วราภรณ์
นางสาว วราภรณ์ (ดอกไผ่) ธรรมทิพย์สกุล

อนุทินล่าสุด


วราภรณ์
เขียนเมื่อ

นานแล้วซีนะที่ไม่ได้บันทึกอนุทิน
ขอสรุปเรื่องราวชีวิตในช่วงปิดภาคเรียน
ละกันนะ

วันที่ ๑๖ - ๒๒ เม.ย.๕๒  ไปปฏิบัติ
กรรมฐานที่วัดอัมพวัน  งานนี้ได้
ความอดทนมาเต็มเปี่ยม  มองเห็นทุกข์
ของกายขันธ์อย่างชัดเจน

๔ - ๖ พ.ค. ไปประชุมปฏิบัติการที่นครนายก  ครูกว่า ๖๐ คนไปกันหมด

แหม... สถานที่พักลืมไม่ลงจริง ๆ
รีสอร์ทอะไรก็ไม่รู้  เราตั้งสโลแกนให้ใหม่  "ห้องชื้นอับ  แอร์ไม่เย็น  น้ำก็เหม็น  อาหารก็ไม่อร่อย..."  ไม่กล้าบอกชื่อสถานที่  แหะ แหะ...กลัวจะตายก่อนแก่...

เตรียมรับเปิดเทอม  ตอนนี้โรงเรียนใกล้เปิดแล้ว  อาทิตย์นี้มีเก็บเงินนักเรียนเก่า  และก็ปฐมนิเทศนักเรียนใหม่

เริ่มสอนจริง ๆ ๑๘ พ.ค.  รู้สึกตื่นเต้นนะ
จะได้พบเด็กรุ่นใหม่  จะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้  โดยเฉพาะการเป็นที่ปรึกษา
นักเรียนชั้น ม.๖/๕

รุ่นที่แล้วเราตั้งชื่อรุ่นให้ว่า "รุ่นฝันร้าย"
(สำหรับครู)  ผ่านไปด้วยความรู้สึก
หวานอมขมกลืน  เหลือเชื่อจริง ๆ ว่าโลกนี้จะมีการรวมตัวของเด็กสารพัดพิษ
ได้อย่างลงตัว

หนอยแน่...ยังมีการพูดสำทับ "อาจารย์ผ่านพวกผมไปได้  อาจารย์ก็สุดยอด
มีภูมิคุ้มกันแล้ว...."

คิด ๆ ก็คงเป็นบุญสัมพันธ์ ที่เราทำไว้กับเด็กแต่ก็ไม่เป็นไร  เราก็เอาชนะเขาด้วยความเมตตา  คนเป็นครูต้องมีพรหมวิหารสี่  ต้องมีความอดทนสูงจึงจะเป็นครูที่ดีได้

ไม่ว่าเขาจะเป็นใครมาจากไหน ร้อยพ่อพันแม่อย่างไร  เราก็ต้องรับให้ได้

ปีนี้เราต้องพยายามเตรียมให้พร้อม  ลองเอาชื่อนักเรียนมาดู  แล้วก็พยายามจำ   ตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมบ้านเขาให้ครบ
และวางแผนการทำกิจกรรมโฮมรูมให้รัดกุม

ปีที่แล้วประเมินตัวเองว่ายังไม่ผ่าน  อาจเป็นเพราะการรับหน้าที่หัวหน้าหมวด  แล้วก็การประเมินคุณภาพภายนอก  เราเป็นหัวหน้างานประกันก็เลย
ทุ่มเทได้ไม่เต็มที่   ปีนี้เริ่มลงตัวน่าจะดีขึ้นนะ...



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

วราภรณ์
เขียนเมื่อ

มวยคนละเรื่อง

ปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้น  และผ่านพ้นวิกฤต
ไปได้อย่างขวัญหนีดีฝ่อ 

กรณีกลุ่มคนเสื้อแดงที่ปิดถนน  ยึดรถประจำทาง  เผารถ  นำรถขนแก๊สไปขวางถนนแถวแฟลต
ดินแดง   การทำร้ายประชาชนแถวตลาดนางเลิ้งจนเสียชีวิตไปสองคน

