|
1.3 Reasoning การใช้เห็นผลคือความสามารถในการอุปนัย นิรนัย การให้คำตอบแบบคาดคะเน การอุปมา อุปมัย และการใช้เหตุผลเชิงจริยธรรม
ทักษะเพื่อการเป็นครูมืออาชีพตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ครูต้องมีทักษะ 7C ทักษะทั้งหมดนี้จะสำเร็จได้ก็ได้รับความร่วมมือจากผู้ปกครองและมีชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม
1. C₁: Curriculum development การพัฒนาหลักสูตร ครูต้องออกแบบสร้างหลักสูตรรายวิชา ทั้งรายวิชาพื้นฐานและ รายวิชาเพิ่มเติม ครูต้องเขียนแผนจัดการเรียนรู้เน้นเด็กเป็นสำคัญสามารถเน้นได้ทั้งครูและเด็กเป็นศูนย์กลางโดยใช้นวัตกรรมการเรียนรู้ พร้อมทั้งแหล่งเรียนรู้
2. C₂: Child-Centered approach การเรียนรู้เน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง
3. C₃: Classroom Innovation implementation การนำนวัตกรรมไปใช้
4 C₄: Classroom authentic assessment การปะเมินตามสภาพจริง
5. C₅: Classroom action research การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน
6. C₆: Classroom management การจัดการชั้นเรียน
7. C₇: Character enhancement การเสริมสร้างทักษะ
การพัฒนาครูในยุคศตวรรษที่ 21 ต้องเป็นการพัฒนาทักษะ 7C ครูต้องมีจิตวิญญาณครู มีคุณธรรมจรรยาบรรณครู หรือเรียกว่า ความเป็นผู้มีคุณธรรมจริยธรรม หรือเป็น Ethics Character และทักษะสำคัญอย่างยิ่งสำหรับครูยุคใหม่ เพื่อสร้างเด็กยุคใหม่เป็นยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ คือ ครูต้องเป็นผู้มีสมรรถนะด้านคอมพิวเตอร์ หรือเป็น Electronics person
กลยุทธ์การเรียนการสอนที่ใช้เสริมสร้างผลการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
การสอนเป็นศาสตร์และศิลป์ เพราะเป็นลักษณะเฉพาะของคนแต่ละคนในกาถ่ายทอดความรู้ผู้สอนรู้วิธีการถ่ายทอด มีความรู้ รู้เทคนิคการถ่ายทอด ผู้สอนใช้เทคนิคให้ผู้เรียนสนใจเรียน นั่นคือศิลปะทางการสอน เช่นการถ่ายทอดโดยน้ำเสียงท่าทาง ภาษา หรือการสร้างบรรยากาศในห้องเรียนและบรรยากาศทางจิตใจ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
สามารถนำมาใช้ในการออกแบบการเรียนการสอนให้หลากหลาย โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญก่อนการออกแบบการเรียนการสอนครูต้องวิเคราะห์ผู้เรียน โดยใช้เทคนิคที่หลากหลายในการถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีที่สุด
ไม่มีความเห็น
|
1. ความคาดหวังที่จะได้รับ
การใช้ KM ในการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้
2. ความรู้ความเข้าใจที่ได้รับ
คนเราจะเกิดความรู้ได้จะต้องมีการแสวงหา มีการสังเกต มีการจดจำมีการจดบันทึกแล้วนำความรู้นั้นมาจัดระบบของความรู้ให้เป็นขั้นตอนแล้วผสมผสานเกิดเป็นความรู้และปัญญา ดังเช่น Hideo Yamazaki ได้จัดความรู้ไว้ดังนี้
Wisdom |
Knowledgee |
Information |
Data |
KM หมายถึง กระบวนการนำความรู้ประสบการณ์ที่มีอยู่หรือที่ได้จากการเรียนรู้มาใช้ประโยชน์สูงสุด ความรู้ที่อยู่ในตัวของคนเรานั้นจะมีอยู่ 2 แบบ คือ
