เรียนท่านผู้อ่านที่เคารพรักทุกท่าน
บทความเรื่องนี้มี 4 ตอนค่ะ
ตอนที่ 1 นำเรื่อง
ตอนที่ 2 วิชาครอบครัวศึกษา
ตอนที่ 3 วิชารู้เท่าทัน
ตอนที่ 4 วิชาภูมิปัญญาไทย (จบ)
เพื่อความต่อเนื่อง และอารมณ์ที่ไม่ขาดตอน โปรดอ่านเรียงตอนตามลำดับนี้ ดิฉันขออภัยที่เขียนยาวๆ นิสัยนี้รักษายาก และแก้ไม่หายสักที
หากท่านกรุณาอ่านไปจนจบบทความนี้ได้ ดิฉันขอขอบพระคุณ และหากท่านรู้สึกว่ายาว และอาจอ่านไม่จบ ดิฉันก็ขอขอบพระคุณด้วยความรู้สึกเข้าใจเช่นกันค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ : )
สามวิชา...ที่ครูยุคหลังปฏิรูปการศึกษา ต้ อ ง รี บ ส อ น !
: วิชาภูมิปัญญาไทย
วิชาภูมิปัญญาไทย เป็นวิชาสุดท้ายที่ไม่พึงสอนไปตามกระแส และมิใช่มองเพียงแค่การสร้างและผลิตสินค้าออกมาขายตามๆกันที่ละหนึ่งอย่าง เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมการขายและการท่องเที่ยวแต่ถ่ายเดียว แต่พึงมองหาให้เห็น วิถีไทย แก่นแท้และจิตวิญญาณของไทยก่อนจึงจะสอนได้
วิชาภูมิปัญญาไทย เป็นภูมิปัญญาในระดับนามธรรม ที่ต้องอาศัยครูที่มีวิญญาณครูของแท้ร่วมกันสร้าง อาศัยคนไทย ทีมีหัวใจไทย ร่วมกันสร้างหากคิดทำเทียมจะไม่มีวันสร้างได้ สุดท้ายก็จะหากรากไม่เจอ เพราะมองไม่เห็นจิตวิญญาณที่แท้ ต้องเป็นของแท้เท่านั้นจึงจะมองเห็น
ความมีน้ำใจ ความเสียสละ ความเอื้ออาทร ความซื่อสัตย์ ความกตัญญูกตเวทิตา ความมีสัมมาคารวะ ความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวและรวมถึงคุณธรรมและองค์ประกอบต่างๆในความเป็นมนุษย์และความเป็นคนไทยที่ดี
เหล่านี้ เป็นภูมิปัญญาที่ทำให้คนเป็นมนุษย์ ทำให้มนุษย์สามารถรวมตัวกันเป็นครอบครัว เป็นชุมชน เป็นชาติ และทำให้มนุษย์ชาติอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ
ภูมิปัญญาเหล่านี้ ได้เปิดพื้นที่ให้เราเห็นชัดขึ้นเมื่อเกิดวิกฤต อาทิการสามัคคี จับมือรวมตัวกันของชุมชนอุดมการณ์ทั้งหลาย กลุ่มสัจจะออมทรัพย์ของชาวบ้าน การกลับไปสู่วิถีชีวิตแบบเกษตรดั้งเดิม การรู้เท่าทันโทษของความโลภ และความรู้จักพอ การให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุที่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกหลาน อันเป็นรากฐานที่มั่นคงของความเป็นครอบครัวไทย ที่ยึดโยงไว้อย่างเหนียวแน่น ด้วยความกตัญญู เป็นต้น