เกมการต่อสู้ของฝ่ายรัฐบาลที่เต็มไปด้วย
ความสุภาพ นุ่มนวล ในเบื้องต้น จนทำให้
รัฐบาลเสียหาย  เพราะอีกฝ่ายฮึกเหิมมากยิ่งขึ้น
และกลับใช้ความรุนแรงจนไม่มีใครคาดคิด

เปรียบการต่อสู้ของคนสองฝ่ายโดยมีประชาชน
เป็นผู้ติดตาม   จะได้เห็นการต่อสู้ของมวยคนละเรื่องอย่างชัดเจน

มวยฝ่ายหนึ่งเปรียบเหมือนมวยสากล  ยึดหลัก
กติกาอย่างเคร่งครัด   แต่อีกฝ่ายเป็นมวยปล้ำ
เวลาแพ้ก็ยกเก้าอี้ยกอุปกรณ์ใกล้ตัว  มาฟาดตี
ทำร้ายคู่ต่อสู้เหมือนสัตว์ป่า

ดูแล้วก็ได้ข้อคิดอะไรหลายอย่าง
และคิดว่าบางครั้งความอ่อนโยนก็สามารถ
เอาชนะความแข็งกระด้างได้
และความดีย่อมชนะความขั่วในที่สุด



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

วราภรณ์
เขียนเมื่อ

วันนี้ไปก่อเจดีย์ทรายที่วัด
รู้สึกมีความสุข สงบ เย็นดีนะ
ได้ไปทำกิจกรรมดี ๆ ในครอบครัว

พูดถึงตำนานการก่อเจดีย์ทรายมีมา
ตั้งแต่สมัยพุทธกาล  พระเจ้าปเสนทิโกศล
พร้อมกับข้าราชบริพาร  เดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า

ระหว่างทางเดินเห็นทรายสวยงาม  จึงก่อเจดีย์
พร้อมกับบริวารได้  แปดหมื่นสี่พันองค์ 

จากนั้นก็เดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเล่านี้ให้ฟัง
และถามอานิสงส์  ทราบว่าจะมีอานิสงส์มากมาย
เมื่อตายไปแล้วจะไม่ไปเกิดในนรก...และอื่น ๆ
อีกนะ  จำไม่ได้แล้วจ้ะ  อยากทราบไปค้นเองนะจ๊ะ

อ้อ ... สาย ๆ เริ่มฟังเรื่องเสื้อแดงป่วนเมือง
ด้วยหัวใจที่หดหู่  รถประจำทางถูกเผาไปกี่คัน
ปล่อยแก๊สอีก  คิดได้อย่างไรนะ

คนดีทำชั่วยาก ทำดีง่าย  
คนชั่วทำดียาก ทำชั่วง่ายจริง ๆ

กฎหมายอาจทำอะไรไม่ได้  แต่พวกนี้หนี
กฎแห่งกรรม  ไม่พ้นเชื่อเถอะ  ไฟนรกในใจจะเผา
ตัวเองตลอดไป  ชาตินี้คงเป็นสุขไม่ได้เชื่อเถอะ



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

วราภรณ์
เขียนเมื่อ

ปัญหาชาติบ้านเมือง

วันนี้รู้สึกหดหู่ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
เกี่ยวกับปัญหา  สีแดง  สีน้ำเงิน

คนไทยทำไมต้องแบ่งแยกสี ?
ทั้ง ๆ เคยได้ชื่อว่าเป็น "สยามเมืองยิ้ม"
เป็นประเทศที่มีคนจิตใจ โอบอ้อมอารี

บัดนี้ผีห่าซาตานตนใดเข้าสิงไม่ทราบ
บ้านเมืองจึงเกิดกลียุคเช่นนี้

แถมยังประจานตนให้แขกบ้านแขกเมืองได้ดูและรู้เห็นอีก

แล้วอนาคตเมืองไทยจะเป็นอย่างไร
น่าเป็นห่วงจริง ๆ



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

วราภรณ์
เขียนเมื่อ

สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้น่าเป็นห่วงมาก
ทุกคนต่างก็บอกรักชาติ  รักแผ่นดิน
แล้วก็ช่วยกันทำลายชื่อเสียงอย่างขาดสติ

