ตอนที่ผมเรียนอยู่ที่วิทยาลัยการสาธารณสุขภาคใต้ จังหวัดยะลา หรือ วสส.ยะลา ซึ่งในปัจจุบันชื่อว่าวิทยาลัยการสาธารณสุขสิริธร จังหวัดยะลา การเรียนที่นี่จบมาแล้วทำอะไรไม่ได้นอกจากการเป็นหมออนามัย เรามักจะเรียกกันว่าไปติดคุกทองคำ เพราะหากเอากันตามระเบียบแล้วเราจะไร้ซึ่งอิสรภาพ แม้ว่าจบมาทำงานก็เลือกอะไรมากไม่ได้ เราจึงตกเป็นอะไร ๆ ดังที่เห็นได้ในบันทึกนี้เป็น “ใบ้” ครับ
ในช่วงปีที่ 1 เทอมแรก (ปี 2532) กำลังเรียนภาคทฤษฎีกันอยู่นั้น วันนั้นทั้งวัน ผมรู้สึกไม่ค่อยดีนัก ไม่ค่อยสบายใจ มันร้อนรุ่มไปหมด บอกได้คำเดียวว่าอยากกลับบ้านเอามาก ๆ แต่การจะกลับบ้านไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ต้องมีการขออนุญาตล่วงหน้า และโอกาสน้อยมาก หากขอแล้วทางวิทยาลัยฯ ไม่อนุญาตก็จะยิ่งออกไปไม่ได้เลย การจะติดต่อไปยังที่บ้านด้วยทางโทรศัพท์ ก็ทำได้ยากมาก ต้องมีการไปบอกกันเป็นทอด ๆ และไกลกันมา ความรู้สึกที่บอกผมอย่างเดียวเลยคือ “ต้องกลับบ้าน”
และเมื่อเรียนคาบสุดท้ายเสร็จแล้ว ผมและเพื่อนคือ นกกระปูด (เสียชีวิตแล้ว) ซึ่งเป็นห่วงหากผมต้องเดินทางคนเดียว และขอเดินทางมาด้วย ก็ได้เริ่มดั้นด้น ออกเดินทางกันจากยะลาสู่พัทลุง เราสองคนโบกรถกันไปเรื่อย ๆ จนถึงบ้าน ในตอนเกือบเที่ยงคืน ที่บ้านเงียบเชียบ ไปเรียกถามคนข้างบ้านก็ได้ทราบว่าแม่นอนอยู่ที่โรงพยาบาลเขาชัยสน จึงได้ขอยืมรถแล้วขับไปหาแม่ที่โรงพยาบาล พบว่าแม่หลับอยู่ พ่อเป็นคนเฝ้า ถามจากพ่อก็ได้ความว่าแม่ขับรถแล้วล้มลงเสียเลือดไปมาก (ตกเลือด) ต้องให้เลือด
การให้เลือดของแม่ก็ได้รับบริจาคจากเหล่าตำรวจที่โรงพักบางแก้ว ซึ่งพี่ ๆ เหล่านั้นพอรู้เรื่องก็มากันเต็มคันรถ พี่ ๆ ตำรวจเหล่านี้มีเรื่องเล่ามากมาย คงจะต้องเล่าในบันทึกหลัง ๆ เอาเป็นว่าบันทึกนี้จะบอกเพียงทุกคนล้วนเป็นลูกแม่ทั้งสิ้น ก็ถามพ่อว่าทำไมถึงไม่บอกลูก ๆ ไปให้ทราบกัน พ่อบอกว่าแม่ไม่ให้บอก และหมอก็บอกว่าไม่เป็นอะไรมาก เพียงแต่เสียเลือดไปและอ่อนเพลีย อย่างอื่นไม่มีอะไรมาก ผมอยู่กับแม่ถึงวันอาทิตย์ และได้ติดต่อ พี่สาว-น้องชาย ให้ทราบเรื่อง