อัศวินเกราะทอง


นักล่ารางวัล บนน้ำตาของคนที่รัก

 

 

                อัศวินติดเกราะ

            การเล่านิทาน (Storytelling) เป็นเครื่องมือการบริหารสมัยใหม่  ที่ เนียน นุ่ม ลึก   แนบเนียน ไม่รู้ตัว  นุ่มนวล ไม่รังแก ไม่คุกคาม  และ มีอุบาย ลูกเล่น เทคนิคลึกซึ้ง ลึกล้ำ    และถ้าฝึกจนชำนาญแล้ว  ก็จะลึกเข้าไปแก้ ที่ ปม ในใจกันเลยก็ว่าได้ 

                กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว  ในสมัย กษัตริย์อาเธอร์  ดินแดนแห่งเวทย์มนต์  มังกรและ พ่อมด    ยังมีอัศวินม้าขาวท่านหนึ่ง   เขาอยู่ในชุดเกราะสีทอง เปล่งปลั่ง สวยงาม  เมื่อโดนแสงแดด ยิ่งส่งประกายสวยงาม 

                อัศวินผู้เก่งกล้า  บุกไปทุกหนแห่ง  ปราบคนชั่ว ฆ่ามังกร   ช่วยหญิงสาวออกจากมังกรร้าย  ที่ถูกกักขังอยู่บนยอดหอคอย  เสี่ยงตายอย่างกล้าหาญ   ฟันฝ่า  มังกรร้าย  และ เปลวไฟที่ร้อนแรงของเหล่ามังกร  ฆ่ามังกรได้แล้ว  ก็ได้หญิงสาว  ได้สมบัติของมังกร ได้เกล็ดมังกร แก้วตามังกร รางวัลและตำแหน่งจากกษัตริย์มากมาย    ฯลฯ

                เรื่องแบบนี้ พวกเรา คงเคยได้อ่าน ได้ดูเป็นภาพยนต์  มามากมายแล้ว    แต่  มันกำลังจะสอนอะไรบ้าง

                มังกรอาจจะบ่นว่า อะไร ๆ ก็ให้เราเป็นผู้ร้ายทุกที  ….   ไม่เคยมองเราในแง่ดีๆบ้างเลยนะ ….ฆ่าเราแล้ว    ยังมาเอาสมบัติของเราไปอีก     และ หญิงคนนั้น เธอสมัครใจมาอยู่กับเราเองต่างหาก  เราไม่เคยจับมาเลย

                สุดท้าย    สุภาพบุรุษอัศวินที่แสนดีและกล้าหาญ   ก็ได้ หญิงสาวที่ตนช่วยเหลือมาได้  มาเป็นภรรยา    เขาได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ  จากคนทั่วไป   เป็นที่รักของชาวบ้าน

                เขาฆ่ามังกรร้าย แย่งหญิงสาวสวย  และ ได้แต่งงานกับหล่อน  สร้างปราสาทใหญ่โต   หาข้าทาสบริวารมาให้    ซึ่งเรื่องก็ดูน่าจะจบแบบ Happy Ending   แต่ ……  

                หลังจากแต่งงาน  เขาก็มีลูก    แต่  จิตใจสุภาพบุรุษและ ความกล้ายังไม่จบสิ้น   เขายังคงออกไปทำงานเพื่อประชาชน   ออกไปฆ่ามังกร   ออกไปรับใช้ปวงประชา    ทำงานเพื่อกษัตริย์อาเธอร์ อันเป็นที่รักของเขา

                บ่อยๆ เข้า    จากการ สรวมใส่เกราะ เพื่อปกป้องจากอันตราย   เขากลับ ภาคภูมิใจในเกราะนั้น  เขายึดมันแน่น   เขาขัดถูมัน   จนกระทั่ง ถึงขั้น ไม่ถอดมัน  เขาเข้านอนพร้อมกับสรวมมันอยู่กับตัว    เขาให้ศิลปินวาดภาพเขาในชุดเกราะ     ติดรูปภาพที่สุดภูมิใจนี้ ในตำแหน่งที่ คนในครอบครัวเห็นได้ชัดๆ  แขกไปใครมาก็เห็นได้ชัดๆ  

                แต่เขาหารู้ไม่ว่า   ทุกครั้งที่เขา ควบม้าออกไป   แสงสีทองที่เมื่อก่อนเป็นที่ชื่นชมของชาวบ้าน   มันกลายเป็น แสงสะท้อน  ที่ก่อเสียงบ่นทั่วไปทั้ง จากคนในครอบครัว  บริวาร เพื่อนฝูง ญาติ และ เพื่อนบ้าน  ว่า    

  • ไปอีกแล้ว
  • ไม่เห็นหน้าเลย
  • ธุรกิจเยอะเหลือเกิน
  • มาคุยกับฉันบ้าง 
  • เขาเป็นคนของประชาชน ไม่ใช่ของเราไปแล้ว    เป็นต้น

