เรียนท่านผู้อ่านที่เคารพรักทุกท่าน
บทความเรื่อง สามวิชา...ที่ครูยุคหลังปฏิรูปการศึกษา ต้ อ ง รี บ ส อ น ! นี้ ได้เขียนไว้ตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2546 ข้อมูลในส่วนนำเรื่อง จึงอาจไม่เป็นปัจจุบัน แต่ดิฉันขอคงไว้ เพื่อยืนยันกับคุณเบิร์ด ว่าในการขึ้นต้นบทความ …ฤาจะรอจนสิ้นชาติ ?....จึ่งฟื้นฟู นั้น เราใจตรงกันโดยมิได้นัดหมาย
บทความเรื่องนี้มี 4 ตอนค่ะ
ตอนที่ 1 นำเรื่อง (ที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้)
ซึ่งออกจะยาวอยู่บ้าง เพราะความด้อยประสบการณ์ของผู้เขียน แต่ตอนเขียนนั้น รู้สึก "มันส์" มาก และอยากทำให้ฝันเป็นจริงเหลือเกิน และดูท่าว่าจะเป็นฝันไปเรื่อยๆจนเกษียณ แต่ดิฉันก็ยังคงมุ่งมั่นจนออกนอกหน้าต่อไป
ตอนที่ 2 วิชาครอบครัวศึกษา
ตอนที่ 3 วิชารู้เท่าทัน
ตอนที่ 4 วิชาภูมิปัญญาไทย (จบ)
เพื่อความต่อเนื่อง และอารมณ์ที่ไม่ขาดตอน โปรดอ่านเรียงตอนตามลำดับนี้ ดิฉันขออภัยที่เขียนยาวๆ นิสัยนี้รักษายาก และแก้ไม่หายสักที
ขอบพระคุณค่ะ : )
สามวิชา...ที่ครูยุคหลังปฏิรูปการศึกษา
ต้ อ ง รี บ ส อ น !
มีคำถามจากครูจำนวนมากว่า ต่อไปนี้เราจะสอนวิชาอะไร.. .เมื่อเกิดวิกฤตสามประการของชาติไทยและของโลก คือวิกฤตเศรษฐกิจไทย พ.ศ.2540 วิกฤตการณ์วันช็อคโลก 11 กันยายน 2544 และวิกฤตสงครามอิรัก ที่ดำเนินไปท่ามกลางเสียงประณามของชาวโลกที่มิได้กระหายสงคราม แต่ไร้อำนาจในการตัดสินใจ เราจึงหยุดคุณบุช คุณแบลร์ คุณซัดดัม และคุณอะไรต่อมิอะไรไว้ไม่ได้
วิกฤตทั้งสามประการนี้ ได้กระชากมนุษย์ทุกคนออกมารวมกันข้างนอก ชี้ให้คนไทยเกือบทั้งชาติได้เห็นความจริงว่าตัวเลขอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำให้หลงคิดว่าเป็นความมั่งคั่งนั้นล้วนเป็นภาพลวง ดินต่างหากคือทุนที่เป็นจริง และด้วยเครื่องบินที่พุ่งชนตึกสามลำแต่สะเทือนขวัญไปทั้งโลก ก็ทำให้เราได้เห็นว่า หากไม่สอนลูกหลานเราให้เริ่มจากวิธีคิดที่ถูกต้อง มันก็จะกลับมาสนองคนรุ่นเราให้ถึงแก่ชีวิต