เขาก็กลับมาเยี่ยมแม่กันในเช้า ๆ วันเสาร์นั้นเลย แม่ดีขึ้นมากแล้ว และได้พูดคุยกับหมอ หมอก็บอกว่าไม่เป็นอะไรมากจริง ๆ แม่ให้ผมกลับไปเรียนต่อ เพราะหากเราขาดเรียน แม่จะทุกข์ใจมากกว่าอีก อันนี้ผมทราบดี แม้จะอยู่ต่อก็ไม่ดีเท่ากับไปเรียนตามที่แม่บอก อีกไม่กี่วันพ่อก็โทรศัพท์ไปฝากข่าวไว้ที่ธุรการของวิทยาลัยว่า แม่ออกจากโรงพยาบแล้ว และมาพักที่บ้าน
จากเหตุการณ์ครั้งนั้นมีหลาย ๆ อย่างที่ทำให้ผมได้ทบทวนชีวิต สิ่งหนึ่งที่มองเห็นเลยคือ “เพื่อน - มิตร” ที่เป็นมหามิตร มีไม่มากนัก และไม่สามารถรู้ได้เลยว่าใครเป็นใคร หากแต่เมื่อถึงยามคับขัน ทั้ง “นกประปูด” และ พี่ ๆ ตำรวจ ที่เป็นลูก ๆ ของแม่ ล้วนแต่ได้คอยช่วยเหลือในยามที่เราต้องการความช่วยเหลือที่จำเป็นแล้วจริง ๆ พี่ ๆ ตำรวจเหล่านั้น ได้ช่วยเป็นธุระให้ตั้งแต่การเฝ้าบ้าน ดูแลบ้าน การไปรับ ไปส่งแม่ และคอยผลัดเวรกันเมื่อออกเวรตรวจแล้ว ไปดูแลแม่ สิ่งเหล่านี้ หากไม่ใช่แม่ได้ตระเตรียมไว้โดยนิสัยของแม่เอง และพ่อก็คอยเห็นดีเห็นงามให้การสนับสนุน คงไม่สามารถให้ผมและครอบครัวได้มองเห็นได้ในสิ่งที่วิเศษเช่นนี้
ในช่วงชีวิตคนเรา ได้เจอะเจอ "มิตรแท้" สักคนนับว่าเป็นบุญที่ได้เกิดมา มิตรแท้เพียงแค่คนเดียวมีค่ามากมายกว่าสหายร้อยพันที่ไม่จริงใจ เหตุการณ์บางอย่างชักนำให้เราได้มีโอกาสพบเจอ "มหามิตร" ที่เราไม่คิดไม่ฝันว่าเราจะได้เจอะเจอมาก่อน หากมองอีกมุมอาจเป็นเพราะผลบุญที่เขาเหล่านั้นได้ทำร่วมกัน จึงได้มาหนุนนำช่วยเหลือเกื้อกูลกันในชาติปางนี้ นี่ถือว่าเป็นการทำบุญร่วมกันที่วิเศษสุด
"ลางสังหรณ์" อาจมาในรูปของพลังจิตที่สื่อส่งมาจากสะสารบางตัวจากคนบางคน อาจมาในรูปกระแสคลื่นที่เราไม่จับต้องได้แต่สามารถสัมผัสได้ด้วยพลังจิตและใจ บ่อยครั้งมากที่ได้สัมผัสกับปรากฎการณ์เช่นนี้ "ลางสังหรณ์" บางครั้งมาในรูปของการเตือนภัยว่าจะเกิดเหตุร้าย บางครั้งรู้สึกและรับรู้ว่าเราต้องโชคดีในวันนี้ มันเป็นลางสังหรณ์ที่อธิบายอยากมากจริง ๆ ค่ะ
คุณชายขอบ...เชื่อไหมคะว่า...
สื่อสัมพัทธ์(ที่ดิฉันใช้เรียกประจำ)...ที่เคยมี...บางครั้งอาจเสื่อมลง...