คิดถึงอดีต แผ่นดินสีทองของไทย
เคยอยู่เย็นเป็นสุข  สังคมเล็ก ๆ  ช่วยเหลือ
เกื้อกูล  ลงแขกเกี่ยวข้าว  เต้นกำรำเคียว
มีเพลงฉ่อย  เพลงอีแซว  เพลงเรือ เล่นผ่อนคลาย
อย่างครื้นเครง  ช่างเป็นภาพชีวิตที่งดงามหายาก
ยิ่งในปัจจุบัน

เกิดอะไรขึ้นในวันนี้  วันที่ความเจริญทางวัตถุเร่งรุด
จนคาดไม่ถึงพอ ๆ กับกิเลสของคนที่พอกพูนยิ่ง
กว่าความก้าวหน้าใด ๆ ในโลก

ปัญหาบ้านเมืองทุกวันนี้  ล้วนเกิดจาก
คนที่เห็นแก่ตัว  กิเลสหนา ตัณหามากทั้งสิ้น

"ประชาธิปไตย"ในวันนี้  คงสู้ "ธรรมาธิปไตย"
ไม่ได้.....

หากคนไทยทุกคน รัก ชาติ  ศาสนา
พระมหากษัตริย์  จริง ๆ

เหตุการณ์ในวันนี้คงไม่เกิดขึ้น....



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

วราภรณ์
เขียนเมื่อ

วันนี้นั่งสรุปงานของกลุ่มสาระ ฯ ในฐานะหัวหน้าหมวด
ไม่ว่าจะสอนแทน  หรือการจัดทำโครงการพัฒนาหมวด

อ่านข้อมูลที่สรุปก็ตะลึง  ทำได้ยังไงเรา  เก่งจังเลย
ทำงานหนักมากกว่าคนอื่นในหมวดหลายเท่า  เขาสอนแทน
แค่ ๑๙ ชั่วโมงอย่างมาก   แต่เราสอนแทนตั้ง ๔๐ ชั่วโมง
ตลอดปี   เวลาครูลา  ครูขาด  เราก็สอนแทนก่อนเป็นอันดับแรก
เพราะตระหนักเสมอว่า   "ดูผู้นำให้ดูที่ความเสียสละ"

ตลอดชีวิตที่รับราชการเราพยายามทุ่มเทให้กับงาน
อย่างไม่ย่อท้อ   รับราชการมาสิบห้าปี ลางานไม่ถึง ๑๐  ครั้ง
เฉพาะจำเป็นจริง ๆ

ตั้งแต่ย้ายมาอยู๋ที่นี่สองปีเศษ  ยังไม่เคยหยุดงานแม้ครั้งเดียว
แม้จะมีสิทธิ์หยุดก็ตาม   ขนาดไม่สบายอย่างหนักลุกไม่ขึ้นเพราะเลือดเลี้ยงสมองไม่พอ  บ้านหมุนไปหมด


เรายังอธิษฐานจิตถึงหลวงพ่อจรัญ  ให้เราหาย  ค่อยยังชั่ว
ลุกไปทำงานได้   แล้วจะไปปฏิบัติธรรมเข้ากรรมฐาน ๗ วัน
แล้วก็ค่อยยังชั่วจริง ๆ  ปิดเทอมนี้ก็ต้องไปปฏิบัติธรรมแก้บน
ให้ไปทำงานได้  ฮา....    

เรื่องแบบนี้ก็มีด้วย   บนให้ตัวเองไปทำงานเพราะห่วงนักเรียน
ห่วงงานที่โรงเรียนกลัวไม่มีใครดูแล... 

ตอนสาย ๆ คุยกับเพื่อน  เพื่อนชมว่า  "ที่ไหนที่ตัวเองไปอยู่
ที่นั่นเจริญแน่นอนเพราะตัวเองทุ่มเท.."  ฟังแล้วก็ปลื้ม

ยิ่งมีคนมองเราว่าดี   เรายิ่งทำตัวให้ดีสมคุณค่าชีวิตที่เกิดมานะ
"ค่าของคนอยู๋ที่ความคิด  ค่าของชีวิตอยู่ที่ผลงาน"

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

วราภรณ์
เขียนเมื่อ

ป้องกันหรือแก้ไข

วันนี้เรายังคงมีหน้าที่เก็บเงิน
นักเรียนชั้น ม.๔

เมื่อวานเก็บเงินนักเรียน ชั้น ม.๑
สองห้อง เกือบ ๘๐ คน 
รีบไปหน่อยทำให้ผิดพลาด 
ขาดทุนไป ๔๕ บาท

