ไม่ได้ทรมานเหมือนเมื่อตะกี้อีกแล้ว
แวบหนึ่งตอนนั้น ไม่อยากไปขึ้นเวรเลย อยากจะนอนต่อ ..แต่.. มันเป็นเพียงแค่แวบหนึ่ง ที่ฉันคิดไปเองว่า มันคงเป็นความรู้สึกขี้เกียจของคนเพิ่งตื่นจากนอนมากกว่า ดังนั้นในใจจึงไม่ได้คิดถึงเรื่องการลาป่วย.. เพราะพอนึกถึงความวุ่นวายของเพื่อนร่วมงาน ที่ต้องตามคนขึ้นเวรดึก นึกถึงความทรมานและความเหนื่อยของเพื่อนที่ต้องมาทำงานแทนเรา หากเราไม่สามารถขึ้นเวรได้ ความเห็นใจก็แล่นเข้ามา ปลุกปลอบใจตัวเองว่า สู้ๆน่า เราต้องไหว อย่าไปสร้างความทุกข์ ความยากลำบากให้เพื่อนเลย
แต่อย่างไรก็ตาม.. ฉันมีเวลาประเมินตัวเองแค่ 5-10 นาที เมื่อลองวัดไข้แล้วไม่มีไข้ ลองบ้วนปากแล้วไม่มีเสมหะปนเลือด (เพราะคราวก่อนตอนเป็นคออักเสบ ขากเสมหะออกมาเป็นเลือดสดเชียวล่ะ) แค่ปวดกล้ามเนื้อตามตัวและตามข้อ บางทีอาจเกิดจากช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตรากตรำร่างกายมากไปหน่อย ปวดหัวปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน ก็โด๊ปกินแต่ยาแล้วขึ้นเวรทำงาน ทำ..ทำ จนมันหายไปเอง
อ่านถึงตรงนี้บางท่านอาจจะนึกถามในใจ.. แล้วทำไมไม่ไปหาหมอ ?
ถ้าหากอยู่ตรงหน้าท่าน และสามารถตอบได้ ฉันคงจะโพล่งตอบออกไปอย่างรวดเร็วว่า
" จะเอาเวลาที่ไหนไปหา เสียเวลานอนค่ะ "
เพราะไปหาหมอแต่ละครั้ง นั่งรอตรวจ รวมไปถึงจัดการอะไรต่างๆเสร็จก็เป็นชั่วโมงสองชั่วโมง อันนี้หมายถึงถ้าหากได้ตรวจอย่างรวดเร็วนะ แต่ก็หลายครั้งที่คนไข้เยอะ ต้องรอคิวนาน.. บางทีก็เสียเวลาเป็นครึ่งวัน แล้วส่วนใหญ่ก็พอจะเดาออก ว่าหมอจะสั่งยาอะไร
ดังนั้นช่วงหลังจึงใช้วิธีมักง่าย คือกินยาเองเสียเลย เพราะว่ายาเหล่านั้นซื้อเก็บไว้ที่ห้องเพียบพร้อมหมดแล้ว ทั้ง Paracet Brufen Omeprazole Plasil Loratadine Motilium แม้แต่ Neurontin ก็ยังมีเหลือเก็บอยู่ 1-2 แผง (เพราะเวลาที่ปวดหลังมาก NSIAD ก็เอาไม่อยู่ ต้องกิน Neurontin ติดต่อกัน 4-5 วันถึงจะทุเลา)
บางครั้งพอหมอจะสั่งยา..ก็พบว่า ยาตัวนั้นมีแล้วค่ะ ยาตัวนี้มีแล้ว ..หมอก็เลยได้แต่บอก
"งั้นพี่กลับไปกินยานั้นต่อนะ "
ยังดีที่หมอเกรงใจ ไม่มองหน้า แล้วถามว่า " แล้วพี่มาหาหมอทำไมเนี่ย ? "
ดังนั้นถ้าไม่ได้เจ็บหนักจริงๆ ขนาดที่ต้องลาพัก ให้หมอเขียนใบรับรองแพทย์ หรือเป็นโรคที่ต้องกินยาปฏิชีวนะ (ถึงแม้จะกินยารักษาตัวเอง แต่จะไม่ซื้อยาปฏิชีวนะ กินเองอย่างเด็ดขาด หากจะให้หมอเป็นคนสั่งให้เท่านั้น)จึงไม่ค่อยอยากไปตรวจที่โรงพยาบาลเลย
.....................
