ในการประชุม กพอ. (คณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา) เมื่อวันที่ ๒๘ ธ.ค. ๕๐ มีการพิจารณาเรื่อง “โครงการเครือข่ายกลยุทธเพื่อการผลิตและพัฒนาอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษา ปี ๒๕๕๑” (ซึ่งผมจะบันทึกโดยละเอียดในบันทึกหน้า) ผมเกิดความเข้าใจว่าวิชาการไทยกำลังวิกฤตจากโรค “รากเน่า” หรือ “รากกุด” ทำให้กลายเป็นวิชาการไร้ราก
เพราะเรามุ่งเรียนเพื่อไปทำงาน ไม่มีการเน้นเรียนเพื่อให้เข้าใจลึกลงไปที่รากของวิชาการ ไม่เรียนประวัติ ที่มา ของวิชาการสาขาหรือด้านนั้นๆ ไม่เรียนวิชาที่เป็นพื้นฐานของความเข้าใจ มุ่งแต่เรียนเพื่อเอาไปใช้ทำงาน หรือเพื่อปฏิบัติ เราจึงขาดแคลนนักวิชาการหรืออาจารย์ที่รู้ลึกรู้จริงในศาสตร์สาขานั้นๆ
การเรียนเพื่อรู้ลึกรู้จริง มุ่งทฤษฎี ไม่มุ่งประยุกต์ ไม่เน้นการใช้งานหรือทำมาหากิน เป็นการเรียนที่ยาก และขาดแรงจูงใจ จึงไม่ค่อยมีคนอยากเรียน ประกอบเข้ากับสถาบันต้นสังกัดก็ไม่ให้คุณค่า เพราะมัวแต่เน้นวิชาการตื้นๆ เชิงประยุกต์ เน้นที่ประโยชน์ใช้สอย ผลคือบ้านเมืองของเราเวลานี้ในหลายศาสตร์มีผู้รู้จริงอยู่เพียงคนสองคนและเป็นผู้ที่อายุมากแล้ว
กรรมการ กพอ. จึงช่วยกันระบุชื่อสาขาวิชาที่เป็นรากฐานที่ต้องการพัฒนาผู้รู้จริงและรู้ลึกขึ้นมาให้แก่ประเทศ
วิจารณ์ พานิช
๒๘ ธ.ค. ๕๐
คำสอนที่อาจารย์ที่ปรึกษาผม (Prof. Dr. Anthony F. Norcio) บอกว่าเป็นหัวใจของการเรียนทั้งหมดคือ
Nothing is more practical than a good theory.
การเรียนปริญญาเอกของผมทั้งหมดคือการฝึกฝนและตีความประโยคนี้ครับ