ตอน “ การปรับแนวคิด (การคิด) ”
" การคิดนั้นอาจคิดได้หลายอย่าง จะคิดให้วัฒนะ คือ คิดแล้วทำให้เจริญงอกงามก็ได้ จะคิดให้หายนะ คือ คิดแล้วทำให้พินาศฉิบหายก็ได้ การคิดให้เจริญจึงต้องมีหลักอาศัย หมายความว่า เมื่อคิดเรื่องใด สิ่งใด ต้องตั้งใจให้มั่นคงในความเป็นกลาง ไม่ปล่อยให้อคติอย่างหนึ่งอย่างใดครอบงำ ให้มีแต่ความจริงใจ ตรงตามเหตุผลที่ถูกต้องและเป็นธรรม"
พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (ทิพย์วัลย์ ,2546 )
ที่ยก พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มาเพื่อกระตุ้นเตือนสติ ให้เห็นว่าความคิดนั้นสำคัญยิ่งอย่างไร ดังนั้นนักพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นนักพัฒนาชุมชน นักพัฒนาสังคมในด้านอื่น นักพัฒนาอาชีพการเกษตร หรือนักส่งเสริมการเกษตรเราก็ตาม ก่อนที่จะปฏิบัติงานในพื้นที่ ในชุมชนท้องถิ่น สิ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานของเราก็คือ การปรับแนวความคิด (การคิด) ของตนเองในการทำงานเป็นลำดับแรก เริ่มต้นโดยให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องในการทำงาน ซึ่งจะนำไปสู่การมีความคิดเห็นที่ถูกต้อง ในการเป็นนักส่งเสริมการเกษตร ที่ดี
ดังนั้น ทุกคนจึงต้อง “เปิดใจ” ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องก่อน เพราะใจคือจุดเริ่มต้นของพฤติกรรมและสรรพการกระทำต่าง ๆ เปรียบได้กับต้นน้ำ เป็นแหล่งกำเนิดของธารน้ำหลากหลาย (เกรียงศักดิ์ , 2539) ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องก่อน เพราะใจคือจุดเริ่มต้นของพฤติกรรมและสรรพการกระทำต่าง ๆ เปรียบได้กับต้นน้ำ เป็นแหล่งกำเนิดของธารน้ำหลากหลาย (เกรียงศักดิ์ , 2539) ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องก่อน เพราะใจคือจุดเริ่มต้นของพฤติกรรมและสรรพการกระทำต่าง ๆ เปรียบได้กับต้นน้ำ เป็นแหล่งกำเนิดของธารน้ำหลากหลาย (เกรียงศักดิ์ , 2539)
การปรับแนวคิด (การคิด) คืออะไร..
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้ความหมายไว้ดังนี้
ปรับ หมายถึง ทำให้อยู่ในสภาพที่เหมาะหรือดีขึ้น
หมายถึง ทำให้อยู่ในสภาพที่เหมาะหรือดีขึ้น
แนวคิด หมายถึง ความคิดที่มีแนวทางปฏิบัติ เช่นแนวคิดในการปฏิรูปการศึกษา
หมายถึง ความคิดที่มีแนวทางปฏิบัติ เช่นแนวคิดในการปฏิรูปการศึกษา
การคิด คือ กิจกรรมทางความคิดที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะเจาะจง เรารู้ว่าเรากำลังคิดเพื่อวัตถุประสงค์อะไรบางอย่าง และสามารถควบคุมให้คิดจนบรรลุเป้าหมายได้ (เกรียงศักดิ์, 2548)
การปรับแนวคิด (การคิด) จึงหมายถึงการมีความเข้าใจที่ถูกต้องหรือการมีความคิดเห็นที่ถูกต้อง(สัมมาทิฐิ) ในการทำงาน รวมไปถึงมีวิธีการคิดที่ถูกต้องที่จะส่งผลต่อการทำงานไปในทิศทางที่ดีขึ้น และในบทความนี้จะใช้คำว่าการปรับแนวคิดไปจนจบบทความ
ทำไมต้องเริ่มที่การปรับแนวคิด…..?
