การคลุกคลีกับชุมชนมาทำให้ได้เฝ้าติดตาม “การเปลี่ยนแปลง” ของสังคมชุมชนอยู่เป็นระยะ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจจะเรียกในหลายคำ เช่น “การพัฒนา” ซึ่งมองในแง่มุมของการดีขึ้น หรืออาจจะเรียกว่า “การเคลื่อนที่” ของสังคมชุมชน ซึ่งอาจจะมองในแง่ของมวลสารกระเดียดไปทางหลักการทางฟิสิกส์
การเข้าไปทำงานพัฒนาชุมชนชนบทจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในเรื่องต่างๆทั้งที่เกิดจากการขับเคลื่อนของหน่วยงานต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชน แต่ที่มีน้ำหนักมากคืออิทธิพลของการเปลี่ยนแปลงของสังคมใหญ่(เมือง)ที่มีต่อสังคมเล็กๆในชุมชน(ชนบท) แม้ว่าสังคมชุมชนจะปรับเปลี่ยนไปตามสังคมเมืองแต่ก็วิ่งตามไม่ทัน ไม่เท่าทัน และกลายเป็นการตกเป็นเบี้ยล่างไป
มีตัวอย่างมากมายที่แสดงถึงความแตกต่างระหว่างชุมชนชนบทกับเมือง คนทำงานพัฒนาชุมชนชนบทก็เป็นคนมีชีวิตอยู่ในสองโลก ในสองวิถีชีวิต เห็นจนชินตา การเคลื่อนที่ของสังคมชุมชนจะเข้ากับทฤษฎีพื้นฐานทางสังคมวิทยาที่เรียกว่า Periphery theory กล่าวคือชุมชนชนบทจะเปลี่ยนแปลงไปตามระยะความห่างของสังคมเมือง ขยายความได้ว่าสังคมชุมชนที่อยู่ใกล้เมืองจะเปลี่ยนแปลงไปตามสังคมเมืองมากกว่าสังคมชุมชนที่อยู่ห่างจากสังคมเมือง
จากแผนภูมิ ให้ A คือสังคมเมือง B และ C คือสังคมชนบท ที่มี B เป็นสังคมชนบทที่ตั้งอยู่ใกล้ตัวเมืองมากกว่า สังคมชนบท C โดยความเป็นจริงเราก็เห็นโดยภาพรวมๆว่าสังคมชุมชนที่ห่างไกลจากเมืองหรือศูนย์กลางการปกครองยิ่งมากเท่าใดความยากจน ความเป็นชนบทยิ่งมากเท่านั้น ทั้งนี้อาจจะมีข้อแม้ หรือข้อยกเว้นบ้าง เช่น ชุมชน C อาจจะไม่ไกลเท่าใดจากตัวเมืองแต่มีสภาพเป็นป่าเขา การเดินทางลำบากยากเย็นและเงื่อนไขอื่นๆอีก ก็อาจจะมีสภาพความเจริญที่น้อยกว่าสังคมชนบทที่ไกลกว่าแต่สภาพไม่เป็นภูเขา มีถนนหนทางสะดวก สามารถรับวิทยุ โทรทัศน์ คลื่นโทรศัพท์มือถือได้ ฯลฯ
การเปลี่ยนแปลงสังคมชุมชนโดยรวมจะเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสค่านิยมที่เป็นที่ยอมรับกันว่าเมืองคือความเจริญ ความทันสมัย ความก้าวหน้า และสรุปโดยพลันว่านั่นคือสังคมที่ปรารถนา แล้วสังคมชนบทก็วิ่งตามสังคมเมืองไปโดยสลัดคราบไคลของสังคมเดิมออกอย่างมิได้มีกระบวนการไตร่ตรอง วิเคราะห์ สังเคราะห์ว่าอะไรที่ควรรับเข้ามา อะไรที่ควรปรับแล้วเปลี่ยน อะไรที่ไม่ควรรับเลย