คราวนี้ก็อีกเหมือนกัน พอประเมินตัวเองว่า ยังไหวน่า จึงลุกขึ้นล้างหน้าแปรงฟัน เพื่อกินกาแฟและขนมปังรองท้องก่อน จากนั้นก็กิน Paracet Brufen Omeprazole อย่างละเม็ดดักไว้ (เอ่อ.. ถ้าหมอท่านไหนเข้ามาอ่าน อย่าเพิ่งตำหนิ ว่าทำไมกิน Omeprazole หลังอาหาร ทั้งนี้เพราะว่าเวลามันน้อยค่ะ ไม่สามารถกินก่อนอาหารได้ เพราะรอไม่ได้ เลยกินมันพร้อมกันไปเลยทีเดียว)
ระหว่างกินก็ทำกิจกรรม relax จิตใจ นั่นคือเปิดคอมเปิดเนต เข้ามานั่งอ่านนั่งดูอะไรในเวบนิดหน่อย ประมาณ 10 นาที เงยหน้าขึ้นดูนาฬิกา ห้าทุ่มแล้ว จึงลุกขึ้นอาบน้ำเพื่อแต่งตัวไปขึ้นเวร
ตอนลุกเดินไปห้องน้ำ รู้สึกตัวเองสบายขึ้นนะ ยามันคงออกฤทธิ์มั้ง (ว่าแต่อะไรมันจะเร็วขนาดนั้นวุ้ย) แต่พี่น้องเอ๋ย... พอน้ำรดถูกตัวเท่านั้น อาการแม่หมาตกน้ำ (จะเรียกเป็นลูกหมา ก็เขินอายุตัวเอง) สั่นเป็นเจ้าเข้า ก็อุบัติขึ้น
มันเย็นเยือก เสียวแปลบปลาบ เหมือนใครเอามีดมากรีดตามเส้นประสาทไปทั้งตัวยังไงยังงั้นเลย ดังนั้นรีบรดน้ำตูมๆล้างคราบสบู่อย่างรวดเร็ว อากาศก็ออกร้อน แต่ทำไมเราถึงเย็นขนาดนี้เนาะ
รีบเช็ดตัวออกมานอกห้องน้ำ นั่งสั่นพั่บๆ พักหนึ่ง พอหายสั่นก็รีบแต่งตัว ตอนนี้แหล่ะ ที่มันเจ็บระบมไปทั้งตัวอีกครั้ง หนังหัวซีกขวาทั้งซีกก็เสียบแปล๊บๆขึ้นมาอีก ตาทั้งสองก็แสบมากๆ แต่ด้วยความที่กลัวขึ้นเวรสาย ก็ทำให้ลืมทุกๆอย่าง
พลังหนึ่งเดียวในตอนนั้น ที่ขับดันให้มือและขาทำกิจกรรมให้กับตัวเอง แล้วลุกไปข้างหน้า คือ
" ฉันต้องไปขึ้นเวรดึก "
โปรดอย่านึกว่า ฉันกำลังจะบอกทุกท่านว่า ในใจของฉันนึกถึงการไปปฏิบัติภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่ต้องทำเพื่อคนไข้ เสียสละตนเองเพื่อคนไข้ ขอสารภาพโดยความสัตย์จริงว่า ฉันไม่ได้นึกถึงอะไรตรงนั้นเลย และไม่ได้มีจิตใจอันสูงส่งถึงเพียงนั้น ในใจของฉันเพียงแค่คิดง่ายๆอย่างเดียวก็คือ
" การขึ้นเวรดึกคืนนี้คือหน้าที่ของฉัน เป็นภารกิจที่ฉันต้องรับผิดชอบ และอย่าไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นมาทำแทน"
ตอนที่ขับมอเตอร์ไซต์ไปขึ้นเวร ยามที่ลมมันพัดมาปะทะร่าง ความรู้สึกบางอย่างมันวูบๆเบลอ เหมือนใจจะขาดเป็นช่วงๆ แล้วคำถามหนึ่งซึ่งเหมือนถูกกดซ่อนเอาไว้ในความรู้สึกก้นบึ้งที่ลึกๆในใจ ก็ผุดๆโผล่ๆขึ้นมาถามตัวเองอย่างน้อยใจ
" นี่ฉันกำลังฆ่าตัวตายอยู่รึเปล่านะ ? "
บ้าจริง.. ทำไมฉันต้องทรมานตัวเองขนาดนี้ด้วย ?