เพราะเราทำลาย "จิต"...ที่สร้างสื่อนั้นขึ้นมา...
ความเสื่อมที่มาจากการทำลาย...นั้นจากห้วงอารมณ์...
อารมณ์แห่งเชิงลบ...
ทำไมเมื่อก่อน "สื่อ"...ที่ว่าจึงรุนแรงมีอนุภาพมาก...
เพราะเมื่อก่อนมีห้วงอารมณ์แห่งเชิงบวก...
และเมื่อใดก็ตามที่เรามีอารมณ์แห่งความโลภ โกรธ หลง....สื่อ...แห่งจิตที่ว่านั้นจะหายไป....
อาจารย์น้อง Vij
ชอบมากครับที่บอกว่า "มิตรแท้เพียงแค่คนเดียวมีค่ามากมายกว่าสหายร้อยพันที่ไม่จริงใจ" งั้นเราควรทำบุญร่วมกันกับมิตรเพื่อพบเจอกันในห้วงต่อไป ต่อ ๆ ไป ด้วยสิครับ
ผมกำลัง Clear Cut เรื่อง "ลางสังหรณ์" กับ ดร.ไสว เลี่ยมแก้ว อยู่ครับ บันทึกนี้เขียนขึ้นก็เพื่อบอกเล่าเรื่องลางสังหรณ์ที่ว่าด้วย แต่ผมพยายามอธิบายแบบวิทยาศาสตร์ให้ได้นะครับ (แค่พยายาม...ไม่ได้หวังว่าจะต้องสำเร็จครับ)
Dr.Ka-poom
การรับรู้เช่นนั้นของผมยังคงอยู่นะครับ และน่าจะเป็นไปตามเงื่อนไขนั้น (ยิ้ม ๆ)
อืม...น่าคิดนะคะ...ที่คุณชายขอบยังมี..
นั่นแสดงว่า...ห้วงอารมณ์นั้นปกติดี...
ไม่มีโลภ โกรธ หลง...น่าทึ่งดีแท้....
เจอกันที่บันทึกที่ถกกับ ดร.ไสวแล้วกันนะคะ...
เคยแอบย่อง ๆ เข้าไปดูค่ะ เรื่อง "ลางสังหรณ์" แต่ทราบมาว่าอดีต ดร.ไสว เลี่ยมแก้ว เป็นบุคคลที่มีคุณภาพของ มอ.ปัตตานี ค่ะ แต่ชื่อเสียงและความเป็นนักปราชญ์ของท่านยังคงอยู่คู่ มอ.ปัตตานี ค่ะ โดยเฉพาะเอกจิตวิทยาการศึกษาด้วยแล้ว...ไม่มีใครที่ไม่รู้จักชื่อเสียงของท่านค่ะ นักปราชญ์อยู่แห่งไหนความเป็นปราชญ์ยังคงอยู่คู่ตัวเสมอค่ะ เฉกเช่นเดียวกับผู้ที่แสวงหาความรู้อยู่เสมออย่างคุณ "พี่ชายขอบ" ขอให้งานที่กำลังอยู่ประสบความสำเร็จในเร็ววันนะคะ...เป็นกำลังใจให้เสมอคะ
การทำบุญทำแล้วจะรู้สึกสบายใจหากเราเดินเข้าไปด้วยใจอันบริสุทธิ์ ทำบุญกับมิตรแท้ย่อมพาเราพบเจอแต่สุขเสมอค่ะ และผลบุญอาจจะทำให้พบเจอกันในห้วงต่อไป ต่อ ๆ ไป
พี่เม่ย ครับ
งั้นขอเชิญพี่เม่ยได้ไปอ่านที่นี่ต่อครับ การทำงานของสมอง “คน”
คุณ เอช.เอ. บินมาหาฯ(แบนัง)