วันนี้วางแผนอย่างดี  ทำงานอย่าง
รอบคอบ  เก็บเงินสองหมื่นเศษ ๆ
ไม่ผิดพลาดเลย

ป้องกันดีกว่าตามแก้ไขจริง ๆนะ
แต่เราว่า โรงเรียนใช้งานไม่ถูกคน
ใช้คนไม่ถูกงาน เสียแล้วสำหรับ
หน้าที่เก็บเงินที่ให้เราทำ

การวางคนไม่ถูกกับงานวางงาน
ไม่ถูกกับคนย่อมสร้างความเสียหาย
และสร้างความทุกข์ให้กับคนทำงาน
ไม่ถนัดโดยแท้



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

วราภรณ์
เขียนเมื่อ

วันนี้ที่โรงเรียนมีกิจกรรม
มอบตัวนักเรียนชั้น ม.๑
ตลอดจนการดำเนินการเรื่อง
งบประมาณที่รัฐอุดหนุน
ตามโครงการเรียนฟรี ๑๕ ปี

สิ่งที่รัฐสนับสนุนก็คือ ค่าชุด ๔๕๐ บาท
ค่าอุปกรณ์การเรียน ๒๓๐ บาท
ค่าหนังสืออีกหลายร้อยบาท

สิ่งที่ยุ่งยากก็คือการวางแผนให้รัดกุม
ในเรื่องของหลักฐานต่าง ๆ

ปีนี้โรงเรียนเราได้รับความไว้วางใจ
จากผู้ปกครองมีนักเรียนสมัครเข้า
มาเรียนมากกว่าเดิม หลายร้อยคน
จนต้องเปิดห้องเรียนเพิ่ม

ส่งผลไปยังครูผู้สอนซึ่งมีน้อยอยู่แล้ว
ยิ่งลำบากในการเพิ่มชั่วโมงสอนอีก

ทราบว่าโรงเรียนที่อยู่ต่างอำเภอ
ใกล้กัน  นักเรียนลดไปหลายร้อยคนเพราะแห่มาสมัครที่นี่  

เกิดอะไรขึ้นกับวงการศึกษา  
ผู้ปกครองบอกว่าโรงเรียนนี้
ดูแลนักเรียนดีกว่า

เราไม่อยากได้ยินเรื่องแบบนี้เลย
อยากให้ทุกโรงเรียนมีคุณภาพ
ครูรักหน้าที่  และรักการสอน
เด็กจะได้ไม่เหนื่อยในการเดินทาง
ผู้ปกครองไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
โรงเรียนที่มีชื่อก็ไม่ต้องเหนื่อย
ในการแบกรับนักเรียนจนล้น

การปฏิรูปการศึกษาคงไม่เกิดผล
ถ้าผู้บริหารและครูยังไม่ปฏิรูปตัวเอง



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

วราภรณ์
เขียนเมื่อ

น้ำใจให้แบ่งปัน

วันนี้มีโอกาสพาคุณแม่ไปหาหมอตามนัด
ที่โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์
แล้วก็ถือโอกาสไปตรวจสุขภาพตาด้วย

โรงพยาบาลแห่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดัง
เรื่องการรักษาตา  ว่ากันว่าเก่งมาก..ถึงที่สุด
หรือเปล่าไม่ทราบ 

ออกจากบ้านตั้งแต่ ๐๖.๓๐ น. กว่าจะได้ตรวจ
ก็เกือบเที่ยง ผู้คนหลั่งไหลกันมาเนืองแน่น
ปิดรับบัตรตั้งแต่เวลา ๑๐.๐๐ น.
เพราะคนไข้มีมากจริง ๆ

การตรวจละเอียดมาก 
ผ่านการซักประวัติ
การวัดสายตา
การวัดความดันลูกตา
แล้วก็เข้าคิวพบแพทย์ต่อไป

ระหว่างรอสังเกตเห็นผู้สูงอายุ
สองท่านสวมเสื้อเหลือง  มีบัตร
ติดที่หน้าอก  อาสาสมัครช่วยงาน
คอยเดินส่งเอกสารแฟ้มประวัติ
และคอยประกาศรายชื่อคนไข้ให้ไปวัดสายตา