                ทุกครั้งที่เขา กลับมา  เขาก็มัก จะถามภรรยาว่า

  • ลูกฉัน เก่งเหมือนฉันหรือยัง 
  • เธอสอนให้เขาเป็นอย่างฉันได้ไหมเนี่ย   
  • ขาดเหลืออะไร เอาเงินทองไปได้เลย  

และ  เขาก็มัก จะพร่ำพรรณา  ถึงเรื่องราวที่เขาออกไป ฆ่ามังกร ช่วยเหลือผู้คน  ขุดขุมทรัพย์   ได้รับรางวัล  ได้รับคำชม   ฯลฯ เขาเล่าอย่างภาคภูมิใจ    เขาจะเอามือ ลูบเกราะทองขัดมันวาว ประกอบคำพูดของเขาเสมอ      เขารักเกราะของเขามาก จนเขาไม่คิดจะถอดมันออกเลย    

ทุกครั้ง  เมื่อเขาเล่าเรื่องภารกิจที่แสนจะน่าภูมิใจของเขาจบ    ภรรยาก็เก็บช้อน เก็บจาน  และ ลุกไปล้างจาน    ลูกก็หลับอยู่ข้างๆโต๊ะกินข้าวนั่นเอง

ภรรยา ก็อดที่จะ ยิงคำถาม ที่หล่อนถามเขาบ่อยมาก  แต่เขาก็ไม่ฉุกคิด  ไม่เฉลียวใจสักที  ว่า

  • ขอฉันเห็นหน้าเธอหน่อยได้ไหม 
  •  ถอดเกราะออกเถอะ  เอาหน้ากากนั้นออกด้วย  
  • ฉันอยากเห็นตัวจริงของเธอ 

                เมื่อลูกไปโรงเรียน   ครูให้เขียนเรียงความเล่าเกี่ยวกับพ่อ    ครูแปลกใจมาก  เพราะ ลูกของอัศวิน  ส่งกระดาษเปล่า     เขาให้เหตุผลว่า

  • ผม ไม่รู้อะไร เกี่ยวกับพ่อของผมเลย   
  • ใครๆ ก็เขียนเรื่องของพ่อผมได้ เขารู้กันทั้งนั้น   แต่ ผมรู้เกี่ยวกับพ่อผม น้อยกว่าคนนอกบ้านด้วยซ้ำไป 

                ภรรยาของเขา คงจะเซ็งชีวิตมาก  หล่อนไปนอนที่ใต้ถังเก็บเหล้าองุ่น      หล่อนเมาและหลับใหลไปแบบนั้นทุกคืน   หล่อนได้คิดว่า

ฉันเป็นแค่ ส่วนหนึ่งของความสำเร็จของเขา เท่านั้น 

เขารักฉันหรือเขารักเกราะของเขากันแน่ 

เขา ให้ปราสาทหลังโต ให้ฉันดูแล  ฉันเป็นตัวอะไรเนี่ย    

                นิทานเรื่องนี้  สอนอะไรเรา  

                เราจะ แก้ปมอันยุ่งเหยิงนี้ได้อย่างไร

                ถ้าเราจะอุปมา    เราจะมองว่า  อัศวิน   มังกร  ภรรยา  เกราะ ฯลฯ  เป็นตัวแทน ของอะไร

            นิทานเรื่องนี้ มันสะท้อน (Reflection) ชีวิตของเรา ได้อย่างไร

                *************************

            นิทานแบบนี้ เปิดพื้นที่ ให้ ผู้เข้าร่วมวงสุนทรียสนทนา (Dialogue)  ได้  มองย้อน (โอปนยิโก)  เข้าไปสืบค้น  ค้นหาตนเอง     การมาล้อมวงเปิดใจกัน ในบรรยากาศที่สบายๆ มีมนต์เสน่ห์   จะ เปิด พื้นที่” (Ba)  ทางความคิดให้แก่ทุกคนในวง    

                บางท่าน  ก็เล่าอย่างเปิดใจว่า   มังกร คือ ทรัพยากรธรรมชาติ (น้ำ น้ำมัน แร่  อากาศ  ฯลฯ)   หญิงสาว คือ  ภรรยาที่บ้าน    สมบัติมังกร คือ ยศฐาบรรดาศักดิ์   อำนาจ หน้าที่   การได้ดูแลงบประมาณพันล้าน   ฯลฯ  เราไม่ใช่แค่ ทำลายทั้งธรรมชาติภายนอก  แต่ เรายังทำลายธรรมชาติภายในด้วย

                บางท่าน ก็เสนอความคิดว่า พวกเราเป็นคนหยาบ  เรามองออกไปนอกตัว นอกบ้าน  เราไม่เคย เฝ้ามองคนใกล้ตัว อย่างเพิ่งพินิจ  อย่างเนิบนาบ    อย่างละเอียด  ค้นพบสิ่งที่คุ้นเคยแต่มองข้ามไป    (วู จา เด (Vu ja de)  = ค้นพบ สิ่งคุ้นเคย แต่มองข้ามไป)