แล้วมันก็กลับมาให้เราเห็นทันตาในวิกฤติสงครามอิรัก ที่ไม่ใช่แค่การคิดทำลายล้างกันเฉยๆ แต่เป็นการส่งผ่านวิธีคิดในการรับรู้ความจริงเพียงเสี้ยวเดียว... แถมยังเป็นเสี้ยวที่ประกอบสร้างโดยสื่อมวลชนที่มีอำนาจสั่งการให้เราคิดได้เท่าที่เห็น เขาส่ง(สั่ง)ให้เราเห็นอะไร เราก็เห็นได้เท่านั้น ข่าวสารข้อมูลความเป็นความตายความโหดร้ายและความทุกข์ยากของสงคราม และความรู้สึกเห็นอกเห็นใจอย่างลึกซึ้งในชะตากรรมและความทุกข์ยากของผู้อื่น ถูกลดทอนให้เหลือเพียงภาพใครถล่มใครที่ไหน อะไรระเบิดไปบ้าง อำนาจการทำลายล้างยิ่งใหญ่แค่ไหน เร้าใจขนาดไหน
ธรรมชาติด้านมืดของมนุษย์นั้นน่ากลัวนัก.... โดยเฉพาะเมื่อถูกทำให้คิดว่าชีวิตบนจอทีวีเป็นแค่ตัวละคร หรือตัวเล่นในเกมสงคราม ดังนั้นที่ตายๆไปบ้างก็ไม่เป็นไร ที่เจ็บก็เจ็บไป ไม่เป็นไร......ไม่ใช่เรา
ถามว่าวิกฤตสามประการที่ปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรม ถ่ายทอดผ่านสื่อมวลชนครั้งแล้วครั้งเล่าให้เราเห็นเป็นความถี่ซ้ำๆนี้ อยู่ในวิชาอะไร หากคำตอบของท่านเจาะจงไปที่วิชาใดวิชาหนึ่ง แปลว่าท่านกำลังคิดแบบแยกส่วน และหากท่านตอบว่าทุกวิชา ก็อาจมิได้แปลว่าท่านกำลังคิดแบบองค์รวม ดังนั้นจึงสมควรติดตามอ่านบทความนี้ต่อไป
เบื้องหลังของวิกฤตทั้งสามเรื่องนี้ ส่วนหนึ่งอาจจะอยู่ที่ วิธีคิด ที่ว่า ใครมีอำนาจและเป็นตัวแทนของการใช้อำนาจคนนั้นก็มีสิทธิ์ตัดสินใจ และกำหนดคำตอบให้ทุกคน
และส่วนหนึ่งของการถ่ายทอดวิธีคิดเช่นนี้เป็นผลมาจากระบบการศึกษา เพราะถูกสอนกันมาให้เชื่อและอยู่ในอำนาจ ด้วยระบบการศึกษาแบบที่แยกมนุษย์ออกเป็นพวกตามชุดความรู้ แยกความรู้ที่ควรจะเชื่อมโยงสัมพันธ์กันได้ออกเป็นชุดย่อยๆ จัดความรู้นั้นใส่กรอบของศาสตร์ สอนให้รู้ในกรอบของศาสตร์ที่คิดว่าต้องรู้เพียงเท่านั้น โดยมิพักตั้งคำถามว่าเบื้องหลังของศาสตร์นั้นมีที่มาอย่างไร ควรจะนำไปใช้หรือไม่ และควรจะนำไปใช้อย่างไร
แปลว่าเชื่อในอำนาจของความรู้นั้น ว่าจะช่วยให้หาประโยชน์ใส่ตนได้ และประทับตราการรู้ของคนด้วยการนับเลขเป็นปริมาณ ดูๆไปคะแนนหรือเกรดก็ไม่ผิดกับตัวเลขในตลาดหุ้น ยิ่งได้ตัวเลขมากกว่าก็แปลว่ายิ่งเหนือกว่า จากนั้นก็เอาตราประทับให้ว่ารู้ แล้วก็รับใบรับรองไปคนละใบ ส่วนจะรู้จริงรู้แจ้งหรือไม่นั้นก็ตัวใครตัวมัน และจะเหลือความเป็นมนุษย์ที่ดีอยู่แค่ไหน ก็ตัวใครตัวมันเหมือนกัน