ทั้งสามวิชาที่กล่าวมา คือ วิชาครอบครัวศึกษา วิชารู้เท่าทัน และ วิชาภูมิปัญญาไทยนี้ ต้องอาศัยทั้งสามัญสำนึกและจิตสำนึก ของทั้งผู้สอนและผู้เรียน และอาศัยการสอดแทรกวิธีคิด แทรกซึมอย่างแนบเนียน วิชาทั้งหมดที่กล่าวมานี้จึงจะสัมฤทธิ์ผล
โดยออกแบบการเรียนการสอน ที่เปลี่ยนจากครูเป็นศูนย์กลาง เป็นการเรียนการสอนแบบมีส่วนร่วม (ครูกับเด็กช่วยกันศึกษา) แบบแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (ครูกับเด็กเรียนรู้จากกันและกัน และพร้อมที่จะเรียนรู้จากทุกคน) แบบห้องเรียนไร้พรมแดน(ครูกับเด็กมองเห็นว่าทุกที่ทุกสถานการณ์ คือการเรียนรู้) และแบบรู้จักรัก รู้จักให้โดยไม่หวังผล ซึ่งจะได้กล่าวถึงอย่างเป็นรูปธรรมในโอกาสต่อไป
และสุดท้าย สิ่งที่ลืมเสียมิได้คือหน้าที่ของครูในการรีบศึกษาหาความรู้ จนเป็นผู้รู้และเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงจิตวิญญาณของความป็นครอบครัว ความรู้เท่าทันความเป็นไปของสังคมโลกและชีวิต ทั้งที่เป็นไปจริงๆ และที่ผ่านการประกอบสร้างของสื่อ และสุดท้ายคือการมองเห็นคุณค่าและตระหนักถึงความลึกซึ้งของภูมิปัญญาไทย ที่มิใช่การลดทอนลงมาให้เหลือเพียงเทคนิคการผลิตสินค้าและบริการ อันมีเป้าหมายเพื่อทำมาหาเงินแต่เพียงอย่างเดียว
นับเป็นโชคดีของเราทุกคน ที่มีสื่อการสอนเป็นวิกฤตการณ์ร่วมสมัย เราสามารถชี้ให้เด็กๆเห็นเป็นรูปธรรมได้ว่าด้วยวิธีคิดที่ผิดทำให้เกิดวิกฤตแก่ชาติและแก่โลกของเราอย่างไรบ้าง บางทีการย้ำซ้ำด้วยรูปธรรมเหล่านี้ก็จำเป็น คนข้างหลังเราจะได้เจ็บแล้วรู้จักจำ ไม่ทำผิดซ้ำๆให้บรรพบุรุษน้ำตาร่วงเยี่ยงนี้
...เพราะต่อให้ผูกริบบิ้นเหลืองรอบต้นโอ๊คอีกกี่พันเส้น... ก็ไม่อาจเรียกชีวิตพวกเขากลับคืนมาได้อีกเลย!
--------------------------------------------------------------------------------------------------
สุขุมาล จันทวี เขียนที่ สถาบันราชภัฏนครศรีธรรมราช เมื่อ 23 เมษายน 2546
สอดแทรกในทุกวิชาเลยครับ
ผมเห็นด้วยกับอาจารย์สุขุมาลทุกประเด็นหลักครับ ในที่นี้ หมายถึงทั้งสามวิชาที่อาจารย์เสนอมา นับว่าน่าสนใจทุกประเด็น
แต่ผมลองจินตนาการชั้นเรียนของสามวิชานี้แล้วไม่ค่อยจะเห็นภาพครับ คงเป็นเพราะผมไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่เคยเรียน ไม่เคยสอน แต่ก็นับว่าท้าทาย อาจจะต้องสอดแทรกเหมือนที่คุณตาหยูบอกนะครับ คือจะสอนกันตรงๆ มันจะแห้ง ไม่น่าสนใจ อาจจะต้องสอดแทรกในกิจกรรม ซึ่งจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้สอนเป็นสำคัญ ถึงวันนี้ ผมก็ยังคิดว่าไม่มีอะไรมาแทนผู้สอนที่ดีได้ ไม่ว่าจะคอมพิวเตอร์ หรือเรียนออนไลน์ ล้วนเป็นเพียงหนทางการเข้าถึงผู้เรียน