1. Tacit Knowledge คือ ความรู้เดิมที่อยู่ในตัวบุคคล
2. Explicit Knowledge คือ ความรู้ที่ได้จากภายนอก ประสบการณ์ ทักษะต่างที่เราได้รับจากภายนอก
ดังนั้น กระบวนการเรียนรู้ของ KM คือ การนำความรู้ที่ได้จากภายนอก ประสบการณ์ ทักษะต่างที่เราได้รับมาผสมผสานกับความรู้เดิมที่เรามีอยู่แล้วทำให้เกิดเป็นความรู้ใหม่ขึ้นสามารถที่จะนำไปต่อยอดเป็นองค์ความรู้ใหม่ได้ ซึ่งเราจะนำ KM ไปใช้โดยกระบวนการต่าง ๆ ดังนี้
1. การสร้าง
2. การรวบรวม
3. การจัดเก็บ
4. การแลกเปลี่ยน
5. การนำไปใช้
สิ่งเหล่านี้เป็นกระบวนการที่จะ KM ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมแห่งการเรียนรู้พัฒนาองค์การต่อไป
3. การนำความรู้ไปใช้
การนำ KM ไปใช้ประโยชน์ คือ การนำเอาความรู้จากบุคคลที่ได้ถ่ายทอดไม่ว่าการอ่าน การสังเกต การสัมภาษณ์ การทดลอง เป็นต้น มาผสมผสานความรู้เดิมของเราที่มีอยู่แล้วทำให้เกิดเป็นความรู้ใหม่ เพื่อพัฒนาหน่วยงานหรืออค์การของเราให้มีความเข้มแข็ง หรือมีความก้าวหน้าทันยุคทันสมัยก้าวทันวิถีชีวิตปัจจุบันได้ เช่น ความเรื่องการอ่านทำนองเสนาะอย่างไรให้ไพเราะ จะออกเสียงอย่างไร เอื้นเสียง กันเสียง หรือทอดเสียงอย่างไร ให้เกิดความรู้สึกหรือจินตนาการของผู้ฟังให้มากที่สุด ซึ่งความรู้นี้สามารถถ่ายทอดให้กับผู้ที่สนใจได้ โดยทางลายลักษณ์อักษร หรือทางสื่อเทคโนโลยีต่างที่สามมารถเผยแพร่ให้คนได้ศึกษาเพื่อพัฒนาต่อยอดเป็นองค์ความรู้ใหม่ต่อไปได้
4.บรรยากาศในห้องเรียน
การอธิบายของอาจารย์มีความชัดเจน มีการยกตัวอย่างทำให้เข้าใจเนื้อหาและมีการอภิปราย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นที่ยังไม่เข้าใจทุกคนในห้องเรียนให้ความสนใจตลอดเวลา
ไม่มีความเห็น
|
1.สิ่งที่คาดว่าจะได้รับ
การเรียนวิชาการศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมแห่งการเรียนรู้เพื่อต้องการวิธีการในการจัดองค์ความรู้ขององค์กรให้เป็นระบบ แนวทางการจัดการองค์ความรู้ที่อยู่ในองค์กรณ์ การถ่ายทอดองค์ความรู้ในลักษณะต่างๆของบุคคลในองค์กรณ์
2. ความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้
สังคมแห่งการเรียนรู้ คือ ลักษณะของหน่วยงานหรือชุมชนที่ดำเนินการในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือหลายเรื่องพร้อม ๆ กัน เกี่ยวกับเรื่องอนุรักษ์ บำรุงรักษา ฟื้นฟู ป้องกัน คุ้มครอง พิทักษ์ ส่งเสริม สนับสนุน ช่วยเหลือ สืบสาน พัฒนา เผยแพร่ และปลูกจิตสำนึกให้แก่สมาชิกให้เรียนรู้ด้วยวิธีการต่าง ๆ ผ่านผู้รู้ สื่อ เทคโนโลยี สารสนเทศ แหล่งการเรียนรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่น และจากองค์ความรู้ต่าง ๆ ซึ่งทำให้สมาชิกสามารถสร้างความรู้ สร้างทักษะและมีระบบการจัดการความรู้ที่ดี รวมทั้งสามารถถ่ายทอดความรู้และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันทั้งภายในและภายนอกกลุ่มสมาชิก ตลอดจนสามารถใช้ความรู้เป็นเครื่องมือในการเลือกและตัดสินใจแก้ปัญหา เพื่อพัฒนาดำเนินชีวิตให้เหมาะสมกับสภาพของหน่วยงานหรือชุมชนนั้น