กระบวนการนี้ไม่ได้อยู่ในแผนงานพัฒนาประเทศชาติแต่อย่างใด ประเทศวิ่งตามสังคมเมืองจึงเป็นสนิมเกาะแน่นอยู่ในใจ โดยเฉพาะคนที่เกิดมาใหม่ๆทั้งหมด จนเกิดปรากฏการณ์แปลกที่ว่า เด็กกรุงเทพฯไม่รู้จักต้นข้าว ไม่รู้จักแยกแยะว่า อะไรคือวัว อะไรคือควาย เด็กชนบทคลั่งไคล้การทำตัวแบบเด็กเมืองเป็นต้น
ยิ่งสังคมปัจจุบันแรงของระบบทุนนิยมเสรีมีมากจนยึดกุมเครื่องมือสื่อสารต่างๆได้หมดตามระบอบเสรีประชาธิปไตย อำนาจทุนจึง “เหมายกโหลโอกาส” ทั้งหมดมาอยู่ในมือ แล้วกระหน่ำ ชวนเชื่อความดีงามของสินค้าต่างๆที่โดนใจประชาชีไทยยิ่งนัก
ระบบสังคมที่ภูมิคุ้มกันบกพร่องจึงบริโภคข้อมูลที่ถูกเคลือบด้วยความทันสมัย ความก้าวหน้า ยิ่งสมัยนี้ก็ต้องเรียกว่า อินเทรนด์ การโดนใจ จนถึงระดับลุ่มหลงไปสู่ความเป็นแฟชั่น โดยเฉพาะกลุ่มที่อ่อนไหวที่สุดคือวัยรุ่น “เราพบเด็กหนุ่มพันธุ์โลโซ เด็กสาวพันธุ์กางเกงแอวต่ำเกือบเห็นตูด” เต็มหมู่บ้านไปหมด
ชุมชนชนบทจะเหลืออะไรเล่า ก็เหลือคนเฒ่านั่งตาปริบๆ มือก็จูงหลานเล็กๆมานั่งแคร่ใต้ถุนบ้านมองรถมอเตอร์ไซด์เสียงระเบิดแก้วแตกวิ่งผ่านไปมาพร้อมกับเสียงเพลงที่ฟังไม่รู้เรื่องดังมาจากตู้ลำโพงบ้านโน้น
หมดสิ้นบทบาทหรือลดลงมาเกือบไม่รู้ว่าผู้เฒ่าเหลือชีวิตไว้ทำอะไรในชุมชนนั้นๆ ไอ้เด็กน้อย “พอเข็นออกมาจากโรงเรียน” ได้ไม่เท่าใหร่ก็หายหน้าออกจากหมู่บ้านมุ่งสู่เส้นทางภาคกลางและเมืองกรุงเหมือน “นายฮ้อย” สมัยก่อนที่ต้อนฝูงวัวควายไปขายแถบภาคกลางนั่นเทียว
งานประเพณีท้องถิ่นที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง “แห่ต้น” ขึ้นบ้านโน้นลงบ้านนี้ แวะเวียนไปเยี่ยมเยือน กราบไหว้ ขอขมาลาโทษกัน แม้ว่าจะกินเหล้ากลั่นเองกันเมามายแต่ก็ อบอวนไปด้วยมิตรภาพความเป็นพี่เป็นน้องป้องปาย หาใช่อย่างปัจจุบันที่กลุ่มเยาวชนอนาคตหมู่บ้านกลับแสวงหาเวทีรำวง “สาวกระโปรงเหี่ยน” มาเต้นให้วาบหวามใจ โดยอ้างว่าหาเงินเข้าหมู่บ้าน พอเมาเข้าไปก็อดใจไม่อยู่ ใหญ่โตขึ้นมา มองหน้าใครก็ผิดใจไปหมด จนสิ้นความเป็นคน ตีรันฟันแทง สร้างความแตกแยกให้ร้าวฉานในชุมชนอย่างไม่เคยมีมาก่อน มิใยจะไป “ผูกข้อต่อแขน” โดย ผู้เฒ่า เจ้าโคตร ให้เอือมระอาอย่างไม่น่าจะเป็น
คอยดูซิสงกรานต์ปีนี้เขาเหล่านั้นจะถูกหามเข้าโรงพยาบาลกี่คน ภูมิคุ้มกันชุมชนอยู่ที่ไหน ใครก็ได้ช่วยตอบที ครับ
สวัสดีค่ะพี่บางทราย
อ่านแล้วรู้สึกอัดอั้นในอกขึ้นมาเลยค่ะ..ความเจริญ การพัฒนา การเติบโต ความทันสมัย ความก้าวหน้า..เหมือนเป็นศัพท์ที่พร่ำพูด จนกลายเป็นมนต์ขลังบางอย่างทำให้เคลิบเคลิ้ม จนหลงลืมเภทภัยที่ตามมา..
