เช้านี้ ฉันได้รับโทรศัพท์จากผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่เคยทำงานด้วยกันที่กรุงเทพฯ ซึ่งพยายามติดต่อฉันตั้งแต่เมื่อคืน ท่านโทรมาส่งข่าวด้วยความห่วงใย เกี่ยวกับเรื่องการร้องเรียนทุจริตคอรัปชั่นในพื้นที่
เพราะเมื่อสัปดาห์ก่อน ฉันเพิ่งได้มีโอกาสเล่าให้ท่านฟังว่ามีบางคนในพื้นที่ที่เป็นห่วงฉัน ส่งข่าวว่ามีผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งพูดถึงฉันด้วยความเป็นห่วงว่า "กลับมาอยู่ในพื้นที่แบบนี้ ไม่กลัวหรือ ใครๆ (หมายถึงหลายคนที่เกี่ยวข้องกับงานนี้) ก็รู้จักฉันหมด ไม่กลัวตายเหมือน ... (เอ่ยชื่อนักการเมืองท้องถิ่นคนหนึ่งที่ถูกยิงตายเมื่อหลายปีก่อน) หรือไง??"
หลายปีก่อนเมื่อฉันเริ่มต้นทำงานใหม่ๆ ตั้งแต่เรียนจบ ได้มีโอกาสทำงานที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ ร่วมกับส่วนราชการและนักวิชาการด้านกฎหมาย แล้วพลันต้องเข้าไปพัวพันกับการร้องเรียนเรื่องทุจริตคอรัปชั่นของข้าราชการในพื้นที่โดยไม่มีประสบการณ์ และประเมินสถานการณ์ไม่ถึง เนื่องจากไม่อาจรู้ว่าชื่อของฉัน จะถูกเปิดเผยตลอดสายตั้งแต่ส่วนกลางลงมาจนถึงระดับท้องถิ่น จนกระทั่งถึงตัวผู้ถูกร้องเรียน
ครั้งนั้นผ่านไปด้วยการได้สิทธิตามกฎหมายของประชาชน โดยข้าราชการบางคนที่เกี่ยวข้องต้องถูกย้ายด่วน หลายคนโดนตั้งกรรมการสอบวินัย และอาญา แต่ปัจจุบันก็กลับมาทำงานตามเดิม บางคนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เช่นพยาน ก็ถูกข่มขู่ ส่วนฉันก็ทำงานที่ส่วนกลางต่ออีกหลายปี จนกระทั่งตัดสินใจกลับมาทำงานในพื้นที่นี้อีกครั้งเมื่อต้นปีนี้
แม้ครั้งนี้ฉันมีประสบการณ์มากขึ้น และรู้ว่าการเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการทุจริตคอรัปชั่นในบางเรื่อง อาจเป็นเพียงการเอาเรือไปขวางท่ามกลางกระแสน้ำเชี่ยว ที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งสองฝ่ายมีผลประโยชน์ร่วมกัน และเราซึ่งเป็นคนนอกอาจเป็นเพียงผู้รับเคราะห์สำหรับความหวังดี
และที่สำคัญฉันเข้าใจว่าการจะช่วยให้ชาวบ้านเข้มแข็งต้องให้ "ความรู้" หรือ อาวุธทางปัญญา ไม่ว่าจะเป็นด้านกฎหมาย หรือการวิเคราะห์สังคม หรือในด้านต่างๆ เพื่อให้เขาสามารถแก้ไขปัญหาของตัวเขาเอง หรือสร้างสะพานด้วยตัวเองได้ ไม่ใช่เราเข้าไปจัดการให้
แต่การที่ฉันเคยเกี่ยวข้องกับปัญหาการร้องเรียนทุจริตคอรัปชั่นมาแล้วแม้จะหลายปีที่ผ่านมา ก็อาจทำให้หลายคนไม่ไว้วางใจ และหากมีปัญหาขึ้นอีกในปัจจุบันอย่างที่ผู้ใหญ่ท่านนี้โทรมาเตือนเมื่อเช้านี้ ก็คงไม่น่าแปลกใจถ้าฉันอาจเป็นคนที่ถูกเพ่งเล็ง หรือถูก "จัดการ" อย่างที่มีบางคนเตือนไว้แล้ว
แต่จะทำอย่างไรได้ แม้ตั้งใจจะไม่เกี่ยวข้องกับการทุจริตอีก แต่งานสิทธิมนุษยชนที่จะต้องสอนให้คนที่ถูกละเมิดสิทธิได้รับรู้และปกป้องสิทธิของตนได้ ก็จำต้องทำให้มีบางคนที่เคยได้ประโยชน์ต้องเสียประโยชน์อยู่ดี
หรือชะตาชีวิตของฉันถูกกำหนดไว้เช่นนี้แล้ว ...!!