ไม่เข้าใจตัวเองเลย ..
พลังอะไรหนอ ที่กำลังเรียกหาตัวเรา ขับดันตัวเราให้ไปขึ้นเวรดึกคืนนี้ให้ได้ ?
..............................
เวรดึกคืนนี้ฉันรับผิดชอบคนไข้ในทีม A (มีทั้งหมด 10 ห้อง มีอยู่หนึ่งห้องเป็นมารดาหลังคลอด มีทารกด้วยหนึ่งคน จึงรวมคนไข้ในความดูแลทั้งหมดในคืนนี้ คือ 11 คน)
ทีม A คืนนี้มีคนไข้หลังผ่าตัดไม่ถึง 24 ชม. อยู่ 2 ห้องซึ่งต้องสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดอยู่ แต่ห้องที่ฉันรู้สึกเป็นห่วง และต้องสังเกตอย่างใกล้ชิดกว่า กลับเป็นคนไข้ห้อง 402 ซึ่งเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะสุดท้าย และกำลังอยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิต
จึงเป็นงานที่ต้องดึงเอา Taxit K. ที่สั่งมาสมทั้งชีวิตออกมาใช้ เพราะผู้ที่เราต้องให้การดูแลในระยะนี้ไม่ใช่เฉพาะตัวคนไข้ แต่ยังรวมไปถึงญาติสนิทใกล้ชิดผู้เป็นคนในครอบครัว นั่นคือสามีและลูกของคนไข้ผู้นี้ด้วย
ดังนั้นงานในคืนนี้ ถือเป็นภารกิจที่ยากน่าดู
ไม่ใช่ "หนัก" แต่ขอใช้คำว่า "ยาก" ถ้าเป็นข้อสอบ มันคงเป็นข้อสอบระดับไฟนอล อย่าว่าแต่..ด้วยสภาพร่างกายทีไม่พร้อมเอาเสียเลยในตอนนี้ของฉัน ทำให้ฉันรู้สึกทั้งหวั่น และ กลัว
หวั่นว่า ถ้าเกิดทำงานไป แล้วเกิดอาการเป็นมากขึ้น คนไข้จะเป็นอย่างไร เพื่อนร่วมทีมซึ่งเป็นรุ่นน้องทั้งนั้นในคืนนี้ จะเป็นอย่างไร ?
กลัวว่า.. ด้วยอาการปวดไปหมดทั้งตัว และสะบัดร้อนสะบัดหนาวในตอนนี้ จะทำให้ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำออกมาไม่ดี ก็กระทบถึงคนไข้อีกนั่นแหล่ะ
แต่สุดท้ายก็สรุป และปลอบให้กำลังใจตนเองว่า
"สู้เถอะ..ในเมื่อตัดสินใจตั้งแต่ก่อนมาขึ้นเวรแล้วนี่นา ว่า ขึ้นได้ ก็ลุยให้สุดกำลังเถอะนะ ทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น ขอเพียงแค่รวบรวมสติและตั้งใจทำให้ดีที่สุดก็แล้วกัน "
แต่ลึกๆแล้ว ก็อดปฏิเสธไม่ได้หรอกนะว่า พลังใจสำคัญ ที่ทำให้ฉัน "รู้สึกฮึด" ขึ้นมาสำหรับคืนนี้ ก็คือเพื่อ คุณป้าห้อง 402
บางทีคืนนี้อาจจะเป็นคืนสุดท้าย... ที่ฉันจะทำให้กับป้าคนนั้น
ไม่ใช่.. จากพยาบาลที่ทำเพื่อคนไข้คนหนึ่ง
แต่เป็นจาก... ใครคนหนึ่ง ที่อยากจะทำเพื่อใครอีกคน.. ผู้ซึ่งมีความรู้สึกที่ดีๆต่อกัน
...............................