ผมไม่ได้หมายความว่าหนทางไหนก็เหมือนกันหมดนะครับ เรียนออนไลน์ เรียนในห้อง ต่างกันแน่นอน นั่นยิ่งต้องเน้นความสำคัญไปที่ผู้สอน ที่จะสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการไปตามหนทางที่เปลี่ยนแปลง
อีกประเด็นที่ผมสังเกตคือ ส่วนใหญ่คนจะเขียนบล็อกนำเสนอทิศทาง หรือแนวคิด แต่ไม่ค่อยจะมีใครเขียนตัวอย่างวิธีการนำไปปฏิบัติ หลายๆ ท่านนำเสนอแนวทางดีๆ แต่ผมมองไม่ออกว่าจะใส่ในชั้นเรียนได้อย่างไร
แน่นอนครับ เรื่องแบบนี้ แต่ละห้องแต่ละชั้นย่อมต่างกันไป แต่การเอาประสบการณ์มานำเสนอ ให้ผู้อื่นได้ปรับเปลี่ยน ลองกับตัวเองดูก็น่าสนใจ
เอ... หรือผมจะอ่านไม่เจอเองก็ไม่ทราบนะครับ
เอาเป็นว่าผมคิดอะไรออกก็จะลองแลกเปลี่ยนกันดูนะครับ
ขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะ อาจารย์ดอกไม้ทะเล (และคุณเบิร์ด ผู้จุดประกายประเด็นสำคัญ)
ได้อ่านทั้งบันทึกคุณเบิร์ดและทั้งสามตอนที่คุณดอกไม้ทะเลเขียนในหัวข้อต่างๆ
ตัวเองจบการสื่อสารมวลชนหรือนิเทศศาสตร์(ป.ตรี) ป.โท จบพฤติกรรมการสื่อสาร ป.เอกทำวิทยานิพนธ์จนพบปริศนาหรือรหัสลับของภูมิปัญญาท้องถิ่นไทย ที่จริงไม่ลับแต่มักถูกมองข้าม คิดว่าพอจะช่วยอะไรอาจารย์ได้บ้างมั้ยคะ
ที่จริงเข้าใจทุกอย่างที่อาจารย์เขียน และคิดว่าการให้เด็กได้ซึมซับเรื่องเหล่านี้ต้องบูรณาการเข้ากับวิชาอื่นๆ อาจารย์ผู้สอนในหลายวิชาต้องร่วมมือกันอย่างมาก น่านำเรื่องการจัดการความรู้เข้าไปใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการบูรณาการวิชา ตัวอย่างการบูรณาการวิชาต่างๆเข้าด้วยกันอย่างสอดคล้องกลมกลืน สำเร็จดีเยี่ยม ดูได้จากโรงเรียนจิรศาสตร์ศึกษา อยุธยา (เป็นการชวนอาจารย์มาเที่ยวอยุธยาทางอ้อมนะคะ)ที่จริงสคส.คงจะมีหนังสือที่เขียนเรื่องนี้อยู่
อาจารย์เขียนยาวๆน่ะดีแล้วค่ะ มีสาระ มีความในใจเยอะได้แบ่งให้รู้กันทั่วๆ ตัวเองพูดมามาก เขียนมาก็เยอะแล้ว แถมพิมพ์ภาษาไทยได้ช้ามาก เลยต้องเขียนยาวพอประมาณค่ะ
ยินดีและดีใจที่อาจารย์แวะมานะคะ อาจารย์วสะ
และขอบพระคุณที่ให้แนวทางดีๆนะคะ นอกจากนำเสนอแนวคิดแล้ว ควรชี้ให้เห็นรูปธรรมของการปฏิบัติด้วย ดีจังค่ะ
ช่วงต่อไปดิฉันจะลองนำเสนอวิธีทำเป็นกระบวนการด้วย ไม่ทราบจะออกหัวออกก้อยประการใด แต่ก็เต็มใจเล่าสู่กันฟังนะคะ
ชอบที่อาจารย์เล่าประสบการณ์การเรียนการสอน ถ้ามีเรื่องดีๆจากเมืองนอก อย่าลืมมาเล่าให้ฟังอีกนะคะ