                บางท่าน  พอโดนผมถามว่า คุณแม่ของคุณ  ชอบสีอะไร ?”    พวกเขาถึง กับ อึ้ง     ลูกของคุณ  อ่านหนังสือแนวไหนมากที่สุด ?”    ดูจะเป็น คำถามง่ายๆ  แต่ สำหรับคนหลายๆคน    คนที่ใส่เกราะหนาเตอะ  เขาตอบไม่ได้

                ภรรยาแสนสวย เป็นแค่ ส่วนหนึ่งของแผน   เขาแค่ ต้องการ  เขาไม่ได้รัก    เขาไม่รู้จัก ความรักที่เป็นแบบไร้เงื่อนไขด้วยซ้ำไป

                เขาไม่เคยฟังเสียงของตนเองเลย  (Inner voice)

            เกราะที่เขาแกะไม่ออก ถอดไม่ออก   มันยึดแน่นมากๆ     ใครจะปลดออกให้เขา

            เขา มองลูกในฐานะ ตัวแทนของเขา  เขาโกรธมาก ที่ลูกไม่สามารถทำแบบเขาได้

                นึกถึงผู้บริหารไทยทั้งหลาย    ท่านผู้อ่านคิดว่า  มี อัศวินเกราะขึ้นสนิม   จนถอดไม่ออกเยอะไหมครับ

นิทานเรื่องนี้  ผมได้ แรงบันดาลใจ และแปลงมาจาก หนังสือ The Knight in Rusty Armor  สุภาพบุรุษอัศวิน   โดย Robert Fisher  

            เป็นหนังสือที่น่าอ่านมาก   ยิ่งถ้าได้ อ่านเรื่อง Theory  U  ของ Otto Scharmer มาแล้ว  จะเข้าใจมากขึ้น  

                คนที่กำลังเซ็งๆ งงๆ กับ การบริหารแบบเดิมๆ  ใช้มาหลายระบบแล้ว  (ISO / TQA / KPI)   ก็ลอง เอาตัวเองออกมา ไข่แดง (Comfort Zone)   มาเจอ แนวบริหารสมัยใหม่  (Soft side management)     แนวสุนทรียสนทนามากนะครับ

                คุณหมอ ระดับผู้บริหาร ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง   ท่านแนะนำหนังสือเล่มนี้ให้ผมอ่าน ผมอ่านจบภายในช่วงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั่นเอง    มีคำนิยมมากมาย   

                คุณหมอ ท่านเล่าให้ฟังว่า   เมื่อก่อน ท่านเป็นอัศวินแบบนี้แหละ     ตามล่ารางวัลทุกอย่าง  ทั้ง 5    TQA   HA  ISO  ท่านกวาดมาหมดแล้ว    

ท่านเล่าให้ฟังว่า   สมัยที่ไปเรียน MBA  เอามาสอนลูกน้องทั้งโรงพยาบาล    ช่วงไหนเรียน การตลาด  ก็รู้การตลาดกันทั้งโรงพยาบาล    ช่วงไหนเรียนบัญชี   ก็บัญชีอ่วมอรทัยกันไปหมด  ช่วงไหนเป็นเรื่องภาวะผู้นำ  ทั้งโรงพยาบาลโดนตรวจสอบกันหมด   

                ทุกครั้งที่ท่านกลับบ้าน ท่านมีแต่เล่าเรื่องของตนเอง ท่านปลื้มกับรางวัลที่ได้มา     แต่ ทุกครั้งที่ท่านเรื่องที่ท่านประสบความสำเร็จ    ภรรยาของท่าน ก็จะเก็บจานไปล้าง

            มีอยู่วันหนึ่ง  ท่านกำลังจะรีบเร่ง  ด้วยหัวใจที่เร่งรีบ   จะออกไปทำงาน  ฆ่ามังกร เอาสมบัติจากมังกร   ท่านเหลือบไปเห็นลูกกำลังเอามือจับหู   ก็ถามว่า เป็นอะไร   ลูกตอบว่า ไม่ต้องห่วง   ขอให้พ่อกลับบ้านตรงเวลาก็พอ    ท่านถึงกับอึ้ง    สุดท้าย ท่านก็พบว่า ลูกบาดเจ็บที่หู   ถ้าไปโรงพยาบาลสายอีกนิดเดียว หูพิการไปแล้ว  ลูกขอความรักจากคุณหมอไม่ได้  ก็ขอแค่กลับบ้านก็ยังดี    ลูกยอมเจ็บปวดหู แต่ ก็ไม่ได้ขอร้องพ่อที่เป็นหมอให้ดูแล      ดูๆแล้ว หัวใจน้อยๆของลูกคงจะโหยหาอะไรอีกมากมาย 

                เดิมท่าน ปลื้มใจมากที่ ลูกน้องเชื่อฟัง  บอกว่าจะเอาระบบอะไรมาลง ทุกคนไม่มีขัดแย้ง   แต่หลังจากที่ท่านทำ สุนทรียสนทนากับลูกน้อง   ก็ได้คำตอบที่ทำให้ หน้าชา น่าละอายใจ  คือ  