เพราะที่วอร์ดเป็นห้องพิเศษที่มี 19 ห้อง การที่พยาบาลหนึ่งคนจะรู้จักหรือดูแลผู้ป่วยพร้อมกันทั้งวอร์ดคงทำไม่ไหว เราจึงแบ่งออกเป็น 3 ทีม ทีมละ 6-7 ห้อง โดยพยาบาลจะรับผิดชอบดูแลผู้ป่วยทั้งทีมทุกอย่างเบ็ดเสร็จในพยาบาลคนเดียวกัน
การจ่ายงานก็มักจะหมุนเวียนกันไป และตอนที่ฉันเวียนมารับผิดชอบในทีม A และมารู้จักกับคุณป้าท่านนี้ ท่านก็อาการหนักแล้ว Palliative care เข้ามาใช้กับเคสนี้ได้ดี คนไข้ยอมรับ และเลือกเส้นทางชีวิตของตนเอง โดยขอสู่วาระสุดท้ายอย่างสงบ คนไข้ตัดสินใจเอง ที่จะไม่ขอใส่ท่อช่วยหายใจ และไม่ CPR (ปั๊มหัวใจ)
ดังนั้นหลักสำคัญที่สุดในการดูแลคนไข้เคสนี้ในระยะ 1-2 สัปดาห์สุดท้ายของชีวิต คือดูแลความสุขสบาย จิตสังคม และจิตวิญญาณ
สมรรถนะของพยาบาลที่จะใช้ในการดูแลคนไข้ระยะนี้ ไม่ใช่ความเก่งด้านความรู้เรื่องโรค หรือการทำหัตถการ แต่เป็นความสามารภในการควบคุมสติและอารมณ์ของตนเอง การสร้างสัมพันธภาพกับคนไข้และคนในครอบครัว ตลอดไปถึงการใช้จิตวิทยา
คนไข้มะเร็งปากมดลูกระยะสุดท้าย มักมีอาการสำคัญที่เด่นชัดมากๆคือ ท้องโตจากมีน้ำในช่องท้อง ขาบวมจากการไหลเวียนน้ำเหลืองไม่สะดวก ถัดจากนั้นก็คืออาการเหนื่อย เพราะน้ำในท้องมันดันกระบังลมรวมไปถึงการมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด
ด้วยอาการเหล่านี้ จะทำให้คนไข้รู้สึกทรมาน ไม่สุขสบาย จะนอนก็ไม่ได้ จะกินก็กินไม่ลง อ่อนเพลีย และเหนื่อย และอาการไม่สุขสบายเหล่านี้ก็จะโยงไปที่ญาติ ทำให้ญาติพลอยรู้สึกทรมานใจไปด้วย
พอคนไข้กระสับกระส่าย ญาติบางคนก็พลอยกระวนกระวาย จึงเป็นเหตุให้มักมีการเรียกหา ตามหมอ ตามพยาบาลบ่อยๆ และจึงเป็นที่มาของเหตุผลที่ว่า พยาบาลจำเป็นต้องรู้จักควบคุมสติ ไม่ร้อนรนไปกับคนไข้และญาติ และรู้จักควบคุมอารมณ์ไม่ไปหงุดหงิดใส่คนไข้และญาติ
การที่คนอื่นร้อนรนและเราสงบเยือกเย็น มันจะทำให้คนที่เขากำลังรุ่มร้อนมา สงบลงได้
แต่ถ้าฝ่ายหนึ่งร้อนรน แล้วเราก็ร้อนรุ่ม สุดท้ายมันจะสรุปลงด้วยทั้งสองฝ่ายลุกเป็นไฟ !
......