ภูมิคุ้มกันในทางสาธารณสุขคือการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคที่จะตามมา..โรคภูมิคุ้มกัน " ตนเอง " บกพร่องนี่คงต้องฉีดกันตั้งแต่ เล็กๆเลยมั้งคะ ( วัคซีนเด็กจะเริ่มที่ 2 เดือน แต่วัคซีนใจจะเริ่มเมื่อไหร่ดีคะ ).. แล้วฉีดกระตุ้นทุกปี ต่อเนื่องจนตาย
พี่บางทรายเบิร์ดขอเชิญที่ http://gotoknow.org/blog/beutifulmemories/88301 ใหม่ค่ะ..หลวงพี่มาโปรดสัตว์แล้ว ^ ^
สวัสดีค่ะพี่บางทราย
เห็นด้วยค่ะ แต่ทุกอย่างอยู่ที่จิตสำนึก การปลูกฝังค่านิยมแบบผิด ๆ หรือเด็กเห็นตัวอย่างจากดารานักร้อง ทำไงได้ค่ะ เสมือนได้อย่างเสียอย่าง เหมือนเพลงอัสนี ยังไงก็ไม่รู้ ได้ความเจริญ แต่ค่าทางจิตใจของคนเริ่มเสื่อมลง วัดกันที่เม็ดเงิน รูปร่างภายนอก หรือแม้แต่การแต่งกาย
เมื่อคืนราณีดูรายการมหานคร ทางช่อง 7 แขกรับเชิญคือ ซูโม่กิ๊ก เขาบอกว่าเขาชอบประเทศญี่ปุ่นมาก ๆ เพราะมีความเจริญทางเทคโนโลยี แต่ก็ยังรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้เป็นอย่างดี เช่น วัฒนธรรมการแต่งกาย เวลาที่เขาขึ้นรถไฟใต้ดิน เขาเห็นคนใส่ชุดกิโมโน ขึ้นรถไฟใต้ดินในญี่ปุ่นถือเป็นเรื่องปกติธรรมดามาก ๆ แต่ถ้าเป็นเมืองไทยใครใส่ชุดไทยมาเดินถือเป็นเรื่องแปลก ถ้าเป็นตอนดึก ๆ มีหวังวิ่งอ้าวฮ่า ๆๆๆๆ คนอื่น เขาฟังแล้วขำ ราณีก็ขำ แต่ได้แง่คิดดี ๆ เยอะเลย
เบื่อที่จะอ่านหรือยังค่ะ อิ ๆๆ แต่อยากเล่าค่ะ แหมเห็นประเด็นโดนใจได้โอกาสระบายแล้วเรา
ซูโม่กิ๊ก (ชื่อในการแสดง) บอกว่าประเทศไทยนั้นถือว่าโชคดี มีวัฒนธรรมดี ๆ มากมาย แต่ของคนเรากลับไม่ค่อยรู้จักรักษา ชอบรับแต่สิ่งไม่ดีเข้ามา
ทำให้ราณีได้คิดว่าสิ่งที่เป็นวัฒนธรรมไทยที่ดี ควรค่าแก่การรักษานั้นกำลังจะถูกบิดเบือนด้วยการสร้างวัฒนธรรมใหม่ ๆ มากลบของเก่า เช่นการเล่นน้ำสงกรานต์ เห็นไหมค่ะ ชาวต่างชาติเขาโหยหาวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม แต่คนไทยกับไปโหยหาสิ่งที่เป็นตะวันตก ไม่ใช่เอาของดีเขามานะค่ะ รับแต่วัฒนธรรมที่ไม่ดีมาเยอะเช่นเด็กสมัยนี้ เที่ยวผู้ชายถือเป็นเรื่องธรรมดา ลืมสิ่งที่คนสมัยก่อนสอนไว้หมด