  • พวกหนูรู้ว่า ไม่มีเคยเถียงชนะคุณหมอได้คะ  (ก็เลยเงียบ ไงล่ะ)
  • ยังไงก็ ต้องทำ    (เถียงไป ก็หาว่า ต่อต้าน โง่ ไม่พัฒนา)
  • เพื่อความสำเร็จของคุณหมอ   หนูได้ทำลายความรักและผูกพันในครอบครัวของหนูไป  (ไม่รู้จะลาออกไปไหน ตั้งรากฐานไปแล้ว   หาโรงเรียนใหม่ให้ลูกก็ยาก   ปลูกบ้านไปแล้ว)
  • ผมกลับบ้านดึก   เพื่อเตรียมเอกสาร รอการตรวจ    ในขณะที่ภรรยาผมกำลังเลี้ยงลูกอ่อน  ก็เพื่อ เสื้อเกราะของหมอนั่นแหละ  (แถม ทะเลาะกับแม่ยาย อีกต่างหาก)
  • พวกเรา ร้องไห้ เพราะ คุณหมอ มามากแล้ว (ไม่ใช่ ครั้งเดียว  ... มันบ่อยมากๆ)
  • พวกเรา เคยคุยกันนะคะว่า  คุณหมอเป็นคนป่วย  น่าสงสาร  และ ไม่รู้ตนเองเลยว่าป่วย  ไม่รู้จักตนเอง และ ไม่รู้เกิดมาทำไม    (เรา อยากฆ่า หมอ วันละหลายรอบ)
  • โรคร้ายของคุณหมอ  มันระบาดไปถึงที่บ้านดิฉันด้วย   ฉันได้เชื้อพันธุ์หมาบ้านี้ ไปอาละวาดใส่ลูก สามี แม่ พี่ น้อง (สามี ลูก  กลายเป็นคนแปลกหน้า  ...สุนัขที่บ้านจะไล่กัดแล้ว)
  •  หลวงพ่อที่วัด อยากเจอคุณหมอมากเลยคะ ท่านบอก ฉลาดแบบนี้ ขยันแบบนี้  เสียดายไม่เอามาใช้เพื่อหาทางพ้นทุกข์    (คือ หลวงพ่อ จะด่า ว่า โง่   แต่ ท่านเกรงใจน่ะ)
  • คุณหมอ ทำให้พวกเราได้ฝึกธรรมะกันมากขึ้น  ขอบคุณคะ  (จริงๆ ถ้าไม่มี หมอแบบนี้  เราคงไม่ได้ ครูสอบอารมณ์..... อิ อิ)
  • วันที่คุณหมอ ได้ปริญญาโท   น่าจะฉีกบางส่วนให้พวกเราด้วยนะครับ (ประชดนะเนี่ย  หมอ ยังไม่รู้เลยว่าประชด  กลับภูมิใจ สะ ฉิบ)

                คุถหมอท่าน สำนึกตน (Hansei)  ด้วยความตื่นรู้ (Awakening) ตระหนักถึง ความมีอัตตาที่ตัวตนได้ทำไป     ท่านคาดหวังให้ลูกเก่งเหมือนท่าน    ท่านไม่ได้มองดูลูกอย่างเนิ่นนาน ไม่วิจารณ์   เลย     ท่านเคยตบแขนลูกอย่างแรงตอนที่ติวคณิตศาสตร์ให้เขา   จากนั้น   ผลคะแนนคณิตศาสตร์ของลูกเลวร้ายกว่าเดิม     มันฝังในลงในใจของลูกตลอดกาล

            คุณหมอ ได้  เอาตัวเข้าสังเวย (Sacrifice)  ด้วยการทำลายสถาบันครอบครัวของตนเอง  ทำร้ายทุกอย่าง  ห่างเหินความจริง  ห่างจากสัจจะธรรม   แลกกับ ความสำเร็จของงาน   

คุณหมอ ก็เพิ่งรู้ว่า ภรรยาของท่าน  ก็เคยถามว่า

  • ฉันเป็นแค่ ส่วนหนึ่งของความสำเร็จของคุณ ใช่ไหม   (เอาไปอวดเพื่อน ได้   ว่าหาเมียได้แล้ว)
  • คุณไม่เคยฟังใครเลย   (แม้แต่ เสียงภายในตนเอง ก็ไม่เคยฟัง)
  • คุณเป็น วีรบุรุษของฉันอยู่แล้ว  คุณไม่จำเป็นต้องเรียกร้องความเคารพนั้นๆ จากฉัน ด้วยเกราะที่คุณไม่ยอมถอดออก (แต่ คุณหมอ ทำลาย ความน่าเคารพนั้นๆ  ด้วยตัวของหมอเอง)
…. ครับ  ภรรยาพูดบ่อยแล้ว  ท่านทำตัว เข็มขัดสั้น(คาดไม่ถึง )   ท่านเลือกที่จะไม่ได้ยินต่างหาก

                คุณหมอ สามารถฟาดคารมอันร้อนแรง กระแทกผู้คนในห้องประชุมต่างๆ กระเจิงกระจาย ด้วยความสะใจ  ข้าเก่งเหนือใคร    แต่ ไม่ได้สำนึกเลยว่า ได้สร้างศัตรูไว้มากมาย