ดูท่าทางขมีขมัน  ตั้งใจทำงานโดยไม่เหนื่อย
และไม่บ่น  เห็นแล้วรู้สึกชื่นชมจริง ๆ
การรู้จักให้และแบ่งปัน  ไม่ว่าจะเป็นเวลา
รอยยิ้ม  น้ำใจ  เงินทอง  ล้วนเป็นสิ่งประเสริฐ
ทั้งสิ้น

โลกนี้จะน่าอยู่เพียงไร  หากมีแต่คนคิดที่จะให้
มากกว่าคิดที่จะรับ



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

วราภรณ์
เขียนเมื่อ

รู้ว่ามีคนติดตามอ่านอนุทิน
ต้องขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่ะ

เรื่องเด็กนักเรียนที่ทำให้พ่อแม่หัวใจสลาย
ปรากฏว่าเด็กกลับมาบ้านแล้ว  แต่เรื่องคงไม่จบ
ง่าย ๆ  เพราะคุณครูที่นักเรียนแอบอ้างชื่อ
โกรธพอสมควรเพราะทำให้ท่านเสียชื่อเสียง
โรงเรียนก็เสียหาย

เด็กตัวแค่นี้ยังมีพิษสงมากมายขนาดนี้
แล้วถ้าโตขึ้นจะขนาดไหน ?

อดคิดถึงนิทานชาดกเรื่องหนึ่งไม่ได้
เจ้าชายน้อยพระองค์หนึ่ง  มีนิสัยดื้อดึง
เอาแต่ใจตัวเอง  ชอบรังแกผู้อื่นอยู่เสมอ

วันหนึ่งพระอาจารย์ของเจ้าชาย  ได้เก็บ
ใบสะเดาต้นเล็ก ๆ มา  แล้วให้เจ้าชายลองเคี้ยว
เคี้ยวเสร็จต้องบ้วนน้ำลายทิ้ง  ร้องว่าขม

พระอาจารย์ได้ทีกล่าวสอนว่า  "สะเดาแม้แต่
ต้นเล็ก ๆ ยังขมถึงปานนี้  แล้วถ้าหากโตขึ้น
จะขมขนาดไหน... เปรียบเหมือนเจ้าชาย เมื่อ
เป็นเด็กยังมีพฤติกรรมปานนี้แล้วโตขึ้นจะขนาดไหน..."

เป็นอันว่าเจ้าชายคิดได้กลับตัวเป็นคนดีในที่สุด
เอ...แล้วทำไมเด็กยุคใหม่ครูสอนแทบตาย
ทำไมไม่เกิดปัญญาเหมือนคนสมัยก่อนนะ....
แปลกจัง   คงเป็นเพราะกิเลสตัณหาที่ทับถม
มากเกินไปกระมัง...



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

วราภรณ์
เขียนเมื่อ

บวชเพื่ออะไร

 

 

เมื่อวานนี้มีโอกาสได้ร่วมงานอุปสมบทของหลานชายคนโต

ในช่วงการปลงผม  สังเกตหลานมี
สีหน้า  สงบนิ่ง  น่าชื่นชมและอนุโมทนาที่นักศึกษาหนุ่มรู้จักใช้เวลา
ในช่วงปิดภาคเรียน ๑ เดือนมาบวชให้
พ่อแม่ชื่นใจ

ช่วงล้างมือล้างเท้าให้พ่อแม่  ผู้นำพิธี
พูดได้ซาบซึ้งถึงบุญคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเรามา  เคยทำให้พ่อแม่เจ็บช้ำเสียน้ำตา
มือและเท้าของเราเคยทำร้ายแม่เมื่ออยู่ในครรภ์  บัดนี้เรามีโอกาสทดแทนคุณ
ด้วยการบวช   หากทำสิ่งไม่ดีก็ขออโหสิกรรม

เทศน์สอนนาคก่อนบวชจากพระหนุ่ม
ท่านได้สอนพ่อนาคถึงการบวช  เพื่อ
ทดแทนบุญคุณพ่อแม่  เพื่อสืบอายุ
พระพุทธศาสนา  เพื่อละเว้นสิ่งที่เป็น
โลกีย์ทั้งปวง  ขอให้พ่อนาคตั้งใจทำ
หน้าที่ให้ดีที่สุด  เพื่อการดำรงชีวิตอยู่
ให้เกิดประโยชน์และคุณค่าต่อตนเอง
และสังคม......