ลูกชายเรียนที่ วพบ.ยะลา ด้วยเหรอครับ น่าจะลองชวนมาเขียนบันทึกใน GotoKnow ดูนะครับ อืม! ตอนสมัยผมเรียนนี่เขาจะไม่รับผู้ชายเข้าเรียนที่นี่นะครับ ตอนนี้ไม่แน่ใจครับ
Dr.Ka-poom
ได้ครับ ลองตามไปต่อยอดที่บันทึก การทำงานของสมอง "คน" นะครับ
อาจารย์น้อง Vij
อ่านดูจาก คห.เสมือนหนึ่งจะรู้จักกับชื่อเสียงนามของ อาจารย์ ดร.ไสว เลี่ยมแก้วเป็นอย่างดี ผมอ่านจากประวัติท่านก็พบว่าปัจจุบันท่านอยู่ที่ จว.นครศรีฯ ครับ ใช่ครับท่านจะอยู่ที่ไหน ก็ได้ Gotoknow.org เป็นเวทีที่ทำให้เราได้พบกัน ลปรร.กัน อย่างน่าประหลาดที่ทำได้ถึงขนาดนี้
ขอบคุณคะคุณชายขอบ...
ดิฉันเห็นด้วยอย่างยิ่งที่เราจะพยายามอธิบายเรื่องเหล่านี้ด้วยกระบวนการวิทยาศาสตร์...
สำหรับงานที่ลงพื้นที่ไตรภาคีฯ...ดิฉันจะสรุป paper แล้วส่งให้นะคะ...
กะปุ๋ม
Dr.Ka-poom
จะพยายามเท่าที่ทำได้ครับ หากแต่คงจะได้รับการช่วยเหลือต่อยอดกันไปเรื่อย ๆ ตอนนี้ อ.ดร.ไสว ก็ช่วยเสีย 90% ครับ มีแผนจะไปกราบท่านที่ จว.นครศรีฯ เมื่อเวลาอำนวยให้ด้วยนะครับ จะถือโอกาสไปเยี่ยมเยือน เครือข่ายฯ ชาวนครฯด้วยพอดี
Paper ไตรภาคีฯ หากสรุปมาก่อน ก็จะดี เพราะกำลังเขียนรายงาน คงเป็น 3 Papers ที่จะเกิดขึ้น
ท่าน แบนัง
หากลูกชายท่านขาวเหมือนตอตะโก สำหรับผมนะขาวกว่านั้นอีกครับ มีน้องเขาบอกมาอีกที "พี่ ๆ พี่ขาวเหมือนตอเคี่ยมหมกลืมเลย" บุรุษพยาบาลมีความจำเป็นระดับหนึ่งที่สำคัฐเลยนะครับในระบบบริการสาธารณสุข ฝากบอกน้องเขาให้ภาคภูมิใจได้เลยครับว่า "จำเป็นจริง ๆ"
มิตรภาพ และสันติสุขคือสิ่งสวยงามที่ทุกคนปรารถนา
ขอเป็นกำลังใจให้ตัวเองและพี่น้องชาวใต้ค่ะ
พี่และครอบครัวโชคดีนะคะ ที่มีมิตรแท้ยามคับขัน หาได้ยากในสังคมทุกวันนี้ค่ะ
..
สวัสดีค่ะ
อ่านแล้วรู้สึกรักแม่มากค่ะ..ชอบบทสรุปนี้ค่ะ
****หากไม่ใช่แม่ได้ตระเตรียมไว้โดยนิสัยของแม่เอง และพ่อก็คอยเห็นดีเห็นงามให้การสนับสนุน คงไม่สามารถให้ผมและครอบครัวได้มองเห็นได้ในสิ่งที่วิเศษเช่นนี้****
การเห็นได้เช่นนี้แสดงว่าผู้เห็นก็ได้เตรียมต้นทุนไว้แล้วเช่นกัน.....เป็นกำลังใจให้ค่ะ