เมื่อออกไปสู่โลกแห่งความเป็นจริง ผู้มีการศึกษาเหล่านั้นจึงยังคงใช้หลักคิดแบบเดิม ต้องได้มามากๆ ต้องได้มาโดยง่าย(ไม่ต้องวัดมิติอื่นนอกจากตัวเลขและปริมาณ) และต้องเป็นฝ่ายได้เปรียบเสมอ ไม่เป็นไร....ตราบเท่าที่คนที่เสียเปรียบนั้นไม่ใช่เรา
ระบบการศึกษา ได้ทำให้ความได้เปรียบในทุกๆด้านของคนกลุ่มหนึ่งกลายเป็นความชอบธรรม และความเสียเปรียบของคนกลุ่มใหญ่กลายเป็นเรื่องธรรมดา ด้วยฐานคิดแบบที่คุณชารลส์ ดาร์วินว่าผู้ที่แข็งแรงกว่าเท่านั้นจึงจะอยู่รอด
ความเสมอภาคในความเป็นมนุษย์ ถูกทำลายหายไปด้วยระบบการศึกษาทั้งแบบแพ้คัดออก การตัดสินความเป็นมนุษย์จากความเป็นมนุษย์ที่เก่งกว่า และความเป็นมนุษย์ที่เก่งที่สุด ทำให้เกิดวัฒนธรรมใหม่ในจิตวิญญาณของคนรุ่นหลัง “ยิ่งเอาเปรียบได้มากเท่าไหร่ ยิ่งน่าภูมิใจมากขึ้นเท่านั้น” แปลว่าความเห็นแก่ตัวคือความฉลาด ความมีน้ำใจคือความโง่ และความเสียสละคือความโง่ที่สุด หากเชื่อว่าระบบสร้างคนได้ และกลืนคนได้ เราจำนวนมากก็ถูกสร้างมาโดยระบบคิดเช่นนี้ และถูกกลืนด้วยวิธีคิดอย่างนี้ไปเรียบร้อยแล้ว
ในเมื่อรั้วโรงเรียน เคยถูกใช้เป็นที่ปิดล้อมกล่อมคนให้เข้าสู่วิธีคิดวัตถุนิยม ที่เห็นวัตถุสำคัญกว่าจิตใจ บริโภคนิยมที่เห็นว่าการได้มาเพื่อเสพมากๆนั้นเป็นสิ่งดี และทุนนิยมที่เห็นทุกสิ่งเริ่มจากเงินเป็นตัวตั้ง มีเงินเป็นหลักคิด และมีเงินเป็นตัวขับเคลื่อน สอนคนให้เข้าสู่วงจรมนุษย์เงินเดือน เป็นมนุษย์เก็งกำไรที่อยากได้มากๆโดยไม่คิดสร้างขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของตน ไม่สอดคล้องความเป็นจริงตามกฎธรรมชาติ จนกระทั่งเกิดวิกฤตสามประการขึ้นมาให้เราเห็นทันตาในชาตินี้
วาทกรรมอันยิ่งใหญ่นี้ล้วนถูกผลิตซ้ำ ถ่ายทอด ส่งผ่าน จากรั้วโรงเรียนทั้งสิ้น
จำเราจะต้องลุกขึ้นมา ช่วยกันพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ใช้รั้วโรงเรียนเป็นกรอบสร้างวิธีคิดใหม่เพื่อ ต่อสู้ฟาดฟันกับภัยร้ายสามตัวนี้ ด้วยวิชาพื้นฐานอย่างง่ายสำหรับชีวิตสามวิชา ที่ครูในยุคปฏิรูปการศึกษาต้องรีบสอน
........หนึ่ง วิชาครอบครัวศึกษา สอง วิชารู้เท่าทัน และสาม วิชาภูมิปัญญาไทย.....