                ตอนนี้ คุณหมอ ค้นพบตนเองแล้ว    สำนึกแล้ว ตื่นรู้แล้ว   ฟังคนอื่น  ฟังเสียงเรียกที่แท้จริงของตนเอง   เกราะที่เป็นอัตตาตัวตนได้รับการถอดออกไปแล้ว    คุณหมอเอาความสวยงามของสถาบันครอบครัวคืนมาได้แล้ว    ดึงหัวใจที่บอบช้ำของลูกน้องกลับมาแล้ว     หล่อหลอมหัวได้ด้วยใจที่บริสุทธิ์     เป็นจิตอาสา  จิตสาธารณะ และ จะก้าวไปสู่ จิตหลุดพ้น  ในอนาคตได้    แต่ จะมีอัศวินสักกี่คนที่ถอดเกราะอันนี้ออกได้   

                เรามีอัศวันเกราะติดแน่นแบบนี้ เต็มองค์กรไปหมด   ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่  ทำอะไรลงไป   จากเกราะที่เคยป้องกันคมดาบ   กลายเป็นเกราะที่ ยึดตัวตน   สร้างอัตตาขึ้นมาแทน    

                น่าสงสารประเทศไทศนะครับ     อัศวินแบบนี้ ครองบ้าน ครองเมือง   เข็มขัดสั้น   บริหารงานอยู่ทุกหนแห่ง    มังกร(ธรรมชาติ) โดนทำลาย  จน เกิดภาวะโลกร้อน   สถาบันครอบครัวล่มสลาย   อัศวินต่างก็ตายไปอย่างงมงายและโง่งม 

*****  ทั้งหมดนี้  เป็นบทความ ลง วารสาร Productivity World เดือนหน้า   ผม แว่บ ตัดหน้า  เอามาลงที่นี่ก่อน                                  

 

หมายเลขบันทึก: 146986เขียนเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2007 22:30 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 มิถุนายน 2012 20:40 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (32)

สวัสดี ค่ะ ท่านอาจารย์คนไร้กรอบ

อาจารย์ เป็น role model ของหนูในเรื่อง      Storytelling ขอบคุณสำหรับข้อคิดดีๆค่ะ

สมัยที่เป็นพยาบาล เคยมี toppic ; หมอคือเทวดา ใช่คนธรรมดา อย่างเราท่าน

เพราะ คำพูดที่เสียดสี ด่าทอ กับพวกเรา(ทั้งพยาบาล ผู้ช่วยพยาบาล เวรเปลและคนงานในรพ.) ทำกับพวกเราอย่างกะข้าทาสของพวกเขา เมื่อชาติที่แล้ว     หรือไม่ก็เห็นพวกเราเป็นสัตว์เดรัชฉาน กิ้งกือ ไส้เดือน  อะไรเทือกนั้น

ไม่เห็นความเป็นคนของพวกเราไม่น้อย เสียใจ เสียดาย กับความรู้สึกพวกนั้นอย่างถ้วนทั่วค่ะ

หมอพูดอะไร ไม่มีวันผิด ต้องถูกเสมอ

หมอจะบอกอยู่บ่อยๆว่า ประเทศไทยมีแต่พยาบาลโง่ๆ ไร้สมอง ฯลฯ

แต่เมื่อเข้ามา ลปรร.ที่ G2K รู้ว่าหมอดีๆ ตามองฟ้า เท้าติดดิน มีมากมายเหลือเกิน.....ภาพลักษณ์หมอในอดีต ถูกลบไป จากมิตรภาพที่ได้รับจาก G2K ค่ะ

สวัสดีครับอาจารย์ .. ท่านศาสดาแนวของผม

ตั้งแต่เริ่มอ่านบรรทัดต้นๆ รู้สึกได้ว่างานเขียนชิ้นนี้ถูกใช้ความคิดเรียบเรียงมาเป็นอย่างดี อ่านถึงบรรทัดสุดท้ายก็เลยถึงบางอ้อ .. ดีใจแทนชาว G2K นะครับที่ได้อ่านงานดีๆ ก่อนชาวบ้านเขา

ขอบคุณครับ

  • สวัสดีค่ะ
  • ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ
  • ขออนุญาต copy ไปแจกฝ่ายบริหารในที่ทำงานด้วย ค่ะ  เพราะมีอัศวินสวมเกราะทองเยอะ เก่งๆ ทุกคนเลยค่ะ
  • หันมามองข้างๆ ตัว เออหนอ...คนข้างกายเราก็ทำท่าจะกลายเป็นอัศวินครึ่งตัวแล้ว
  • เอ.....หรือว่า เราก็กำลังกลายร่างเป็นอัศวินก่ะเขาด้วย
  • เริ่มสับสนแย้วววว  อิอิ

 

ไม่น่าเชื่อ

สามท่านแรก ที่โพสต์  มาจาก  เหนือ  ใต้ อิสาน   คนละมุมประเทศเลย

ก็ขอขอบคุณครับ  ที่ เริ่มมองเห็น "เกราะ" 