ก็เพราะเราคิดต่างกัน และสิ่งที่สำคัญก็คือคนเรามีประสบการณ์ ความรู้ และความเข้าใจที่แตกต่างกันนั่นเอง ทำให้ในขณะที่เราคิดเรามีตัวร่วมในความคิดหลายตัว สิ่งหนึ่งที่ส่งผลต่อความคิดเห็นที่ถูกต้องก็คือ กรอบโลกทัศน์ / ชีวทัศน์ ของแต่ละคน ซึ่งเป็นมาตรฐานที่คน ๆ หนึ่งจะใช้ในการประเมินให้คุณค่า หรือตัดสินเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่เกิดขึ้นในโลกและชีวิต ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นตัวแบบความคิด (Model) หรือปรัชญาการมองโลกของคน
การที่เรามีกรอบความคิด หรือคิดเพียงภายในกรอบของตน ซึ่งจำกัดด้วยประสบการณ์ ความรู้ วัฒนธรรม เรามักสรุปสิ่งต่างๆ ตามความคิด ตามอารมณ์ความรู้สึก โดยไม่ได้คำนึงว่าความจริงจะเป็นเช่นไร ซึ่งการทำเช่นนี้อาจส่งผลเสียหายหลายประการ ถ้าเรายึดกรอบโลกทัศน์/ชีวทัศน์เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งไว้อย่างมั่นคง อาจเป็นเหตุให้ความคิดของเราในเรื่องนั้นถูกปิดกั้นไม่ได้พิจารณาข้อมูลที่ได้รับในทุกมุมมอง อันอาจทำ ให้เราได้ข้อสรุปทางความคิดที่ผิดพลาดได้ (เกรียงศักดิ์, 2548) ดังนั้นการพัฒนาต้องเริ่มที่ความเข้าใจที่ถูกต้อง มีการคิดที่ถูกต้อง ทำให้มีความเห็นที่ถูกต้อง ปรับทัศนคติ และการมองโลกรอบตัวอย่างถูกต้อง มีศรัทธาในการทำงาน นี่แหละคือเหตุผลที่ต้องเริ่มต้นที่การปรับแนวคิด..
การปรับแนวคิดนั้น ทุกคนต้องปรับแนวคิด คือทั้งความรู้และความคิด ไปสู่ความคิดเห็นหรือความเข้าใจที่ถูกต้อง ( สัมมาทิฐิ : Right Understanding ) การเข้าใจถูกต้องเป็นเบื้องต้น แล้วจะนำไปสู่ การพูด การกระทำ และการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องตามมา โดยมีการคิดที่ถูกต้องคอยกำกับทุกขณะ ( พระโพธิรักษ์, 2526 )
ทำไมต้องปรับแนวคิดให้ถูกต้อง ...?
หลายคนอาจถามอยู่ในใจ ก็เพราะอาชีพของเรา เป็นอาชีพที่จะต้องพัฒนาคน หรือเกี่ยวข้องกับคน ซึ่งเป็นงานที่ยาก อีกทั้งคนที่เราทำงานด้วยนั้นเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ มีอาชีพทางเกษตรกรรม ในบางส่วนก็ล้วนแต่มีปัญหาอยู่รอบตัวอยู่แล้ว หากเรามีแนวคิดเห็นที่ถูกต้องในการทำงาน ตั้งใจปฏิบัติงาน ย่อมส่งผลประโยชน์แก่พวกเขาเหล่านั้น สามารถเป็นที่พึ่งของเกษตรกร เป็นที่ปรึกษาช่วยแก้ปัญหา นำไปสู่การพัฒนาอาชีพ และความเป็นอยู่ของเกษตรกรให้ดีขึ้น
ดังนั้น การที่จะเป็นนักส่งเสริมการเกษตรที่ดี คือทำตามบทบาทและหน้าที่ของนักส่งเสริมการเกษตรแบบมืออาชีพ คงต้องหันย้อนกลับมามองตัวเราเอง เรียนรู้ตนเองพิจารณาให้ละเอียดรอบคอบว่า สิ่งที่เรายึดถือเป็นหลักการในการทำงานนั้น เราได้ทำตามแนวทางที่ถูกต้องแล้วหรือยัง กล่าวคือ