การสร้างบุคคลให้เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้นั้นต้องมีลักษณะดังนี้
1. ตระหนักถึงความสัมพันธ์ของการเรียนรู้
2. ใฝ่รู้ในการเรียนรู้ สร้างกระบวนการเรียนนรู้ด้วยตนเอง
3. มีโอกาสและเลือกที่จะเรียนรู้อยู่อย่างต่อเนื่อง
4. มีทักษะในการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา
การที่จะเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ได้นั้น ทุกคนจะต้องมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันภายในสังคม มีความพร้อมที่จะเรียนรู้ซึ่งกันและกันภายในสังคม มีความพร้อมที่จะเรียนรู้ รับข้อมูลข่าวสารอยู่ตลอดเวลา มีความรู้ความสามารถในด้านการใช้เทคโนโลยี เข้าถึงระบบเครือข่ายสารสนเทศที่ทันสมัยเลือกที่จะเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและที่สำคัญจะต้องมีทักษะด้านการคิด วิเคราะห์ คิดวิจารณญาณ แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้
3. การนำความรู้ไปใช้
สามารถที่จะนำองค์ความรู้ที่มีอยู่ในองค์กรณ์มาจัดระบบและเผยแพร่องค์ความรู้เหล่านั้นให้ผู้อื่นได้ศึกษาแลกเปลี่ยนเรียนรู้โดยวิธีการต่าง ๆเช่น การเผยแพร่ผ่านสืออิเล็กทรอนิคส์ เว็ปไซต์ ที่ผู้สนใจสามารถที่จะเข้าถึงองค์ความรู้เหล่านั้นได้และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
ไม่มีความเห็น
|
1. เทคนิคที่ทำให้จำได้
การเรียนวิชาภาษาไทยนักเรียนส่วนใหญ่มองว่าเป็นวิชาที่เข้าใจยากไม่รู้ว่าอะไรคือคำเป็น คำตาย คำซ้ำ คำซ้อน และเบื่อที่ต้องท่องบทอาขยาน และทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่อยากเรียน โดยเฉพาะการท่องบทอาขยานที่ครูพาท่องและต้องท่องสอบเอาคะแนน ต้องใช้ระยะเวลาเป็นภาคเรียนในการสอบท่องจำบทอาขยานแต่ละครั้งกว่านักเรียนจะมาท่องได้ ซึ่งทำให้เกิดปัญหากับครูผู้สอนและตัวนักเรียนด้วย
2. วิธีการที่จะทำให้เด็กจำได้
วิธีการช่วยจำของนักเรียนทำได้โดยการอธิบายให้เด็กเข้าใจก่อนว่าบทอาขยานนั้นมีความสำคัญอย่างไร เพราะเหตุใดเราต้องท่อง เมื่อเด็กเข้าใจแล้วก็จะเห็นความสำคัญของบทอาขยาน หลังจากนั้นครูก็พานักเรียนท่องก่อน 1-2 รอบ แล้วให้นักเรียนท่องเอง วันแรกๆ นักเรียนก็ท่องไม่ค่อยได้เพราะจำทำนองไม่ได้ ครูก็พาท่องทุกวันก่อนเรียนวันละ 1 รอบ ทำอย่างนี้ทุกคาบเรียน จนนักเรียนจำได้และเข้าใจว่าเวลาเรียนภาษาไทยก่อนอื่นต้องท่องบทอขายานก่อนแล้วถึงจะเรียนและที่สำคัญที่สุดผลที่ได้จากการทำบ่อยๆ ซ้ำ ๆ ทำให้นักเรียนนั้นจำทำนองได้ขึ้นใจและนักเรียนจากที่เคยให้เวลาเป็นภาคเรียนก็มาท่องบทอขยานเร็วขึ้นเพราะเขาจำได้และเข้าใจ และยังมีเหตุผลการให้คะแนนเป็นการวางเงื่อนไขว่าในการที่นักเรีนมาท่องบทอขยายนั้นจะต้องมีเกณฑ์การให้คะแนน คือ ถ้านักเรียนมาท่องภายในระยะเวลาที่กำหนดจะได้คะแนนเต็ม 10 แต่ครูต้องดูความถูกต้องของการท่องบทอขยายด้วย และถ้านักเรียนมาท่องหลังระยะเวลาที่กำหนดก็จะได้คะแนนเต็มลดหลั่นกันลงไป จากเต็ม 10 ก็เหลือ 9 , 8 , 7 ตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะใช้คะแนนเป็นตัวช่วยในการให้เด็กเกิดความกระตือรือร้นในการมาท่องบทอาขยานเร็วขึ้นด้วย
