จาก AAR สู่ BAR
(from After Action Review to Before Action Review)
“อานิสงส์ของการเหลียวหลัง สู่พลังของการแลหน้า”
เพื่อมุ่งไปสู่การจัดงาน
"พลังแห่งปัญญา ตลาดนัดความรู้สู่ชุมชนเป็นสุข"
โดย สมโภชน์ นาคกล่อม
ตอนที่ ๑ “อานิสงส์ของการเหลียวหลัง” (III)
(ต่อจาก อานิสงส์ของการเหลียวหลัง (II))
“เกิดผลอะไร...ในการจัดการความรู้ของ สรส.”
การจัดการความรู้กับการเปลี่ยนแปลงของภาคี (node)
เราพบว่า การจัดการความรู้ทำให้การทำงานของโหนดวิจัยท้องถิ่นเปลี่ยนแปลงไปมาก สามารถอธิบายได้เป็นรายโหนด แต่ที่สำคัญคือทำให้การเกาะติดพื้นที่ของโหนดมีมากขึ้น และที่สำคัญคือได้รับแรงกระตุ้นการทำงานซึ่งกันและกัน จากกระบวนการที่เรามีมากกว่า ๑ โหนด แม้นานๆ จะมีเวทีเรียนรู้ลึกๆ สักครั้ง แต่การส่งอีเมล์เวียนกันอ่านก็เป็นการกระตุ้นกันและกัน อย่างได้ผลดีดังกล่าวมาแล้วเช่นกัน
การจัดการความรู้กับการเปลี่ยนแปลงของ อบต.
นอกจากการเรียนรู้และการเปลี่ยนแปลงของตัวละครสำคัญต่างๆ แล้ว มีตัวชี้วัดที่ชี้ขาดคือ อบต.เห็นด้วยและลงงบประมาณในกิจกรรม ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคน นายกฯ ถือเป็นนโยบายที่จะสร้างทีมงาน ซึ่งหากมีข้อนี้ถือว่าเป็นการสร้างความสำเร็จแล้ว
ในระดับรัฐมนตรีหมู่บ้าน/ตำบล แม้เพิ่งจะเริ่มไม่นานนัก แต่ถึงกระนั้นเราก็บอกได้ว่า รัฐมนตรีกล้าพูด กล้าคิด กล้าทำ และมีตัวอย่างของ อบต.วัดดาวที่นายกเร่งนำเอาไปใช้ ทำให้งานของ อบต.ดีขึ้น เช่น การจัดงานเทศกาลต่างๆ ของ อบต.
ส่วนตำบลหัวไผ่ เราไม่สามารถมองในเชิงการแข่งขันข้ามพื้นที่ได้ ต้องเทียบกับฐานเดิมของเขา ในเรื่องเล่าของผู้ประสานงานพื้นที่ มีรายละเอียดทำให้เห็นความคืบหน้า เห็นปัญหา เช่น ตอนแรกดูเหมือนกลุ่มคนแก่จะมีกำลังขึ้นมา แต่พอไปกระทุ้งกลุ่มเด็ก ปรากฏว่ากลุ่มคนแก่ก็พุบ ได้ความรู้ใหม่ว่า “จำเป็นต้องเดาะให้ลูกโด่งขึ้นอากาศอยู่เรื่อยๆ” ต้องคลุกคลีตีโมงมิให้กำลังตกทั้ง ๒ กลุ่ม
ปรากฏการณ์ของชุมชน ให้ความรู้กับเราว่า จะจัดการความรู้อย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ ต้องจัดการทั้งตัวเอง ครอบครัว ของกลุ่ม (คนแก่ และเด็ก ฯลฯ) แล้วภาพของการจัดการชุมชนก็จะเกิดขึ้นได้
เช่นเดียวกับ พี่ธนกร จ.เชียงใหม่ ที่แม่บ้านให้กินข้าวจานเปล่าเมื่อออกมาเรียนรู้และทำงานชุมชน ซึ่งสิ่งนี้เป็นอุปสรรคของแกนนำในการลุกขึ้นมาทำงานเพื่อชุมชน หรือออกนอกพื้นที่ (แค่การออกนอกพื้นที่ของแกนนำได้บ่อยของปางจำปี ก็มีคุณค่าและความหมายซ่อนอยู่พอสมควรแล้ว) ทำให้เราได้ความรู้ถึงวิธีการทำงานให้เนียนกับชาวบ้าน คำถามพื้นฐานเช่น การจัดการความรู้เข้าไปแล้วทำให้การทำงานของอบต. และของตัวละครทั้งหลายดีขึ้นหรือไม่ ต้องตอบให้ได้เป็นอันดับแรก ก่อนจะตอบคำถามลึกและเล็กอย่างอื่น
การจะตอบคำถามผลที่เกิดขึ้นต้องวิเคราะห์เชิงพื้นที่ เช่น วัฒนธรรมของภาคเหนือไม่เหมือนกับภาคกลาง ซึ่งกระแสของเงินเข้าไปในพื้นที่เยอะกว่า หรือลักษณะของนิสัย ความร่วมมือของคนภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ก็ต่างกัน
โดยทั่วไป หน่วยงานและโครงการต่างๆที่ทำเรื่องพัฒนาคน เป็นการมาอบรมฟรี ตัวละครต่างๆ ไม่ได้มีพันธะผูกพันทางใจที่จะไปทำงาน ไปเอาไปใช้จริงๆ สรส.ได้ประสบการณ์จากการฝึกอบรมว่า ถ้าคนไม่นิ่ง เราไม่สามารถพัฒนาได้ เราจะจับคนให้นิ่งได้อย่างไร ก็โดยการเอาบทบาทรัฐมนตรีหมู่บ้าน/ตำบลไปใส่ให้เขา
การเปลี่ยนแปลงในพื้นที่และองค์ความรู้ที่เกิดขึ้น จะมีเยอะมาก ประสบการณ์จากการทำงานเหล่านี้ทำให้เรามีความรู้มีประสบการณ์ที่จะขยายผลได้ เช่น เครือข่าย อบต.จ.นครสวรรค์ เราจะรับงานได้ด้วยความมั่นใจมากขึ้น มาทั้งจังหวัดเราก็ทำได้โดยใช้เครื่องมือเรื่องตลาดนัดความรู้ เพราะประสบการณ์จากวัดดาวและหัวไผ่จะบอกว่าเราจะเริ่มจากแกนนำที่มีใจมาก่อน หรือของหางดงเราจะใช้ฝ่ายการศึกษาทำหน้าที่เป็น “สถาบันจัดการความรู้ของตำบล”
จุดที่เราต้องเสนอคือ ความเป็นจริงเป็นอยู่อย่างไร และเราไปต่ออย่างไร อะไรเป็นเหตุปัจจัยหลักแห่งความสำเร็จ เช่น ต้องมีคนนิ่ง ต้องทำบทบาทเขาให้ชัด ฯลฯ
(to be continue => "พลังแห่งปัญญา ตลาดนัดความรู้สู่ชุมชนเป็นสุข":อานิสงส์ของการเหลียวหลัง” (IIII)
ไม่มีความเห็น