จาก เดิมที่เอามาป้องกันก็พอเพียงแล้ว    ในที่สุด กิเลสมันร้าย   เกราะกลายเป็น "อัตตา"     มันเกินความพอเพียง

ต่างใฝ่หา อยากได้สิ่งที่ไม่มี  ได้ความไม่มี   และ อยู่กับสิ่งที่ไม่มี  ........ " อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา " 

สวัสดีครับอาจารย์

ท่านเจ้าคุณนรฯ กล่าวว่า

"กุมสติต่างโล่ห์ป้อง อาจแกล้วในสนาม"

ผมว่า สติ นี่เป็นสุดยอดของเกราะที่ควรหาสวมใส่กันครับ

เป็นความจริงที่อัศวินส่วนใหญ่พอใจจะมองข้ามหรือไม่อยากรับรู้ (ฟังแล้วหงุดหงิด)เพราะเขาจะบอกครอบครัวว่า เธอกำลังช่วยส่งเสริมเขาให้ทำประโยชน์แก่แผ่นดิน สมควรที่จะภูมิใจ ไม่ใช่ต่อว่าค่ะ

ขอบคุณอาจารย์ที่เล่าStorytelling และทำให้ตนเองนึกถึงคนที่อยู่รอบข้างของตนเองและขออนุญาตนำแนวคิดของอาจารย์มาปรับใช้ทั้งที่ทำงานและที่บ้านคะ

  • ตามมาจากบันทึกพี่ทวีสิน
  • แล้วอัศวินก็ตกม้าตาย
  • ที่บ้านตนเอง
  • ดีจังเลยครับ
  • ชอบๆๆๆ
สวัสดีค่ะ อ. วภ นึกถึงคนบ้าอำนาจ บ้าเงิน จนลืมลูกเมีย ไม่ได้ใส่ใจคนรอบข้างเลย หันไปใช้ชีวิตแบบฉาบฉวย materialism ทำให้คนกลายเป็นพวกทาสอำนาจ make money make money
บางทีสงสารลูกหรือภรรยาที่ต้องเจอกับสามีแบบนี้ ต่อไปจะกลายเป็นปัญหาของลูก ลูกจะคิดว่สต้องทำอย่างไรจึงจะรวย ลูก แทนที่จะใช้ความรู้สึกดีมาพัฒนาจิตใจของเด็ก ให้มีจิตใจที่เข้มแข็ง เป็นภูมิคุ้มกันไม่ให้เด็กตามแฟชั่น ไม่ตกเป็นทาสยาเสพติดค่ะ

อาจารย์คะ

อ่านแล้วโดนใจมากๆ อยากให้ผู้บริหารได้มาอ่าน แล้วคิดบ้าง

ชีวิตคนเราเกิดมาไขว่คว้าหาอะไรกันแน่ ความสุขที่ไม่จีรังของตัวเองบนความทุกข์ของคนอื่น

ถ้าคุณหมอฉุกคิดและเปลี่ยนตัวเองได้ เป็นเพราะบุญกุศลที่ทำไว้ อานิสงส์ ถึงครอบครัวด้วยค่ะ

ในสัตว์ สี่ประเภท

พวก กระทิง เนี่ย   ปล่อยพลังวัชระ  เกินพอดี   ออกไปฟาดฟัน ชาวบ้านบ่อยๆ

 คนเก่ง ก็ แบบนี้แหละครับ

ก็อย่างที่ น้องส้มบอก  บุญตามมาทัน  กลับใจได้  สาธุจริงๆ

 

อ่านแล้วโดนใจมากค่ะ   พยายามให้เวลากับลูกๆและครอบครัวเสมอแต่ไม่แน่ใจว่าพอหรือเปล่า

จำได้ว่าลูกเคยต่อว่าแม่หนีไปเมืองนอกปล่อยให้ลูกอยู่บ้านคนเดียว   ฟังแล้วน้ำตาแทบไหล

บทบาท หมอ เมีย แม่ ผู้บริหาร ผู้ใต้บังคับบัญชา ต้องใช้ปัญญาในการทำให้พอดีค่ะ

ขอบคุณอาจารย์ที่เขียนเรื่องที่สนุกและสอนใจทุกๆบทความค่ะ

แนะนำให้น้องๆหลายคนมาอ่านค่ะ

                                                 อัจฉรา

อันนี้โดนจริงๆครับ  อาชีพบอกตัวตน  เจอมานักต่อนัก  กลายเป็นคนป่วยมากที่สุด

เยี่ยมมากครับ บทความที่ได้กระทุ้งเกราะของใครอีกหลาย ๆ คนให้สะเทือน ขอบคุณครับ

นิทานสนุกดี..(ขอคัดลอก..ฮิ..ฮิ)

คนที่ประสบความสำเร็จในงาน..อาจจะไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต..

แต่คนที่ประสบความสำเร้จในชีวิต..ทุกคนประสบความสำเร็จในงาน

จงเลือกงานที่ส่งผลต่อชีวิต..ครอบครัว..อิสระภาพ ความหวัง แล้วจะได้รางวัลเอง..