สามวิชาอย่างง่าย ที่ครูไทยจำนวนมากที่ตาสว่างมองเห็น (มาก่อนหน้าที่จะเกิดบทความนี้) ทุกท่านต่างก็กำลังทำงานหนักสอนสั่งปลูกฝังลูกศิษย์ของท่านอย่างรีบเร่ง เพราะท่านรู้ว่าหากช้าไปจะไม่ทันการณ์
เพราะเรากำลังจะมี พ่อ แม่ ลูก แบบไม่ได้เจตนาอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ลูกหลานเราจะอยู่ภายใต้อิทธิพลของการโฆษณาชวนเชื่อแบบต่างๆที่รุนแรงผ่านสื่อมวลชนที่แยบยลร้ายลึกกว่าสมัยคอมมิวนิสต์ และเหลนโหลนภายหน้าของเรากำลังจะหัวแดงตัวขาวด้วยไวท์เทนนิ่งที่ดูคล้ายจะใช่ แต่ไม่ใช่(ฝรั่ง) แถมยังคิดอะไรเองไม่เป็น ต้องเดินตามหลังภูมิปัญญาของคนอื่นเขา และตกเป็นอาณานิคมทางจิตวิญญาณในที่สุด
เมื่อถึงวันนั้น..... ใครจะร้องจะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง
----------------------------------------------------------------------------------------
![]() |
แนวคิด แนวรับรู้สู่การปฏิบัติ การเปลี่ยนแปลง ถ้าระบบคิด หรือ วิธีคิดที่ถูกต้อง จะนำสู่การปฏิบัติที่เป็นจริง จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ถูกต้อง ขอบคุณ คุณ แอมป์ ได้ชี้แนวความคิดที่ได้ถึงเหตุผล
ขอบคุณมากๆครับ
![]() |
![]() |
ขอบพระคุณ คุณสิทธิรักษ์ที่กรุณาเข้ามาวิเคราะห์ต่อยอดให้หลายๆบันทึก ครบความนะคะ ดิฉันก็ทำได้เพียงเสนอแนวคิดแบบบ้านๆ มีผู้รู้มาช่วยวิเคราะห์แนวคิดให้ก็ทำให้เกิดมุมมอง
ชอบคำว่า ระบบคิด จังค่ะ ดิฉันยังเป็นแค่คนชอบคิด แต่ยังไม่ถึงขั้นคิดเเป็นระบบ ต้องฝึกตัวเองอีกเยอะค่ะ : )
โดนครับโดน .. เขียนเหมือนที่ผมคิด .. ที่ไม่เห็นผมเขียน ก็เพราะเขียนอย่างไรก็ไม่ได้อย่างที่ท่านเขียนครับ .. ขอบคุณที่คิดเหมือนกันครับ
อย่างไรก็ตาม หลักฐานก้พอจะมีให้เห็นอยู่บ้างดังนี้ครับ
อาจารย์Handy คะ
ดีใจจังค่ะที่อาจารย์แวะมา ดิฉันก็เพิ่งแวะไปเยี่ยมบันทึกอาจารย์ คือว่า สวนกันไปสวนกันมาอยู่สองราชภัฏ ..... : )
ดิฉันจะแวะตามไปอ่านนะคะ ขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ
ตามมาเอาความรู้ใส่รถกลับบ้าน ไปนอนศึกษาอย่างละเอียดครับน้องครับ
สวัสดีค่ะพี่บางทราย
แอมแปร์ก็วิ่งตามมาส่งถึงรถเลยอะค่ะ : )
ดีค่ะ อยากให้คนไทยได้อ่านและทำความเข้าใจในเรื่องนี้ให้มาก
สวัสดีค่ะ คุณไม่แสดงตน
ขอบพระคุณอย่างสูงที่แวะมาในบันทึกนี้นะคะ ดิฉันเขียนบันทึก สามวิชาฯ นี้ไว้นานมากแล้ว และเขียนด้วยความรู้สึกล้วนๆ จึงออกจะหวั่นๆเป็นอันมากเมื่อตัดสินใจเผยแพร่บันทึก เพราะเนื้อหานั้นหาความเป็นวิชาการอะไรมิได้ นอกจากความคิดเห็นแบบไม่เป็นทางการของดิฉันคนเดียว แถมยังมองไม่เห็นเป็นรูปธรรมอีกต่างหาก
