อ้างถึง เกิดมาเพื่อแสวงหาความสุข ในบันทึกครั้งก่อน ซึ่งเป็นแนวคิดตามนัยแห่งพระพุทธศาสนา ...อันที่จริงแนวคำสอนอื่นซึ่งอ้างว่าเกิดมาเพื่อแสวงหาความสุขก็มีเช่นเดียวกัน แต่รายละเอียดอาจแตกต่างกันเพราะมีความเห็นพื้นฐานในการมองโลกแตกต่างกัน ผู้เขียนจะเอาความเห็นแนวอื่นมาเล่าเพื่อให้เห็นว่าแตกต่างจากพุทธมติอย่างไร
ลัทธิจารวากของอินเดียก็สอนว่าเกิดมาเพื่อแสวงหาความสุข ดังโศลกที่เจอบ่อยๆ ในคำสอนว่า "จงกิน จงดื่ม จงรื่นเริง จงสนุกสนาน เพราะพรุ่งนี้คุณอาจตาย"...
ตามแนวคิดจารวาก ชีวิต (โดยเฉพาะความรู้สึก) เกิดขึ้นเพราะความบังเอิญ จากการผสมที่ถูกส่วนของธรรมชาติหลายๆ อย่าง คล้ายๆ กับว่า มีปูนขาว มีหมาก และมีพลู ..สามอย่างนี้ทำเป็นคำแล้วสอดเข้าไปในปาก เมื่อเคี้ยวคำหมาก สีแดง ก็ย่อมเกิดขึ้นในปาก สีแดงนี้มิได้อยู่ในน้ำลาย มิได้อยู่ใน หมาก ปูนขาว หรือพลู...
ความรู้สึกของคนเราก็เหมือนสีแดง มิได้เป็นอะไรมากกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะความบังเอิญ...อันว่าความรู้สึกนี้ จะรู้สึกยินดีเมื่อได้ของถูกใจ และยินร้ายเมื่อได้ของไม่ถูกใจ เช่น ถ้ากินดื่มของถูกใจเราก็มีความสุข ..ได้ดูหรือแสดงเองซึ่งการละเล่นบางอย่างเราก็มีความสุข ...แต่ถ้าได้กินดื่มหรือประสบกับการละเล่นที่ไม่ถูกใจเราก็มีความทุกข์ ...เมื่อเราชอบสุข รังเกียจความทุกข์ เราก็ควรแสวงหาความสุข นั่นคือ จงกิน จงดื่ม จงรื่นเริง สนุกสนาน เพราะพรุ่งนี้ คุณอาจตาย...
เรื่องชาติก่อน ชาติหน้า ก็เหมือนกัน พวกจารวากบอกว่าเป็นสิ่งหลอกลวง เป็นเรื่องของคนฉลาดที่แต่งขึ้นมาเพื่อหลอกลวงคนโง่เท่านั้น ...มีแต่เพียงชาตินี้หรือปัจจุบันเท่านั้นที่เป็นจริง...บุญบาปต่างๆ ก็เป็นเรื่องไร้สาระทำนองเดียวกัน....
จะเห็นได้ว่าคำสอนของจารวาก แม้จะแสวงหาความสุขเหมือนกัน แต่นัยของคำสอนแตกต่างจากคำสอนของพระพุทธศาสนา ...คำสอนจารวากแม้มีมานับเป็นพันปี แต่คนคิดเห็นทำนองนี้ ผู้เขียนเชื่อว่ายังมีอีกมาก...
คำสอนของกรีกโบราณก็มีเรื่องทำนองนี้เช่นเดียวกัน นั่นคือ เอปิวคุรุสเจ้าแห่งลัทธิเอปิวคิเรียน ได้จำแนกสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวกับชีวิตไว้ ๓ ประเภทคือ
๑. สิ่งที่ต้องการ และเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต
๒. สิ่งที่ต้องการ แต่มิใช่สิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต
๓. สิ่งที่ไม่พึงต้องการ และเป็นสิ่งไม่จำเป็นในการดำรงชีวิต
ตามแนวคิดเอปิวคุรุส ชีวิตต้องการปัจจัยสี่ ซึ่งจัดเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ...ชีวิตยังต้องการความสนุก สะดวก สบายและสิ่งอื่นๆ อีกมากมายเพื่อมาต้องสนองความพึงพอใจทางประสาทสัมผัส ซึ่งเอปิวคุรุสบอกว่า สิ่งเหล่านี้มิใช่ความจำเป็นพื้นฐาน แม้ว่าเราจะมีความต้องการก็ตาม...ส่วนสิ่งสุดท้ายก็คือ อำนาจ เกียรติยศ สรรเสริญ หรือความมีหน้ามีตา การยอมรับจากสังคมอื่นๆ เอปิวคุรุสบอกว่าเป็นสิ่งที่นอกเหนือความต้องการและความจำเป็นของชีวิต..
