ผมได้รับการแรงบันดาลใจจากการอ่านบันทึกของ ดร.สุชาทำให้เกิดความเข้าใจขึ้นมาอย่างชัดแจ้งว่า การที่เราเมตตาผู้อื่นนั้น แท้จริงแล้วมันก็คือการเมตตาตัวเรานั่นเอง ตัวอย่างเช่น แต่ก่อนเคยเป็นทุกข์เป็นร้อนค่อนข้างมากเวลาที่ขับรถแล้วถูกปาดหน้าหรือมีรถมาแทรกในเลนของเรา รู้สึกโกรธในความมักง่าย ในความไม่เป็นระเบียบของคนเหล่านั้น หลายครั้งที่เกิดบันดาลโทสะหลุดปากบ่น (ด่า) ไปทั้งๆ ที่รู้ว่าคนๆ นั้นไม่มีทางได้ยิน (มีแต่ตัวเราหรือคนที่นั่งในรถเราเท่านั้นที่ได้ยิน) อารมณ์เสีย รู้สึกหงุดหงิดใจไปกับการกระทำอันไม่พึงประสงค์ของผู้อื่น ไม่สามารถ “ให้อภัย” สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นได้ เกิดเป็น “ไฟ” เผาผลาญใจทำให้เกิด “ทุกข์” โดยไม่จำเป็น
หากเรามี “เมตตา” สามารถ “ให้อภัย” สิ่งที่เกิดขึ้นมานี้ได้ ผลที่ตามมาจะแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ที่พูดเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่า ผมเห็นดีเห็นงามไปกับการกระทำ (ขับรถ) ที่ไม่อยู่ในร่องในรอยของเขานะครับ เพียงแต่เราจะต้อง “เข้าใจ" จนเห็นได้ถึงความ “เป็นเช่นนั้นเอง”...เห็นว่าโชคดีแล้วที่รถเขาไม่โดน (ชน) รถเรา หรือถ้าเกิดชนรถเราขึ้นมา ก็เห็นความ “เป็นเช่นนั้นเอง” ว่า....โชคดีแล้วที่เราไม่เป็นอะไร.... สำหรับผมแล้วการให้อภัยเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำได้ยาก... ด้วยเหตุนี้ ผมจึงต้องพยายามทำทุกวิถีทางที่จะกระตุกตัวเองว่าถ้าเราทำได้ ตัวเรานั่นแหละที่จะเบาสบาย ไม่ใช่ใครอื่น
เห็นไหมครับว่า การที่เราเมตตาคนอื่นนั้น แท้จริงแล้วมันก็คือการเมตตาตัวเรานั่นเอง ในโลกนี้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ไม่มีอะไรที่จะแยกตัวออกจากสิ่งต่างๆ ได้ คนเราขาดอากาศเพียงไม่กี่นาที ก็ตายแล้ว.... ช่างเปราะบางเสียจริงๆ เราไม่ได้ยิ่งใหญ่เก่งกาจอย่างที่เราคิดกันหรอก ธรรมชาติต่างหากล่ะที่ยิ่งใหญ่ ธรรมชาติสร้างทุกชีวิตให้เชื่อมโยงกัน ชีวิตคือความสัมพันธ์ ความรักที่เรามีต่อกันนั่นแหละชีวิต
ความมหัศจรรย์ของธรรมะ...
ทำให้เกิดความสุขทั้งกับตัวเองและผู้อื่นครับ...
ขอบคุณครับ...
เห็นด้วยค่ะอาจารย์ เมื่อวานเพิ่งอ่านเรื่องเกี่ยวกับการอุทิศส่วนกุศลด้วยการเมตตาต่อผู้ที่เราไม่พอใจ หรือต่อผู้ที่เรามีข้อติดข้องหมองใจอยู่
การที่เราระลึกเมตตาได้ทัน ตอนที่เกิดโทสะตามตัวอย่างที่อาจารย์ว่า แปลว่าเรามี "สติ" และเมื่อมีสติก็จะสังเกตเห็นอารมณ์ หรือเห็นโทสะที่กำลังเกิดขึ้น ถ้ารู้แล้วว่าตนเองกำลังโกรธหรือมีอารมณ์ ก็ให้พิจารณาว่าอารมณ์หรือโทสะนี้มันจะดับไปในที่สุด คือให้คิดว่ามันไม่เที่ยงค่ะ เพราะไม่มีทางที่จะโกรธไปได้ตลอด (อย่าเอาเรื่องไปคิดต่อทั้งๆ ที่เหตุการณ์เหล่านั้นยังไม่เกิดนั่นเอง) ให้ระลึกรู้เสมอว่าอารมณ์ทั้งหลายไม่ว่าอารมณ์อะไร เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็จะดับไปเสมอค่ะ อย่าไปยึดอารมณ์เป็นตัวตนว่ามีจริง ดิฉันพยายามปฏิบัติเป็นประจำ ได้ผลดีทีเดียวค่ะ
เห็นด้วยค่ะว่า... เมตตาธรรมค้ำจุนโลกจริงๆ แต่มีมากมายที่ไม่เมตตาตนเองเลย บางครั้งยังเบียดเบียนตนเองอีก ตรงนี้เหมือนมีเส้นบางๆ อยู่นะคะ
สวัสดีครับจิณงนภา
ขอบคุณอาจารย์กมลวัลย์สำหรับการต่อยอดที่คมชัด ...ดีใจที่ได้พบอาจารย์อีกหลังจากที่เคยพบกันเมื่อหลายปีก่อนตอนประชุมที่ มจธ. (บางมด)...ไม่แน่ใจว่าอาจารย์จะจำผมได้หรือไม่ เพราะค่อนข้างนานมากแล้ว....แต่ถึงอย่างไรก็ขอต้อนรับสู่ gotoknow ครับ และเชื่อว่าหลายๆ ท่านจะได้อะไรดีๆ จากสิ่งที่อาจารย์ถ่ายทอดไว้ใน blog ของอาจารย์
เรียนอาจารย์ประพนธ์
ตอนแรกไม่แน่ใจว่าอาจารย์จะจำดิฉันได้หรือเปล่า แต่จำอาจารย์ได้เสมอค่ะ ได้ยินข่าวอาจารย์อยู่บ่อยๆ ค่ะ ตามวงวิชาการต่างๆ
เมื่อ 2-3 วันก่อนเข้ามาค้นข้อมูลใน web เรื่องสภามหาวิทยาลัย แล้วมาเจอ gotoknow.org พอดี เลยลองสมัครใช้ดู ได้ประโยชน์ทีเดียวค่ะ เลยได้พบอาจารย์ (แบบเสมือน) ดีใจค่ะ
ตอนนี้ยังเป็นมือใหม่อยู่ กำลังเรียนการใช้ features ต่างๆ ของ blog ค่ะ แล้วจะพยายามสรรหาเรื่องมา share กันต่อไปคะ
อ่านแล้ว สบายใจจริง
เรียนอาจารย์ประพนธ์ครับ