ขอให้พระคุ้มครองค่ะ
ความดี จง คุ้มครอง ครับ
เอาใจช่วย
ขอให้คุณพระคุ้มครองคนดี
ในทางจิตใจ พวกเราจะเป็นกำลังใจให้
ในทางปฏิบัติ ชาวบ้านที่รักคุณ pilgrim คงจะช่วยเป็นหูเป็นตา เป็นเกราะคุ้มภัย
จะค่อยๆเขยิบจากฐานงานที่ไม่เสี่ยงมากได้ไหมคะ จนกว่าจะได้แนวร่วมในระดับหนึ่ง
ขอบคุณทุกกำลังใจมากค่ะ
หากเลือกได้ก็ไม่อยากต้องเสี่ยงมากนัก แต่ชีวิตก็ได้ไปเริ่มต้นงานด้านความยุติธรรมและสันติแต่แรกแล้ว
เวลานี้ก็กำลังจะถอยมาเริ่มต้นในส่วนอื่นๆ บ้าง อย่างที่พยามยามเริ่มเรียนรู้จากอาจารย์และผู้มีประสบการณ์ด้านงานชุมชนหลายท่านในช่วงนี้
แต่ประสบการณ์บางอย่างของตัวเอง ก็ทิ้ง "อดีต" ไว้ และเรียกร้องบางสิ่งอีกใน "ปัจจุบัน" ด้วย
เรื่องทุจริตมีทุกที่ละครับ......ถ้าคนเรายังไม่พัฒนา ยังไม่พอเพียง....ปากท้องก็สำคัญ...แต่ก็ต้องสอนเรื่องจริยธรรมควบคู่กันไปด้วย...
คนเรากินได้ทุกอย่างครับ...ทุกอย่างจริงๆ...กินกันจนหมดโลกเลยละครับ
เอาใจช่วย...สู้ต่อไป
โอชกร
ประสบการณ์บางอย่างของตัวเอง ได้ทิ้ง "อดีต" ไว้ และเรียกร้องบางสิ่งอีกใน "ปัจจุบัน"
ก็เก็บไว้ในใจ มันยังเป็นพลังที่ไม่สูญหายไปไหน
งานชุมชนในสภาพสุ่มเสี่ยงทั้งความเชื่อและผลประโยชน์ ถ้าทำได้ควรทำในจุด/เรื่องที่เป็นประโยชน์ร่วมกันมากที่สุดก่อน
ความรู้/ความเชื่อพื้นฐานของผมคือ
สังคมไทยเน้นความสัมพันธ์มากกว่าเนื้อหา
มนุษย์ทุกคนมีจิตหนึ่งที่ดีงาม เห็น/เข้าใจได้ในความถูกต้องดีงาม
ใช้เนื้อหากลางๆเชื่อมความสัมพันธ์จากความสัมพันธ์นำไปสู่การแก้ปัญหาที่ยากขึ้นร่วมกันเรื่อยๆ
ต้องขอโทษด้วยถ้าเป็นความเห็นหรือข้อเสนอที่ไม่เข้าใจคนในพื้นที่ เพราะทั้งหมดต้องทำไปอย่างเป็นธรรมชาติของตัวเรา ไม่ใช่การเสแสร้ง และเนื่องจากธรรมชาติของตัวเราสามารถขยายขอบข่ายความรักความเข้าใจได้มากขึ้นด้วยการปฏิบัติธรรม
การทำงานชุมชนเพื่อผู้อื่นจึงควรปฏิบัติธรรมควบคู่ไปด้วย ผมแนะนำให้ใช้อานาปนสติภาวนาครับ
ในพื้นที่ขณะนั้น และขณะนี้ มีประเด็นที่เป็นประโยชน์ร่วมกันหลักๆ ๒ ส่วน คือเรื่องปากท้องหรือสวัสดิการ และเรื่องสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะในพื้นที่เป็นชนเผ่าที่ขณะนั้นไม่มีบัตร ไม่มีสิทธิ ไม่อาจเข้าถึงสวัสดิการ จึงได้เริ่มต้นจากการช่วยให้ชาวบ้านเข้าถึงสิทธิการมีสัญชาติไทยตามกฎหมายก่อน เพื่อเข้าถึงสวัสดิการหรือสิทธิพื้นฐานได้
ซึ่งประเด็นนี้ทำให้มีผู้เสียผลประโยชน์มากมาย !!
แต่ปัจจุบันพยายามเปลี่ยนมุมว่า เป้าหมายไม่ใช่เรื่องบัตร หรือสัญชาติไทย แต่เป้าหมายคือสิทธิมนุษยชนพื้นฐานและสวัสดิการ ซึ่งทุกคนน่าจะเข้าถึงได้ ไม่ใช่ต้องมีสัญชาติไทยก่อน
ขอบคุณอาจารย์ภีม และอาจารย์โอชกรมากค่ะ ไม่ลืมที่จะปฏิบัติธรรมสม่ำเสมอแน่นอนค่ะ เพราะรู้ว่าคือขุมพลังสำคัญที่สุดของตัวเอง
ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์จงคุ้มครองคนดี คนที่ทุ่มเททำงานให้แก่คนอื่น
ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ
ถ้าไม่นับว่าเป็นคนพลัดถิ่น ทุกคนย่อมมีศักยภาพ
การเห็นคุณค่าของคนมาจากการร่วมกิจกรรมกัน
การร่วมกันสร้างสวัสดิการจะทำให้เห็นคุณค่าของตนเองและเพื่อน แม้หนูก็อาจช่วยราชสีห์ได้
ขอเอาใจช่วยครับ
หวังไว้เช่นเดียวกันค่ะ
ขอบคุณคุณกฤษฎา และ อ.ภีม มากค่ะ
สวัสดีครับ เป้าหมายชัดเจน มุ่งหวังเป็นเลิศ ให้กำลังใจครับ
ขอบคุณค่ะ คุณสิทธิรักษ์