การบวชเพื่อ  ลดละสละสลัด
สู่การปล่อยวาง  เพื่อว่างทุกข์
ชีวิตที่เข้าถึงภาวะของการไม่มีอะไร
นอกจากความสงบเย็น
น่าจะเป็นปลายทางที่ดีที่สุดของชีวิต
ที่เกิดมานะ....... เราคิดเช่นนั้น




ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

วราภรณ์
เขียนเมื่อ

หัวใจสลาย

วันนี้ผู้เขียนรู้สึกหดหู่ชอบกล  เมื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น

ช่วงเที่ยงมีผู้ปกครองนักเรียนมาสอบถามเรื่อง
ลูกสาวไปเข้าค่ายยุวกาชาดกับทางโรงเรียนกำหนดกลับเมื่อวานนี้  ทำไมป่านนี้ยังไม่กลับ

สอบถามครูซึ่งกำลังดูแลนักเรียนเข้าค่ายอยู่
ทราบว่าเด็กนักเรียนทั้งสองคน  ไม่ได้มาเข้าค่าย
แต่หลอกผู้ปกครองว่าไปเข้าค่าย  โดยมีหนังสือ
จากทางโรงเรียนไปให้ผู้ปกครองเซ็นรับทราบ
(แต่ความจริงเด็กปลอมลายเซ็นพ่อแม่  แจ้งครูว่า
พ่อแม่ไม่อนุญาต  ครูจึงเปลี่ยนคนใหม่ไปแทน
แล้วเด็กก็นำใบขออนุญาตนั้น  คาดว่าคงไปถ่าย
เอกสารใหม่  ไปขออนุญาตพ่อแม่  พ่อแม่ก็เซ็น
อนุญาตให้ไป   และเชื่อสนิทว่าขณะนี้ลูกสาวอยู่
กับครูที่ต่างจังหวัด)

เกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทย  เด็กนักเรียนชั้น ม.๒
ชวนกันหลอกพ่อแม่ทั้งสองครอบครัว   เมื่อพ่อแม่
ทราบข่าวต่างชวนกันมาพบครูที่โรงเรียน   หัวอก
แทบสลาย  น้ำตาตกใน  ทั้งเสียใจทั้งห่วงลูก
ปากก็พร่ำบอกว่า  "ลูกไม่เคยไปไหน  อ่อนต่อโลก
ป่านนี้จะเป็นอย่างไร  จะถูกหลอกไปไหนหรือเปล่า"

ผู้เขียนเห็นความว้าวุ่นใจ  ความเศร้าโศกห่วงใย
ของผู้ปกครองที่มีต่อลูก   เด็กทั้งสองคนจะรู้หรือไม่   ขณะที่เธอทั้งสองอาจกำลังรื่นรมย์อย่างมี
ความสุข  คึกคะนองกับวัยไร้เดียงสา 
เปรียบเสมือนหน้าต่างบานแรกที่เธอเพิ่งเปิดไป
พบเห็นสิ่งแปลกใหม่   ซึ่งเธออาจตื่นเต้นสนุกสนานในเบื้องต้น  แต่อาจต้องเจ็บช้ำใน
ความผิดพลาดในเบื้องปลาย

อนาคตยังไม่รู้ว่า  ชะตากรรมเด็กทั้งสองจะเป็น
อย่างไร   ผู้เขียนได้แต่ปลอบใจผู้ปกครองว่า
ให้มองโลกในเชิงบวก  อาจไม่มีอะไรก็ได้  แต่
หัวอกพ่อแม่  คืนนี้คงกินไม่ได้นอนไม่หลับด้วย
ความเร่าร้อนใจจนกว่าจะพบลูก

ภาพชีวิตที่ผู้เขียนพบเห็นในวันนี้  ถามว่าเป็น
ความผิดของใคร ?   คงเป็นความล้มเหลวของ
สถาบันการศึกษากระนั้นหรือ  ที่ไม่สามารถสอน
ให้เด็กคิดเป็น  ทำเป็น  แก้ปัญหาเป็น  เพราะเรา
มุ่งแต่ให้เด็ก เก่ง ดี  มีสุข  ใช่หรือไม่ ปัญหาเด็ก
และเยาวชนจึงรุนแรงมากขึ้นทุกวัน



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท