วันก่อนนั่งในวงสนทนาพี่ๆน้องๆ ที่เรียนด้วยกัน ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนต่างๆกัน ทั้งใกล้จบ กำลังจะสอบโครงร่าง กำลังเตรียมตัวไปต่างประเทศ ฯลฯ
มีหลายประโยคที่พูดคุยกันแล้วกลับมาคิดว่า การเรียนปริญญาเอกนั้น มีปัจจัยอะไรที่น่าจะส่งเสริมให้เป็นการเรียนรู้ร่วมกัน และอะไรที่บั่นทอนความอยากเรียนรู้นั้นได้บ้างในสายตาของนักศึกษา
ที่พอจะรวบรวมได้คร่าวๆ ในปัจจัยที่ส่งเสริม
ส่วนปัจจัยที่ไม่ส่งเสริม ก็ตรงข้ามกับข้างบนที่กล่าวมานั้น
ซึ่งถ้าองค์ประกอบใดขาดไป การเรียนก็เป็นทุกข์ และคนทุกข์หนักก็คือนักศึกษา ยิ่งใครที่เวลาทำวิจัยก็ไม่ได้เรียนรู้ร่วมกันระหว่างนักศึกษากับอาจารย์ที่ปรึกษา นักศึกษาก็งมกับงานของตัวไป อาจารย์ก็รอตรวจงานให้คะแนนไป จบแล้วก็จบกันไปไม่ต้องมาเจอกันได้ก็ดี อย่างนั้นจะคงค้างแต่ความโกรธ เกลียด และอยากแข่งขัน ที่ไม่น่าจะเป็นผลดีกับการพัฒนาองค์ความรู้ของศาสตร์ที่กำลังศึกษา เอาเสียเลย
เรื่องเรียนรู้ร่วมกันก็คงเหมือนลงเรือลำเดียวกัน เวลาเรืออยู่กลางน้ำ ก็ต้องยอมรับว่า เป็นงานของทั้งทีม ใครที่กระโดดหนีเอาตัวรอดก็คงยาก ทั้งทีมต้องตั้งปณิธานว่า เราจะเรียนรู้ร่วมกันสักครั้ง แล้วถึงจะขึ้นฝั่งอย่างมีความสุขทั้งทีม
สวัสดีค่ะ คุณจันทรรัตน์
ครูอ้อยมีตัวอย่างที่ดี มีข้อแนะนำที่ดี ดีใจมากที่ได้อ่านค่ะ จะได้มีพลังในการเรียน ตามมาห่างๆนะคะ เมตตาครูอ้อยด้วยค่ะ คุณจันทรรัตน์และคุณขจิต
เท่าที่ผมขึ้นไปเต้นอยู่บนเวที...
ในมุมมองหนึ่งอาจจะผิดก็ได้คือ...ความพร้อมของนักศึกษา...เป็นที่หนึ่งที่ผมพิจารณาดูเช่นเมื่อน้ดกับอาจารย์ที่ปรึกษาแล้วไม่มาตามเวลานัดหรือมาก็สายไปเกือบ 3 นาที...
ความพร้อมที่จะปฏิบัติตามกฏระเบียบ...เช่นการเงิน...ควรพร้อม...
ต่อมาคือตัวหลักสูตร...ควรทันสมัยและเป็นที่สนใจของเราที่สุด...
สำหรับท้ายสุดคืออาจารย์ที่ปรึกษานั้น...ผมไม่ห่วงเท่าไหร่เพราะนักศึกษาเป็นคนเลือกครับ...ควรดูว่าดวงสมพงษ์กันมั้ย...ฮา ๆ เอิก ๆ...
คุณขจิต และครูอ้อย คะ
ท่านอาจารย์ umi คะ
ท่านอาจารย์ umi คะ อีกรอบค่ะ เรื่องเวลาค่ะ
เอาเรื่องสนุกมาเล่านิดหน่อยค่ะ
ในการนัดกันครั้งหนึ่งระหว่างอาจารย์และนักศึกษา
นักศึกษา "หนูมารออาจารย์ตั้ง 2 ชั่วโมงแล้วค่ะ"
อาจารย์ "อ้าวนัดคุณไว้สิบโมง ตอนนี้ก็ตรงเวลานัดคุณมาก่อนเวลาเองนี่"
นักศึกษา " ขอโทษค่ะ..หนูผิดเองค่ะ เข้าใจว่าอาจารย์จะนัดตามเวลาญี่ปุ่นซะอีก"
อาจารย์ (เริ่มงง) "ทำไมล่ะ"
นักศึกษา "ก็วันนี้เราจะพูดเรื่องงานวิจัยของประเทศญี่ปุ่นไม่ใช่หรือคะ"
แฮ่ม!