ดังนั้น วิธีที่เด็กได้ฝึกปฏิบัติบ่อย ๆ หรือทำซ้ำเป็นประจำจะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ดีขึ้นซึ่งอาจจะมองว่าเป็นวิธีที่ง่ายแต่ก็ใช้ได้ผลดีกับผู้เรียน
ไม่มีความเห็น
|
1. ความคาดหวังที่จะได้รับ
( Learning Organization : LO ) มีความสำคัญอย่างไรกับการจัดการเรียนการสอน มีแนวทางในการสร้างองค์ความรู้อย่างไร
2. ความรู้ความเข้าใจที่ได้รับ
องค์กรแห่งการเรียนรู้ ( Learning Organization : LO ) ผู้บริหารที่ดี ต้องรู้จักส่งเสริม การเรียนรู้ทั่วทั้งองค์กร ให้องค์กรของตนเกิดเป็น “องค์กรแห่งการเรียนรู้” เพราะ “การเรียนรู้” จะก่อให้เกิดการพัฒนาศักยภาพความเป็นมนุษย์อย่างเต็มที่ มีความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) หลุดพ้นจากความคิดที่คับแคบ เชื่อมโยงกับโลกความจริง ความสุข (Instant Happiness) ลักษณะของ องค์กรแห่งการเรียนรู้ (LO) คือการขยายความรู้ระดับต่างไปยัง บุคคล ระดับกลุ่ม ระดับองค์กร
เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ มีการกระจายการบริหารไปยังส่วนต่าง ๆ ลักษณะของ องค์กรแห่งการเรียนรู้ (LO) จะต้องมีโครงสร้างที่เหมาะสม มีวัฒนธรรมเรียนรู้ในองค์กร การเพิ่มอำนาจในการปฏิบัติงาน ต้องมีการตรวจสอบ ทุกคนต้องมีส่วนสร้างและถ่ายโอนความรู้ ใช้เทคโนโลยีในการสนับสนุน เน้นความมีกลยุทธ์ มีบรรยากาศที่เกื้อหนุน ทำงานเป็นทีม มีวิสัยทัศน์
( Learning Organization : LO ) จะเป็นตัวที่จะช่วยพัฒนาบุคคลากรให้มีศักยภาพอย่างเติมที่ กล่าวคือ เมื่อบุคคลภายในหน่วยงานมีการรับเอาความรู้จากสังคมภายนอกเข้ามาแล้วนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างบุคคลกรภายในหน่วยงานแล้วนำความรู้เหล่านั้นมาพัฒนาหน่วยงานของตนให้มีความเข้มแข็งทันสมัยในยุคปัจจุปันและขยายความรู้ที่ได้ไปยังองค์กรที่ใหญ่ขึ้นเพื่อพัฒนาต่อไป
3. การนำความรู้ไปใช้
องค์กรแห่งการเรียนรู้ ( Learning Organization : LO ) ที่นำไปใช้ในสถานศึกษาหรือโรงเรียน คือการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาช่วยในการจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนมีแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย นอกเหนือจากห้องสมุด เช่น ระบบอินเตอร์เน็ต การเรียนผ่านระบบออนไลน์ หรือนำสื่อการเรียนการสอนที่ทันสมัยสะดวก รวดเร็ว ตรงตามจุดประสงค์มาใช้ในการจัดการเรีนรู้ของผู้เรียน ให้มีผลสมฤทธิ์ดีขึ้น
4. บรรยากาศในห้องเรียน
การอธิบายของอาจารย์มีความชัดเจน มีการยกตัวอย่างทำให้เข้าใจเนื้อหาและมีการอภิปราย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นที่ยังไม่เข้าใจทุกคนในห้องเรียนให้ความสนใจตลอดเวลา
ไม่มีความเห็น
|
1. ความคาดหมายในการเข้าอบรม
การเข้าอบรม Flipped Classroom ห้องเรียนกลับด้านนั้นเพื่อต้องการทราบการจัดการเรียนการสอนแบบกลับด้านเป็นอย่างไร ถ้าจัดการเรียนการสอนแล้วนักเรียนจะเกิดการเรียนรู้ได้อย่างไรและจะนำไปใช้ในโรงเรียนอย่างไรบ้าง
2. ความรู้ความเข้าใจที่ได้รับ
การจัดการเรียนรู้แบบ Flipped Classroom นั้น เป็นการจัดการเรียนการสอนรูปแบบหนึ่งซึ่งให้ความสำคัญกับครูผู้สอน กลับมาให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ของผู้เรียนแทน หมายความว่าจากที่ครูเคยเป็นผู้บรรยายเนื้อหาต่างๆ อยู่ในชั้นเรียน แล้วมอบหมายงานให้ไปทำที่บ้าน ในขณะที่การบ้านนั้นนักเรียนอาจทำไม่ได้ หรือมีข้อสงสัย ไม่เข้าใจหรืออาจจะทำการบ้านไม่ได้ ก็เปลี่ยนเป็นการให้นักเรียนไปศึกษาค้นคว้าเนื้อหาวิชาที่เรียนมาก่อนจากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ แทน แล้วนำการบ้านหรือกิจกรรมที่ให้ไปทำที่บ้านมาทำในชั้นเรียนโดยครูเป็นผู้แนะนำ หรือให้ความช่วยเหลือ ตอบข้อสงสัยของนักเรียนเป็นการเรียนรู้ร่วมกันและให้ความสำคัญที่ตัวของผู้เรียนมากขึ้น
การจัดการเรียนแบบ Flipped Classroom นั้นเป็นการจัดการเรียนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ การเรียนรู้ขึ้นอยู่กับผู้เรียนที่จะให้ความสนใจในการเรียนมากน้อยแค่ไหน มีการค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม จากสื่อเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ครูจัดให้ ซึ่งบ้างครั้งขึ้นอยู่กับผู้เรียนให้ความสนใจในการเรียน ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นที่อยากจะเรียนหรือไม่ แต่บางครั้งอาจจะพบกับปัญหาผู้เรียนที่ขาดความสนใจ ขาดความเอาใจใสในการเรียนไม่ไปศึกษาค้นคว้างานที่ครูมอบหมายให้ไปศึกษาค้นคว้ามาก่อน จะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ช้ากว่าคนอื่นได้
การจัดการเรียน Flipped Classroom เมื่อนำมาใช้ในชั้นเรียนแล้วผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้นผู้เรียนได้ไปศึกษาค้นคว้าข้อมูล เนื้อหามาก่อนแล้ว เมื่อมาถึงชั้นเรียนครูแค่อธิบายเพิ่มเติมเล็กน้อยแล้วก็ตอบข้อสงสัย ให้ความช่วยเหลือหรือแนะนำเพิ่มเติมให้กับของนักเรียนเท่านั้นและที่สำคัญทำให้เวลาในการทำกิจกรรมการเรียนรู้เหลือมากขึ้นที่จะช่วยเพิ่มพูนความรู้ให้ดียิ่งขึ้น
3. การนำ Flipped Classroom ประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอน
ในการจัดการเรียน Flipped Classroom นั้น เป็นการจัดการเรียนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยครูเป็นเพียงผู้แนะนำ ช่วยเหลือ ผู้เรียนเท่านั้น ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาต่าง ๆได้ ตามความเหมาะสม เช่น ในรายวิชาภาษาไทย ในการเรียนวิชาวรรณคดี เช่น ลิลิตตะเลงพ่าย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งก็จะมีภาพยนต์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการทำยุทธหัตถี ของสมเด็จพระนเรศวร ฯ กับพระมหาอุปราชา ครูก็มอบหมายให้นักเรียนไปดูทางอินเตอร์เน็ต แล้วนำความรู้ที่ได้มาวิพากษ์ วิจารณ์ แสดงความคิดเห็น หรือการเรียนเรื่องการโต้วาที ครูก็ให้นักเรียนศึกษาจากเทคโนโลยีสารสนเทศ สื่อที่เป็นแผ่นซีดีรอม ที่ครูจัดไว้ให้ ซึ่งจะเป็นตัวอย่างการโต้วาทีที่ได้มีการนำมาลงไว้อย่างมากมายแล้วหลังจากนั้นพอถึงคาบเรียน ครูแบ่งกลุ่มผู้เรียนจัดประเด็นในการโต้วาที โดยครูเป็นเพียงผู้แนะนำและช่วยเหลือเท่านั้น
การจัดการเรียนการสอนแบบ Flipped Classroom จะใช้สื่อเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการจัดการเรียนการสอนอย่างมาก ซึ่งอาจจะเกิดปัญหากับผู้เรียนที่ไม่เข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านั้น อาจทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ช้ากว่าคนอื่นได้
ไม่มีความเห็น
|
1.สิ่งที่คาดหวัง
วิธีการจัดการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และรูปแบบการจัดกิจกรรมการสอนการสอนตามความถนัดของผู้เรียน
2. ความรู้ที่ได้รับ
การจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานตามมาตรฐานคุณภาพของสถานศึกษาด้านการจัดการเรียนรู้เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ยึดหลักคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและพัฒนาการทางสมองให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรม การจัดกิจกรรมที่หลากหลาย ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มศักยภาพตามแนวทางที่ถนัด ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถการจัดการเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด
ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ
ในการจัดกิจกรรมการเรียนสอนหรือจัดกิจกรรมผู้สอนต้องวิเคราะห์ผู้เรียนว่าผู้เรียนถนัดการใช้สมองด้านไหน ถ้าใช้สมอง ต้องค้นหาความสามารถของผู้เรียนออกมาให้ได้ ต้องสังเกต พิจารณาผลการเรียน สำรวจความสามารถผู้เรียน หลังจากนั้นการจัดการเรียนเรียนรู้โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและพัฒนาการทางสมอง ผู้สอนใช้วิธีการสอนที่หลากหลาย ยืดหยุ่นสอดคล้องกับวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียนได้ตามแนวทางวิธีที่ตนถนัด
บุคคล ซึ่งสอดคล้องกับผู้เรียนที่มีความสามารถของผู้เรียนที่มีความแตกต่าง มุ่งพัฒนาสมองทั้ง 2 ซีก คือซีกซ้ายและซีกขวาไปพร้อมๆกันทฤษฏี 4MAT ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงได้ประสบการณ์ ผู้เรียนสามารถสร้างจินตนาการเองได้สร้างความรู้ได้ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฏีพหุปัญญา ที่อธิบายความสามารถของเด็กที่แตกต่างกัน 10 ด้าน และเด็กแต่ละคนสามารถเรียนรู้ได้ดีที่สุดจากการใช้ความสามารถเป็นพื้นฐานการเรียนรู้
4. นำไปใช้ในชีวิต
นำทฤษฏี 4MAT การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่หลากหลายมาใช้กับผู้เรียนทีมีความแตกต่างด้านสมองเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีที่สุดสามารถพัฒนาทักษะต่างๆได้ดี โดยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมให้ในการทำกิจกรรมเห็นความสำคัญกับผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรียนรู้สึกว่ามีคุณค่าพร้อมที่จะเรียนรู้และพัฒนาไปพร้อมๆกับเพื่อน
ไม่มีความเห็น