มุมมองภายในตัวเราเอง ลองพิจารณาดูซิว่าเราพอใจ และมีศรัทธาในการงานที่เราปฏิบัติอยู่นี้แล้วหรือยัง ถ้ายังก็คงต้องคิดและตรึกตรองให้ดี เพราะการงานที่เราทำอยู่นี้ ก็สามารถเลี้ยงตัวเราเองและครอบครัวให้มีความสุขได้ อยู่แล้วเพราะ “หากเราไม่ได้ทำในสิ่งที่เราชอบ ก็จงชอบในสิ่งที่เรากำลังทำ” ( ชะวัชชัย,2540 )
เราได้ทำหน้าที่ในงานของเราอย่างดีที่สุดแล้วหรือยัง บทบาทหน้าที่ของเรา เราต้องทำให้ดีที่สุด จนสุดความสามารถ คงไม่ต้องเปรียบเทียบกับคนอื่นว่าทำได้ดีหรือด้อยกว่าเรา เพราะมันไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมากับงาน และแก่ตัวเราเองเลย ขอให้เราทำให้ดีที่สุด
เราต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เราเคยคิดและเคยทำในอดีต ลองคิดทบทวนดูซิว่า สิ่งไหนที่เราควรทำต่อไปเพราะดีอยู่แล้ว และมีสิ่งไหนที่เราต้องปรับเปลี่ยน เพราะไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นความคิดหรือการกระทำ ไม่ควรยึดคติหัวชนฝา หรือกระต่ายขาเดียว ปรับเปลี่ยนโลกทัศน์ใหม่ (Paradigm shift) เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนวิธีคิด และวิธีทำเดิมคงต้องปรับเปลี่ยนตาม
สิ่งที่เราเคยคิดและเคยทำในอดีต ลองคิดทบทวนดูซิว่า สิ่งไหนที่เราควรทำต่อไปเพราะดีอยู่แล้ว และมีสิ่งไหนที่เราต้องปรับเปลี่ยน เพราะไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นความคิดหรือการกระทำ ไม่ควรยึดคติหัวชนฝา หรือกระต่ายขาเดียว ปรับเปลี่ยนโลกทัศน์ใหม่ (Paradigm shift) เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนวิธีคิด และวิธีทำเดิมคงต้องปรับเปลี่ยนตาม
เกษตรกรเป็นศูนย์กลางในการทำงาน การทำงานของเรา เราใช้อะไรเป็นศูนย์กลางในการทำงาน ตัวเรา เพื่อนร่วมงาน หรือผู้บังคับบัญชา ฯลฯ จุดเริ่มของงานควรเริ่มต้นที่เกษตรกรเป็นศูนย์กลางในการทำงาน โดยเราเป็นเพียงผู้อำนวยการเรียนรู้ (คุณอำนวย)
เรียนรู้และพัฒนาทักษะการคิด ของตนเองอยู่ตลอดเวลา พิจารณาว่าในวันนี้ เราเรียนรู้และพัฒนาการคิดของเรา เพิ่มขึ้นจาก วันก่อน เดือนก่อน หรือปีก่อนบ้างหรือไม่ เราได้พัฒนาทักษะการคิดของตนเองจากอดีต เป็นการคิดที่เป็นระบบขึ้น เช่นมีการคิดเปรียบเทียบ การคิดวิเคราะห์และสังเคราะห์ การคิดเชิงสร้างสรรค์ การคิดเชิงอนาคต เป็นต้น