หรืออีกสักเรื่องไหมคะ...
เหมือนกับการทำงานเป็นทีมเช่นกันนะครับอาจารย์ เมื่อลงเรือลำเดียวกันแล้ว คงต้องช่วยกันพาย กันจ้ำ หากเหนื่อยมากก็ให้กำลังใจกัน...ขออย่างเดียวอย่าท้อครับ
การเข้าไปอยู่สังคมของการเรียนระดับสูง สิ่งที่ผมพบเห็นมากๆก็คือ อัตตา ของคนที่มากขึ้น ตามอาภรณ์ประดับกาย แต่หากเราใส่ใจกับเรื่องอัตตาที่รุงรังก็เครียดครับ ต้อง "อุเบกขา" เหมือนที่อาจารย์ว่า นี่เป็นทางออกที่ดี
ให้กำลังอาจารย์เรียนสำเร็จเร็ววันครับ
เห็นด้วยค่ะว่า อุเบกขา เป็นทางออกที่ดี
ขอให้ความสุขเป็นอาภรณ์สำหรับคุณจตุพรตลอดไปค่ะ
เท่าที่อ่านดู อืมมม สงสัยนิวจะขาดวุฒิภาวะทางอารมณ์นะเนี่ย เหอ ๆ แต่ไม่เป็นไร นิวจะค่อย ๆ พยายามปรับให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ คะ
และเห็นด้วยกับอาจารย์ Umi คะ ว่า เรื่องวิตามิน M (เงิน=Money) ก็เป็นเรื่องที่สำคัญเหมือนกัน !! ซึ่งถึงแม้นิวจะได้ทุนมาเรียน แต่ก็ยอมรับว่าบางอย่างเราก็ต้องออกเอง เพราะฉะนั้นก็ต้องเตรียมความพร้อมเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน
ผมเองก็มองว่ากรรมใดๆ ก็มักเกิดจากตัวเราเป็นเหตุครับ ดังนั้นมันขึ้นอยู่กับตัวเราเป็นหลักใหญ๋ครับ ใกล้ถึงฝั่งฝันแล้วขอเป็นกำลังใจให้นะครับ :)
สวัสดีค่ะน้องนิว และอาจารย์[email protected]
เป็นกำลังใจให้เช่นกันค่ะ
เรื่องเงินตอนทำวิจัยนี้...มีความเห็นอย่างหนึ่ง(ที่อาจจะไม่ค่อยถูกต้องนัก) ตามประสบการณ์ที่ตัวเองอ่อนเรื่องการขอทุนค่ะ...คือตอนเขียนขอทุน หน่วยงานรัฐแห่งหนึ่ง เขียนตามจำนวนที่คิดว่าจะใช้จริงๆ อะไรที่เห็นว่ามีแล้วก็ไม่ขอไป กะว่าไม่เบียดเบียนเงินรัฐเลย...และอาจารย์ที่ปรึกษาก็เห็นชอบกับความคิด...พบว่าทุนจะถูกตัดไปประมาณ 30% ค่ะ ...เลยไม่พอสำหรับงานวิจัยต้องควักกระเป๋าและไปทำงานพิเศษหารายได้เสริมเองค่ะ ....ตอนหลังมีคนแนะนำว่า เวลาเขียนขอทุนจากหน่วยงานรัฐต้องบวกเงินเพิ่มประมาณ 40% เพราะเป็นธรรมเนียมว่า เขาจะตัดทุนที่ขอ 20-30% ..โดยไม่ได้พิจารณารายละเอียดว่าเราเอาไปใช้อะไรบ้าง..ก็ไม่ทราบว่าทำไมแหล่งทุนวิจัยของหน่วยงานวิจัยของรัฐถึงมีวิธีคิดแปลกๆ อย่างนั้น..เรื่องทุนเป็นเรื่องที่สำคัญมากค่ะ ได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นอีกเรื่องนอกจากวิธีการทำวิจัยแล้วค่ะ..