ดิฉันก็ไปโพสต์ตอบในบันทึกของอาจารย์เสียยืดยาว เวลาเข้าบันทึกเพื่อนแล้วคิดออกอะค่ะ ...เป็นงี้ทุกทีเลย.... : )
สวัสดี ครับ คุณน้องดอกไม้ทะเล
ขอชื่นชมในความเป็นคนไทยที่สมบูรณ์
สวัสดีค่ะ อาจารย์พี่ชำเลือง
ขออนุญาตเรียกอาจารย์ว่า "พี่" ด้วยความเคารพค่ะ และขออนุญาตแทนตัวว่า แอมแปร์ นะคะ แม้ชื่อจะเป็นภาษาฝรั่ง(เศส) แต่ทั้งตัวและหัวใจเป็นไทยร้อยเปอร์เซนต์ค่ะ : )
ตามมาเก็บความรู้ที่ตกหล่นเกลื่อนต้นเลย เดี๋ยวจะปีนขึ้นไปเอาบนต้นด้วย
สวัสดีอีกทีค่ะพี่บางทราย
ขอบพระคุณพี่บางทรายมากๆนะคะ ที่กรุณาแวะมาแทบทุกบันทึกที่แอมแปร์รัก
แอมแปร์รักบันทึกทั้งสี่บันทึกที่เขียนไปนี้นะคะ เพราะเป็นบันทึกที่เขียนจากหัวใจ ถึงลูกศิษย์หนึ่ง ถึงผู้ที่จะเป็นพ่อแม่คนในอนาคตหนึ่ง ถึงผู้รู้และเข้าใจหัวใจของภูมิปัญญาไทยหนึ่ง และถึงทุกคนที่สามารถช่วยกันให้เกิดการรู้เท่าทันการสื่อสารได้อีกหนึ่ง
แอมแปร์เขียนในฐานะคนธรรมดา ที่อยากทำหน้าที่ให้สุดกำลังที่มี และแอมแปร์ก็มีกำลังเท่านี้จริงๆ คือเท่าที่บ่นเพ้อพร่ำไปอยู่ในบล็อก
และเมื่อมี "คนที่ไม่ธรรมดา" อย่างพี่บางทรายแวะเข้ามาอ่าน และให้กำลังใจว่าสิ่งที่แอมแปร์เล่ามาเป็นความรู้ (และถึงจะตกอยู่เกลื่อนต้น พี่ก็ไม่มองเป็นสิ่งไร้ค่า) แอมแปร์ย่อมต้องดีใจจนออกนอกหน้า เป็นธรรมดา อะค่ะ : )
พี่กำลังมาย้ำว่า สิ่งที่น้องแอมป์คิด ทำอยู่นี่นะมันสำคัญมาก ต่อการสร้างสังคม สร้างประเทศ สร้างคน ครับ มาสนับสนุนครับ
สวัสดีค่ะพี่บางทราย
ขอบพระคุณพี่บางทรายมากๆค่ะ แอมแปร์เข้าใจค่ะ : ) (และยอมรับว่าที่พยายามทำนี้ ยากหนักหนาแสนสาหัสจริงๆ) อย่างไรก็ตาม แอมแปร์รู้สึกรื่นเริงบันเทิงใจมากที่ได้มีโอกาสเข้ามาที่ G2K แห่งนี้ และได้พบว่ามีผู้ทำสิ่งยาก หนักหนาและสาหัสกว่าเรามากมายนัก
เลยรู้สึกมีกำลังใจที่จะกลิ้งขลุกๆๆๆทำต่อไปอะค่ะ : )
มาบอก(เขียน)เล่าบ้างว่า บางทีกำลังใจก็กลิ้งขลุก ๆ จะไปในทิศไหนหรืออย่างไร
วิตกกังวลเหมือนกันค่ะ
สวัสดีครั้งที่สองสำหรับปีนี้ค่ะคุณหมอเล็ก
พี่แอมป์อยากบอกอย่างมั่นใจ ว่า"เข้าใจ" และเชื่อมั่น ในกำลังใจและจิตใจที่ดีงามของคุณหมอเล็กอยู่เสมอค่ะ
เชื่อว่าคุณหมอเล็กได้ก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาแห่งความกังวลไปแล้ว และเชื่อว่าลูกศิษย์ของคุณหมอเล็กคงได้เรียนรู้ทั้งกระบวนความรู้และความละเอียดอ่อนลึกซึ้งในความเป็นมนุษย์ ที่รวมอยู่ในตัวครูของพวกเขาแล้ว
ขอตอบสั้นๆอย่างมั่นใจเช่นนี้นะคะ ^_^