อันที่จริงฉันเองก็ไม่ใช่คนที่ใจเย็นอะไรนักหนาหรอก เพียงแต่จะคอยพยายามเตือนสติตนเอง เมื่อมีสิ่งเร้าเข้ามากระตุ้นว่า
" ช้าก่อนเพื่อตั้งสติ...นิ่งไว้สี่ห้าวิ (นาที) ..แล้วคิดตริตรอง "
จากนั้น.. มันก็จะเกิด คำตอบออกมาว่า... ต่อไปควรทำอะไร
กับเคสนี้ก็เหมือนกัน ก่อนหน้านี้เมื่อญาติมาตามว่าคนไข้ไม่สุขสบาย คนไข้แน่นอึดอัด หายใจไม่ออก ก็ต้องไปประเมินก่อนว่าคนไข้เป็นอย่างไร แน่นอึดอัดหายใจไม่สะดวกจากอะไร ทำอย่างไรที่สามารถช่วยผู้ป่วยเบื้องต้นได้ แล้วฉันก็พบว่า การจัดท่า (หมายถึงท่าทางการนอน) ของผู้ป่วย รวมไปถึงการปลอบโยนให้กำลังใจ จะช่วยให้ผู้ป่วยสงบลงได้
ผู้ป่วยเคสนี้ใส่ O2 canula (ออกซิเจนที่เป็นสายแหย่เข้าไปในจมูก) 3 LPM อยู่แล้ว เมื่อช่วยจัดท่าให้นอนหัวสูง ใช้หมอนช่วยรองตามข้อพับต่างๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อหลังและขาได้ผ่อนคลาย ผู้ป่วยก็จะหายใจได้สะดวกขึ้น และรู้สึกสบายขึ้น วัด O2 Sat ที่ปลายนิ้ว ค่าของ O2 ก็เพียงพอ แสดงว่ายังหายใจโอเค
แต่ที่คนไข้ไม่สุขสบาย คงเพราะแน่นอึดอัดในท้อง กับปวดเมื่อยหลังเนื่องจากท้องโตทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานหนัก รวมไปถึงอาจจะมีการลามของมะเร็งไปที่กระดูกด้วยมากกว่า
อยากชมเชยญาติมากๆสำหรับเคสนี้ ว่าเอาใจใส่ดูแลคนไข้อย่างดีมาก ซึ่งทั้งนั้นและทั้งนี้ฉันคิดว่าเป็นบุญของคนไข้ คงเป็นเพราะคุณป้าท่านนี้เป็นคนดี และใจดีด้วย ลูกๆถึงรักและใกล้ชิดกับท่านขนาดนี้ ความใจดีของท่านยังแผ่มายังตัวฉันที่เป็นพยาบาล ฉันสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและความใจดีของท่าน มันจึงทำให้แม้แต่ฉันที่เป็นคนนอก ยังรู้สึก "อยากจะทำอะไรๆให้" กับคุณป้าคนนี้
นี่กระมังที่สะท้อนสัจธรรมที่ว่า ทำดีได้ดี ท่านใดก็ตามที่มาอ่านตรงนี้ อยากจะบอก...คนเราทุกคน เกิดมาหนีไปพ้นการเจ็บและตาย เมื่อถึงวาระหนึ่งที่เราช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ณ ตอนนั้นกรรมต่างๆที่เรากระทำมาในชีวิต จะส่งผลการตอบสนอง หากทำความดีทำให้คนอื่นรัก เมื่อถึงจุดนั้น ท่านก็จะได้รับความรักได้รับความเข้าใจตอบ แต่หากทำให้คนอื่นกลัวคนอื่นเกลียดชัง สิ่งที่ท่านจะได้รับในวาระสุดท้าย คือความอ้างว้าง และการถูกทอดทิ้ง
หลายเคสที่ฉันเจอ.. คือสิ่งที่พิสูจน์สัจจธรรมในข้อนี้
ดังนั้นยังไม่สายเกินไป ที่จะฝึกควบคุมตนเอง ทั้งควบคุมสติ ควบคุมอารมณ์ ควบคุมจิตใจ เพื่อที่จะให้ความรักความเข้าใจต่อคนรอบข้าง ให้สิ่งดีๆต่อคนรอบข้าง หยุดการคิดร้ายคิดไม่ดี คิดเอาเปรียบต่อคนอื่น เพราะเมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิต... เราจากไปแต่ตัวจริงๆ ไม่สามารถเอาอะไรไปได้เลย
การดูแลคนไข้ที่กำลังรู้สึกไม่สุขสบายนั้น จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย มี Trick ในการดูแล 3-4 ข้อเท่านั้นคือ
1. ให้คิดว่าคนไข้คือญาติสนิทคนหนึ่งของเรา คือแม่ของเรา..ถ้าเราเป็นลูก เราอยากทำอะไรให้คนไข้
2. มีความรู้สึกว่าอยากจะทำให้เขาสุขสบาย อยากช่วยให้เขาพ้นจากความทรมานตรงนั้น ด้วยความรู้สึกจริงๆ ไม่ใช่เพราะหน้าที่หรือทำตามความรับผิดชอบ
3. พยายามเข้าใจในความต้องการของเขา ช่วยเหลือและทำให้ในสิ่งที่เขาต้องการ ไม่ใช่ สิ่งที่เราเองคิดว่า " ดี " " น่าจะทำ" หรือ "ทฤษฎีบอกว่าควรทำอย่างนั้น"
4. ทำให้ญาติและคนไข้ สงบ ไม่กลัว และมีความมั่นใจในตัวพยาบาล ว่า " เดี๋ยวพยาบาลช่วย" สำหรับข้อนี้ จะเรียกว่า.. การทำให้เขารู้สึกศรัทธา หรือเปล่าก็ไม่รู้นะ ฉันคิดว่า..เวลาที่จิตใจของคนเราไม่มั่นคง การสร้างอะไรขึ้นมาสักอย่าง ที่เป็นเสมือนขอนไม้ ให้คนที่กำลังแหวกว่ายอยู่กลางสมุทรได้จับยึดพิงไว้ เป็นสิ่งสำคัญมาก
"..ขอนไม้คงไม่สามารถพาคนๆนั้นแหวกว่ายถึงฝั่ง แต่ว่ามันจะสามารถช่วยยึดเหนี่ยวสติของคนผู้นั้น ให้ประคองตัวเองได้ระยะหนึ่ง จนกว่าจะมีเรือใหญ่มารับขึ้นฝั่ง ย่อมดีกว่าการร่วงดิ่งลงสู่ก้นมหาสมุทรด้วยความหวาดกลัว.."