บ่นมาก็เยอะ เราจะเริ่มแก้ที่ตรงไหนดีค่ะ ราณีก็เริ่มไปบ้างแล้วค่ะ พยายามยกตัวอย่างให้นักศึกษาเห็นถึงผลดีผลเสีย บางคนก็เข้าสมองบ้าง บางคนก็คิดว่า ยังไม่วันพระเลยมาเทศก์ซะแล้ว (อันหลังนี้ราณีคิดเอง ขอบคุณนะค่ะที่ยอมให้ราณีได้ระบาย สวัดดีปีใหม่ไทยค่ะ ตามมาสาดน้ำ....ใจ
ชอบมาก จ๊าบมาก ขออีก ขออีก
ขอบพระคุณครับที่แวะมาเยี่ยม ข้าน้อยฯ
สวัสดีค่ะคุณ(รุ่น)ปู่ ม.ช. แต่ขอเรียกแค่พี่บางทรายดีกว่า ขอบคุณที่เข้าไปแวะเวียนเป็นกำลังใจให้คนเริ่มเขียนบล็อกนะคะ
มีเรื่องเล่าเยอะและขยันเขียนจริงๆ นับถือๆ ค่ะ แถมเป็นกวีอีก
ฟักทองเทวดาเลี้ยงทำอะไรก็อร่อยค่ะ แบบนึ่ง มีมะพร้าวขูดโรยเกลือนิดน้ำตาลหน่อยก็อร่อยชอบมากเช่นกัน แม่บ้านชอบทำแกงเลียงให้ทาน เก็บผักโขมบ้าน บวบ ใบแมงลักจากท่าน้ำนั่นแหละ ใส่ฟักทองเยอะๆ แขกที่มาทานข้าวที่บ้านติดใจทุกคน
ขอแชร์แบบมีสาระบ้าง การเปลี่ยนแปลงของชุมชนชนบทในกระแสทุนนิยม มันยั้งไม่อยู่อยู่แล้ว วัดในชนบทก็ยังไม่สามารถเป็นที่พึ่งของชุมชนได้อย่างเมื่อก่อน หนำซ้ำชักนำคนเข้าวัดเข้ารกเข้าพงไปด้วยการเชื่ออิทธิฤทธิ์ปาฏิหาร ห่งไกลการใช้ปัญญาไปทุกที มีวัดไม่กี่แห่งที่เห็นทุกข์ของชาวบ้านทั้งทางเศรษฐกิจและจิตใจแล้วเข้าไปช่วยพัฒนาทั้งสองส่วนให้เจริญไปพร้อมกัน
แต่อย่าเพิ่งหมดหวังค่ะ ขอให้เชื่อมั่นใน"ยุทธศาสตร์ขยายความดี" และมีความสุขกับสิ่งที่ทำได้ น้อง"คุณนายดอกเตอร์"ได้พบตัวอย่างดีๆเยอะจนเก็บไปทำปริญญาเอก(ฮิ ฮิ ได้เกียรตินิยมสูงสุดด้วยล่ะ) ได้นำประสบการณ์มาใช้กับชีวิตตัวเอง มีความสุขจากการที่รู้สึกว่า"พอ" และเขียนหนังสือกับเขาหนึ่งเล่มชื่อ "ปริศนาแห่งภูมิปัญญาท้องถิ่น" ที่สำนักพิมพ์ให้มาหมดแล้วไม่อย่างนั้นจะส่งมาให้ ตอนนี้มีขายที่สคส.
ขอให้มีความสุขทุกๆวันค่ะ