สรุปตามนัยเอปิวคุรุส ข้อแรกให้เราเลือกใช้ตามความจำเป็น ข้อที่สองให้เรารู้จักประมาณ และข้อที่สุดท้ายให้เราละเว้น ...ถ้าเราดำเนินชีวิตตามนัยนี้แล้วก็ชื่อว่าเกิดมาเพื่อแสวงหาความสุขอย่างแท้จริงของความเป็นมนุษย์ ...
แนวคิดเรื่องความสุขของจารวากและเอปิวคุรุส แตกต่างไปจากพระพุทธศาสนาอย่างไร ผู้เขียนจะค่อยเล่าต่อไป
กราบท่านอาจารย์ครับ สำหรับผมแล้วแนวคิดของเอปิวคุรุสก็น่าสนใจนะครับ ผมเห็นคนเยอะมากเรียงลำดับความสำคัญของทั้งสามข้อกลับกัน แล้วก็เห็นเขาไม่เจอความสุขเสียทีครับ
ส่วนตัวผมเองยังหาทางพยายามทำข้อหนึ่งให้ลงตัวอยู่ครับ ในข้อสองนั้นไม่แน่ใจ แต่ส่วนข้อสามนั้นผมโชคดีที่ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่เพราะเป็นคนมีนิสัยชอบสันโดษครับ
ผมเองก็ใช้วิธีทำงานที่เรียกว่า "First Things First" โดยแบ่งงาน (และเรื่องต่างๆ ในชีวิต) เป็นสี่กลุ่ม
มนุษย์จะเสียเวลาไปทำข้อหนึ่งกับข้อสามเสียเยอะ หลักการ FTF แนะนำให้พยายามทำข้อหนึ่งและสองให้ดี ส่วนข้อสามกับข้อสี่นั้นทำเท่าที่มีเวลาทำ
ผมนึกๆ ดูแล้วก็น่าจะใกล้เคียงกับแนวความคิดของเอปิวคุรุสอยู่เหมือนกันครับ
ผมจะรออ่านต่อนะครับ รู้สึกดีมากเชียวครับที่ได้รับธรรมจากท่านอาจารย์ครับ
เวลาบันทึก อาจารย์ช่วยกรุณาวงเล็บภาษาอังกฤษสำหรับชื่อ (อาทิเช่น เอปิวคุรุส) ด้วยได้ไหมครับ จะได้ไปค้นหาอ่านต่อครับ
อาจารย์ ธวัชชัย
ต้องขออภัยอาจารย์ด้วย อาตมามีข้อบกพร่องด้านภาษาอังกฤษหลายๆ ด้าน คือ อ่านก็ไม่ออก เขียนสะกดก็ไม่ถูก ...เพียงแต่พอรู้ไวยากรณ์และพออ่านจับประเด็นเฉพาะเรื่องที่มีพื้นฐานอยู่บ้างได้เท่านั้น
จะเล่านิทานส่วนตัวครับ...ตอนเรียน ป. ๕ ก็สนใจภาษาอังกฤษ แหละครับ ท่องศัพท์ทุกวัน แต่เทอมสุดท้ายเกือบจะไม่มีใครสอนเพราะคุณครูลาคลอด ..ป.๖ ย้ายโรงเรียน และมาอยู่โรงเรียนใหม่ก็ไม่ถูกชะตากับครูอังกฤษคนใหม่ ตั้งแต่นั้นมา อาตมาก็ตกอังกฤษมาตลอด...เพิ่งมาค่อยๆ สนใจอังกฤษจริงๆ ก็เมื่อความใคร่จะรู้บางสิ่งบางอย่างเพิ่มขึ้น และหนังสือภาษาไทยในเรื่องที่เราสนใจก็ไม่ค่อยมีให้อ่าน ซึ่งตอนนั้นอายุก็ย่างเลขสามนำหน้าแล้วครับ 5 5 5 ...
แต่ก็แปลกนะอาจารย์ อาตมาเขียนศัพท์อังกฤษไม่ถูก อ่านออกเสียงก็ไม่ถูก แต่อ่านหนังสืออังกฤษบางเล่มรู้เรื่อง... ขณะที่หลายๆ คนพูดอังกฤษได้ เขียนศัพท์ถูก แต่เค้าอ่านไม่รู้เรื่อง ต้องมาให้อาตมาช่วยแปลและอธิบายให้ฟัง 5 5 5
จนกระทั้งเดียวนี้ครับ ทุกครั้งที่จะเขียนศัพท์อังกฤษก็จะต้องหยิบหนังสือขึ้นมา.. แต่ต่อไปจะพยายามใส่ภาษาอังกฤษให้มากยิ่งขึ้น... สำหรับ เอปิวคุรุส คือ Epicurus ซึ่งอาตมาไปค้นดูก็มีอยู่เยอะ ครับ
เจริญพร