สำหรับเคสนี้..เทคนิคที่ฉันใช้มากที่สุด คือ "การสัมผัส" ทุกครั้งที่ฉันเข้าไปดูแลคุณป้าท่านนี้ ฉันจะจับมือและบีบมือท่านเบาไปพลางระหว่างพูดคุย เวลาคุณป้ารู้สึกไม่สบายตัว เวลาฉันช่วยจัดท่าให้ท่านนอนหรือนั่ง ฉันก็จะจับมือบีบมือไปด้วยระหว่างถามว่า
" แบบนี้ได้หรือยังคะ พอดีหรือยัง "
ตอนที่ยังมีแรงพูดคุณป้าก็จะบอกว่าตรงนั้นยังไม่พอดี ขยับหมอนขึ้นมาอีกหน่อย ถ้าหากโอเคแล้ว ท่านก็จะพยักหน้า บอกว่าได้แล้ว
เวลากลับมาถึงห้องบางทีฉันก็สงสัย ว่านอนแบบไหนมันจะสบายนะ ก็ลองเอาหมอนมารองตัวเอง ตะแคงบ้าง หงายบ้าง ถึงได้รู้ว่า อ๋อ..คนท้องโตๆถ้านอนแบบนี้จะเมื่อยนะ ต้องท่านนี้ถึงจะสบาย จึงต้องขอบคุณคุณป้ามากเลยที่ช่วยเป็นครูสอนฉันให้รู้จักเทคนิคการจัดท่า (position) มันดูเหมือนง่ายๆ แต่ความจริงมันยากนะ แต่พอจัดให้คุณป้าไปหลายครั้ง มันเลยเกิดความชำนาญ คุณป้าพอใจ ชอบเรียกให้ฉันให้เข้าไปช่วยจัดท่าให้ สำหรับฉันแม้จะเหนื่อยหน่อย แต่ก็ภูมิใจลึกๆยังไงไม่รู้
บางทีเวลาคุณป้าบ่นแน่นอึดอัด หายใจไม่สะดวก ก็ใช้วิชาชาวบ้านแบบง่ายๆ คือจับคนไข้นั่งห้อยขาข้างเตียง วางเท้าบนเก้าอี้ มือหนึ่งจับมือคนไข้ ให้ญาติ (ลูกชายคนไข้ ซึ่งตัวโตแข็งแรง) ช่วยจับประคองตัวคนไข้ไว้อีกข้างกันล้ม เพราะพยาบาลคนเดียวคงเอาคนไข้ไม่อยู่ จากนั้นก็ใช้อีกมือ ลูบหน้าอกขึ้นลงช้าๆ พลางบอกให้คนไข้สูดหายใจเข้าออกลึกๆ คุณป้าน่ารักมาก.. ท่านก็จะพยายามสูดลมหายใจเข้าออกตามมือของฉันที่ลูบขึ้นลูบลง
ท่านี้สังเกตว่าคนไข้จะชอบนะ เพราะนอกจากจะช่วยเรื่องการหายใจแล้ว มันเป็นการช่วยกำหนดสมาธิอย่างหนึ่ง ทำให้จิตใจผ่อนคลายลง บางครั้งเพราะเมื่อย ฉันจึงอ้อมมือไปลูบข้างหลังให้ พลางนวดคลึงเบาๆไปด้วย
ฉันได้ประสบการณ์กับตนเองว่า เวลาที่เราแน่น อึดอัดหายใจลำบาก ถ้ามีคนมาช่วยนวดคลึงเบาๆที่หลัง มันจะทำให้เราเรอ พอได้เรอแล้วมันจะรู้สึกสบาย ดังนั้นจึงลองใช้มือที่เหลืออีกข้างซึ่งไม่ได้จับมือคนไข้ นวดหลังให้คุณป้า ปรากฏว่าท่านเรอออกมาได้จริงๆ
ญาติผู้หญิงซึ่งอยู่เฝ้าไข้ตลอดเวลาอีกคนจึงช่วยขึ้นไปนั่งบนเตียง ใช้ฝ่ามือบ้าง ปลายนิ้วบ้าง ลูบคลึงหลัง กดรูดเบาๆ ไปตามจุดที่อยู่ขนานกับไขสันหลัง เหมือนกับท่าจอมยุทธตอนถ่ายเทลมปราณยังไงยังงั้น เป็นการร่วมมือร่วมด้วยช่วยกัน ทั้งพยาบาลทั้งญาติ
จะว่าไปแล้ว..มันก็ไม่ได้นวดพิสดาร หรือเป็นวิชาการลึกล้ำอะไร แต่กิจกรรมนี้เป็นการสร้างสานสัมพันธภาพที่ดี ที่ดึงคนในครอบครัวเข้ามาแสดงความรักต่อคนไข้ และสังเกตว่าทั้งสีหน้าคนไข้และญาติล้วนมีความสุขนะ พอใจที่ได้ทำ ทั้งการได้รับและการได้ให้
................
ช่วงวันที่ 2-3 เมษายน คุณป้าท่านนี้เหนื่อยเกินกว่าที่จะนั่งห้อยขา นวดหลังกันแบบนี้ได้อีกแล้ว จำได้ว่าเวรบ่ายของวันที่ 3 คุณป้าเหนื่อยมาก แต่ก็ยังมีสติรู้สึกตัว เพียงแต่เพลียล้า ขยับปากพูดแบบไม่มีเสียง หมอให้คุณป้าใส่ O2 mask 40% 6 LPM แต่ฉันมีความรู้สึกอึดอัดแทนคนไข้อย่างไรก็ไม่รู้ โดยเฉพาะละอองน้ำจาก O2 ที่มันพ่นออกมาใส่หน้าของท่าน คุณป้ามักจะเอา หน้ากากออกซิเจนออก ญาติจึงต้องคอยจับมือ และใช้ผ้าซับเช็ดเกล็ดน้ำบนคิ้วได้
กลางเวรบ่ายของวันที่ 3 O2 Sat เริ่ม drop ลง จากเดิมที่อยู่ที่ 95-100 % บางครั้งยังไม่ถึง 90% จึงต้องเปลี่ยนเป็น mask with bag ให้ ซึ่งเป็น O2 100% และไม่มีละอองน้ำ ซึ่งคนไข้ค่อยดูสบายขึ้น เวลาคุณป้าไม่สุขสบายแน่นอึดอัด ท่านไม่สามารถมีแรงพูดไหว ก็จะยกมือมาทางฉัน ฉันค่อยนึกขึ้นมาได้ จึงยื่นมือออกไปจับมือท่าน ท่านก็จะเอามือฉันไปวางที่อก คุณป้าเหมือนอยากจะพูดบอกอะไรฉัน สารภาพว่าฉันฟังไม่รู้เรื่องหรอกนะ แต่ก็ปลอบไปว่า
" ค่ะ..ค่ะ ป้านอนพักเยอะนะ ไม่เป็นไรนะ "
พอฉันลูบหน้าอกให้แล้วพูดปลอบข้างๆหู ท่านก็จะสงบลง
ออกมาจากห้อง 402 ฉันรู้สึกไม่สบายใจบอกไม่ถูก ความรู้สึก หรือสัมผัสบางอย่างในใจของฉันบอกฉันว่า
"คุณป้าคงใกล้ถึงเวลานั้นแล้ว คงเร็วนี้ๆแหล่ะ "
ยังมีต่อข้างล่างค่ะ.....
....