สวัสดีครับ

ดป็นคามคิดที่ดีมากเลยครับที่นำเอานิทานมาสะท้อนถึงชีวิตจริง ซึ่งคงจะโดนใจคนจำนวนมากรวมถึงตัวผมด้วย เพราะผู้ที่หลงในยศถาบรรดาศักดิ์ อำนาจวาสนา เป็นบุคคลทีี่น่าสงสารมาก ผมคิดว่าทุกหน่วยงานคงมีอัศวินเกราะทองกันทุกที่ รวมถึงที่ทำงานผมด้วย แต่ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าเราเห็นแบบนั้นแล้วเราต้องไม่หลวมตัวและหลงไปกับเกราะทองตัวนั้นถ้าวันใดที่เราได้ใส่เสื้อเกราะทอง ขอให้จำวันที่เราพูดถึงอัศวินเกราะทองด้วย เพราะาจะได้ไม่เป็นอัศวินเกราะทองคนต่อไป

 

ยินดีมากครับที่ได้รับรู้และได้อ่านบทความที่ดีอย่างนี้ และผมจะติดตามต่อไปครับ

เรียนอาจารย์ที่เคารพ

        อ่านเรื่องของอาจารย์จบ ผมปิดห้องล๊อคประตูไม่อยากให้ใครเข้ามารบกวนภวังค์แห่งความคิดของผม

       ผมเริ่มย้อนกลับมามองตัวเอง สำรวจตัวเอง และถามตัวดองว่า  สิ่งที่ผมเห็นและสัมผัสได้ มันเป็นตัวตนที่แท้จริงของผมหรือมันเป็นแค่เกราะที่อัศวินที่คิดว่าตัวเองเก่งอย่างผม สวมใส่อยู่  ยอมรับว่า ณ วินาทีนี้ ผมตอบไม่ได้ คงต้องใช้เวลาในสการคิดอีกนานเพราะต้องคิดย้อนไปที่ทุกบริบทรอบตัวเรา

       เมื่อผมหาคำตอบให้ตัวเองได้เมื่อไร ผมจะบอกอาจารย์เป็นคนแรกครับ

  • พล็อตเรื่องอัศวินนี้ผมได้มีโอกาศอ่านแล้วครับ ในเรื่อง วีระบุรุษอัศวิน  เนื้อเรื่องก็ประมาณที่เกริ่นมา  คืออัศวินต้องออกเดินทางเพื่อหาทางเอาเกราะที่ตนเองใส่อยู่กับตัวตลอดเวลาออกให้ได้  แล้วเขาก็พอเมอร์รินผู้ชชี้ทางให้  จนสุดท้ายเขาก็ค้นพบสัจธรรม นับว่าเป้นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่งที่ควรอ่านครับ
  • ในสภาพความเป็นจริง ผมกยังต้องใส่เกราะ ถึงแม้มันจะไม่ใช่เกระทองก็ตาม  จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อทุกคนต่างก็ใส่   ถ้าไม่ใส่มีหวังตายแน่ 

 

สวัสดีครับ

เกราะก็เปรียบเสมือน อำนาจ มีเกราะมีอำนาจ ถ้าหากว่าใช้ให้อำนาจในทางที่ดี ปกครองผู้ใต้บังคับบัญชา ด้วยความรักความเมตตาก็ดีแต่ถ้าใช้ในทางที่ผิด ก็อาจนำความเดือดร้อนสู่ผู้อื่นและตนเองได้

สวัสดีครับอาจารย์

  ผมได้ยินเรื่องเล่านี้มาลางๆ  ก่อนนี้หลายครั้งครับ  ท่านทวีสินแหงปูนฯ  ก็แนะนำ    ท่านผู้อำนวยการก็แนะนำครับ  แต่ไม่ได้เข้ามาดู

  วันนี้คิดว่าเป็นโอกาศที่ดีมากครับ  บ่ายนี้ไม่ค่อยมีคนไข้มาตรวจ 

    จึงถือโอกาศเปิดอ่าน  และอ่านอย่างละเอียดมากๆครับ  เกิดความคิดที่สะท้อตัวตนและการทำงานตอนนี้ของผมเองมากๆครับ

  โดยเฉพาะเรื่องคนไกล้ตัว 

   และอยากแบ่งปันให้เพื่อนร่วมงานได้อ่านมากๆครับ

 ขอบพระคุณอาจารย์มากๆครับ

 ปล.ผมได้เรียนรู้จากอาจารย์หลายอย่างมากครับ ทั้งหนังสือ เวบ บันทึก ครับ

ว๊าว!!!