ลองคิดและทบทวนดูว่า สิ่งที่เราเข้าใจอยู่ในปัจจุบันเรามีความเข้าใจที่ถูกต้องในการทำงานตามบทบาทหน้าที่ของนักส่งเสริมการเกษตรแล้วหรือยัง คงไม่มีใครกำหนดหรือบังคับให้เราคิดดี พูดดี และทำดีได้ ถ้าตัวเราเองซึ่งเป็นเจ้าของความคิด สามารถที่จะบังคับหรือกำหนดการกระทำของตัวเราเองให้คิดดี พูดดี หรือกระทำแต่ความดี แต่ไม่ยอมปรับเปลี่ยน
เราต้อง “ รู้ผิด รู้ถูก รู้ดี รู้ชอบ รู้คิด รู้ทำ มีศรัทธาในการทำงานด้วยตัวเราเอง ” คนอื่นหรือบทความที่เขียนไว้นี้ เป็นเพียงแนวทางหรือข้อคิดหนึ่งเท่านั้น แต่คงไม่เปลี่ยนแปลงตัวเราได้ ตราบใดที่เรายังไม่เปิดใจ มีโลกทัศน์และทัศนคติที่ดี มีความคิดเห็นที่ถูกต้อง ยอมรับและศรัทธาในการทำงาน ตระหนักในหน้าที่ ยินดีที่จะปรับเปลี่ยนแนวคิดด้วยตัวของเราเอง คนอื่นหรือบทความที่เขียนไว้นี้ เป็นเพียงแนวทางหรือข้อคิดหนึ่งเท่านั้น แต่คงไม่เปลี่ยนแปลงตัวเราได้( ชะวัชชัย,2540 )
ลองพิจารณาดูซิว่าเราพอใจ และมีศรัทธาในการงานที่เราปฏิบัติอยู่นี้แล้วหรือยัง ถ้ายังก็คงต้องคิดและตรึกตรองให้ดี เพราะการงานที่เราทำอยู่นี้ ก็สามารถเลี้ยงตัวเราเองและครอบครัวให้มีความสุขได้ อยู่แล้วเพราะ ( ชะวัชชัย,2540 ) บทบาทหน้าที่ของเรา เราต้องทำให้ดีที่สุด จนสุดความสามารถ คงไม่ต้องเปรียบเทียบกับคนอื่นว่าทำได้ดีหรือด้อยกว่าเรา เพราะมันไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมากับงาน และแก่ตัวเราเองเลย ขอให้เราทำให้ดีที่สุดสิ่งที่เราเคยคิดและเคยทำในอดีต ลองคิดทบทวนดูซิว่า สิ่งไหนที่เราควรทำต่อไปเพราะดีอยู่แล้ว และมีสิ่งไหนที่เราต้องปรับเปลี่ยน เพราะไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นความคิดหรือการกระทำ ไม่ควรยึดคติหัวชนฝา หรือกระต่ายขาเดียว ปรับเปลี่ยนโลกทัศน์ใหม่หรือมุมมอง (Paradigm shift) เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนวิธีคิด และวิธีทำแบบเดิมๆ คงต้องปรับเปลี่ยนตาม เพราะการปรับเปลี่ยน หรือจะพัฒนาใดๆ ก็ตาม ต้องเริ่มต้นที่การปรับแนวคิด(ความคิด)ของตัวเรา ให้มีความคิดเห็นที่ถูกต้อง ( สัมมาทิฐิ : Right Understanding ) ก่อนเสมอ
เอกสารอ้างอิง
เกรียงศักดิ์ เจริญวงค์ศักดิ์ , เรียนรู้วิถีสู่ความสำเร็จ, ซัคเซสมีเดีย , กรุงเทพฯ ,2539.
, ลายแทงนักคิด , พิมพ์ครั้งที่ 8 , ซัคเซสมีเดีย , กรุงเทพฯ ,2548.
ชะวัชชัย ภาติณธุ, อินไซด์เอาท์ , ไอ.เอส.พริ้นติ้ง เฮ้าส์, กรุงเทพฯ,2540.
พระโพธิรักษ์, สมาธิพุทธ เล่ม 1 , มูลนิธิธรรมสันติ, กรุงเทพฯ ,2526.
ทิพย์วัลย์ สีจันทร์และคณะ, การคิดและการตัดสินใจ , ศูนย์หนังสือสถาบันราชภัฎสวนดุสิต, กรุงเทพฯ , 2546.
ไม่มีความเห็น