แต่ด้วยความที่ดิฉันนึกเข้าข้างตัวเองว่าครูที่ "เห็น" ความจริงนี้มาก่อนดิฉัน และทำงานนี้มาก่อนหน้านี้แล้วอย่างเงียบๆโดยไม่ได้ประกาศตน มีอยู่แล้วนับร้อยนับพันและนับหมื่นในเมืองไทย ดิฉันจึงตั้งหน้าตั้งตาเขียนและทำต่อไปด้วยความสบายใจ เพราะการตัดสินใจลงมือทำในสิ่งที่เราเห็นแล้วว่าเราต้องทำ(และเห็นไปล่วงหน้าถึงคุณค่าที่จะเกิดขึ้นแก่ส่วนรวม) โดยไม่ต้องรอให้ใครมาสั่งให้เราทำนั้น เป็นชีวิตที่เป็นอิสระและมีความสุขเหลือแสน ไม่ว่าเราจะอยู่ในกรอบของอะไรก็ตาม
เมื่อถึงวันที่เราแก่เอ๊ยโตพอที่จะ "เข้าใจ" เราก็จะได้เห็นว่า "กรอบ" ไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นเงื่อนไขที่ท้าทายสติปัญญา ทำให้ชีวิตสนุกสนานเป็นที่ยิ่ง และเราจะสนุกสนานต่อไปได้จนเกษียณ หากเราทำเพราะเห็นคุณค่าโดยไม่สนใจมูลค่า เพราะสิ่งที่ได้มาไม่ใช่วัตถุ แต่เป็นมนุษย์ที่(เราอาจหวังได้ว่า)ฝึกมาดีแล้ว
ขอบพระคุณสำหรับความเห็นที่เปี่ยมไปด้วยการให้กำลังใจที่ดียิ่งนะคะ ดิฉันหลับไปตื่นหนึ่งแล้วลุกขึ้นมาว่าจะทำงานสักนิดแล้วจะนอนต่อ บังเอิญเปิดเมลแล้วได้เห็นลิงก์เตือนก็เลยตามเข้ามาในบันทึก และได้พบกำลังใจที่น่ารักในยามดึก จึงล็อกอินเข้ามาตอบด้วยความขอบคุณยิ่งค่ะ : )
ว่าแล้วก็เลยคิดถึงน้องสาว เบิร์ด
ที่เป็นแรงบันดาลใจให้โพสต์บันทึกนี้ด้วย ดิฉันก็ยุ่งๆอยู่นานไม่ได้สื่อสารกับน้องนานแล้ว ขออนุญาตถือโอกาสฝากความระลึกถึงน้องเบิร์ดผ่านบันทึกนี้เลยนะคะ : )
กำลังติดตามอ่านด้วยใจจดจ่อครับผม ขอบพระคุณมากครับ
สวัสดีด้วยความเคารพค่ะท่าน ผอ.บวร
ขอบพระคุณอย่างสูงที่ท่านติดตามอ่านบันทึกค่ะ ดิฉันเขียนบทความไว้ตั้งแต่ปี 2546 ตัวอย่างที่ยกมาเลยอาจไม่เข้ากับยุคสมัยบ้างนะคะ อย่างไรก็ตามดิฉันก็เพียรเขียนไป ท่านผู้อ่านที่น่ารักก็กรุณาแวะมาให้กำลังใจกันอยู่เนืองๆ
สังคมที่นี่น่ารักเพราะกำลังใจที่มีให้กันและกัน และยังคงเป็นเช่นนั้นเสมอมานะคะ : )
"แถมยังคิดอะไรเองไม่เป็น ต้องเดินตามหลังภูมิปัญญาของคนอื่นเขา และตกเป็นอาณานิคมทางจิตวิญญาณในที่สุด" จับจิตจับใจมากครับ อันนี้ไม่ใช่การบ้าน การโรงเรียนสำหรับใครๆ แต่เป็น"การชีวิต"ของพวกเราทุกคน ซึ่งจะส่งผลไปสู่คนรุ่นอนาคตอย่างมากมาย ขอบพระคุณอีกครั้งครับผม
ขอบพระคุณท่าน ผอ.บวร มากเช่นกันค่ะ ที่กรุณาย้ำประโยคหลักที่ท่านกล่าวว่าเป็น "การชีวิต" และดิฉันเห็นด้วยอย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ : )
ดิฉันเชื่อว่าครูดีที่คิดได้และสามารถสอนศิษย์ให้คิดเป็น ยังมีอยู่ทั่วผืนแผ่นดินไทย ...จึงรู้สึกได้ว่าเรายังมีความหวังอยู่เสมอค่ะ... : )