  • เมื่อก่อนพูดถึงคนไม่ถอดหมวก
  • ตอนนี้กลายเป็นไม่ถอดเกราะด้วยเหรอคะ
  • อ่านแล้วอึ้ง ได้ข้อคิดมากมาย เราเป็นอย่างนั้นไหมนะ มากน้อยแค่ไหน และจึงขอคิดต่อ ด้วยความเคารพ นะคะ อาจารย์
     
  • คนเรามีหลายคน หลายแบบ แตกต่างกัน นะคะ บางคนก็เก่งงาน เก่งคน หรือ เก่งอื่นๆ (ที่ไม่เกี่ยวกับงาน)
  • การที่อัศวินไปสู้กับมังกรร้ายที่มี เปลวไฟ
    เหมือนสิ่งที่เราต้องเผชิญอยู่เป็นประจำจากภาระหน้าที่ สิ่งแวดล้อม ทำอย่างไร ไม่ให้ไฟนั้นมาติดตัวเรา แล้วนำไปพ่นต่อ
  • ในเมื่อพบความร้อน สิ่งที่ทำให้เย็น คือ น้ำ น้ำเย็นๆ น้ำคำ น้ำใจ น้ำ......ที่จะต้องหามาให้ได้ในวินาที นั้นๆ และหาจากไหนดี
  • แต่ สิ่งที่ต้องมีไม่ให้หลุด คือ สติ  การไม่ยอมถอดเสื้อเกราะก็เป็น การยึดติด ชนิดหนึ่ง
  • คนที่บ้านก็สำคัญ  ชีวิตครอบครัวก็สำคัญ  แต่งานก็สำคัญ ด้วยเหมือนกัน  เพราะ ถ้าไม่มีงาน อาจ........ก็คงต้องคิดอีกนาน.....
  • สิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือ ทำอย่างไรให้ พอดี ระหว่าง งาน และ ชีวิตตนเอง ทำอย่างไร คนที่บ้านจะเข้าใจ และ ไม่ขาด ทำอย่างไร งานไม่เสียหาย
  • ถ้าเป็นสังคมตะวันตก ถึงเวลาเลิกงาน กำลังยกค้อนจะตอกตะปู ก็อาจจะวางเลย เพราะหมดเวลาแล้ว
  • ถ้าเป็นเมืองไทย สบายๆบ้านเรา บางครั้งก็ต้องเลยเวลาบ้าง เพราะบางครั้งในเวลาทำงาน บางคนก็มีธุระส่วนตัว มีเม้า มีอู้ มีอืนๆอีกมากมาย  ที่แยกไม่ค่อยออกระหว่าง ส่วนตัว กับ งาน
  • นิทานเรื่องนี้สอนให้ณุ้ว่า  สิ่งที่น่าจะต้องทำ คือ จัดการความ พอดี
  • ขออภัย ค่ะ พิมพ์ผิด สอนให้รู้ว่า.....

  • นี่ก็ขาดสติ เหมือนกัน ค่ะ

อ่านแล้วก็..เป็นกระจกเงาสะท้อนเรา สะท้อนตัวนายของเรา...สะท้อนคนที่เราดูแล...ต้องคิด ต้องทบทวน หาสิ่งที่เป็นสายกลางนะค่ะ

สวัสดีครับอาจารย์

  • ตามมาอ่านและเอารูปภาพมาไว้ให้ยืนยันว่าภาพนี้ไม่ได้ไปซื้อมาจากตลาดนัดครับ
  • Puppla3+021

ขอบคุณครับ

ช้าง ๑๕ ตัว  ( ไม่ใช่ เชือกนะ)

 

 

อาจารย์มีญานแน่  แม้ดูแต่เจ้าแผ่นดิน ยังเสนอสิ้นสิ่งที่เป็นจริง

ตามมาอ่านจากบล๊อกของคุณหมอ kmsabai ค่ะ

 

ขออนุญาตทำลิ้งค์เพื่อให้เพื่อนๆ ที่กระดานสนทนาของสมาคมนพลักษณ์ไทย ได้เข้ามาอ่านเรื่องเล่าเร้าพลังเรื่องนี้นะคะ

 

เรื่องของอัศวินไม่ยอมถอดเกราะนี้เหมือนกับบุคลิกภาพด้านในของคนลักษณ์ 3 ตามทฤษฎีนพลักษณ์อย่างมากเลยค่ะ

คนแบบ 3  นี่ กระทิง  หรือเปล่า   ...มุ่งมั่น  ฉลาด แต่ ไม่เฉลียว

สวัสดีครับ อ.วรภัทร

ขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมเยียนครับ กำลังคุยกับหมอวรวุฒิว่า เราคงจะมีวาระได้พบปะเจอะเจอหน้าค่าตากันแน่ๆ เพราะวนไปเวียนมากับสังฆะที่มีอะไรดึงดูดกัน ก็ได้แต่รอวันนั้น โดยไม่กระวนกระวาย ด้วยความปีตินะครับ

หนังสือเล่มนี้เล่มเดียวก็ถอดทฤษฎีตัวยูมาเป็นภาคเรื่องเล่าได้ค่อนข้างครบถ้วนทีเดียว เหลือแต่เรื่องพิศดารที่ชาร์มเมอร์สะสมมาตลอด 9 ปีในการเขียน

ขอให้เกราะพวกเราเป็นเงางามเมื่อสวมใส่ ถอดออกได้เพื่อชมความงามภายในอันประภัสสรยิ่งกว่าเถอะนะครับ

ขอบพระคุณอีีกครั้งครับ 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท