คุณศรีวิภาเริ่มด้วยการเล่าให้ฟังว่า ตอนเริ่มทำ KM ใหม่ๆ จำคำพูดอาจารย์วิจารณ์ได้ขึ้นใจว่า "KM ไม่ทำไม่รู้" ครั้นพอมาได้เริ่มลงมือทำจริงๆ กลับพบว่า "KM ยิ่งทำ ก็ยิ่งไม่รู้" ผมฟังแล้วเห็นว่าสิ่งนี้เป็น “ตัวชี้วัด” ที่ดีมากครับ ใครที่ทำKM แล้วรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจ KM ได้ชัดเจนมากๆ ผมเชื่อว่า “มาผิดทาง” แน่นอน ตัวชี้วัดที่บอกว่ามาถูกทางก็คือ เดี๋ยวรู้สึกว่าเข้าใจ พอทำไปทำไปกลับไม่เข้าใจ มีงงบ้างเป็นธรรมดา แต่ไม่ใช่งงตลอดเวลานะครับ ถ้างงตลอดเวลาก็น่าจะมาผิดทางเช่นกันครับ
นอกจากนั้นคุณศรีวิภายังเปรียบเทียบกับกระบวนการของบริษัทปูนแก่งคอยที่ใช้วิธี “Learning by Doing” ว่าหน่วยงานของคุณศรีวิภานั้นใช้วิธี “Learning by Confusion” คือเป็นการเรียนรู้ที่อยู่บนความงง คล้ายๆ กับการสอนว่ายน้ำแบบผลักให้ตกลงไปในแม่น้ำ คือให้เริ่มทำเลย ไม่ได้เริ่มด้วยการบรรยายให้เข้าใจทะลุปรุโปร่งเหมือนกับที่หลายๆ หน่วยงานพยายามทำ เพราะเรื่อง KM ไม่สามารถเข้าใจได้ผ่านการบรรยาย นอกจากนี้ที่กรมอนามัยยังไม่ได้มีขั้นตอน KM ที่ตายตัว ผมฟังดูแล้วคิดในใจว่านี่คือวิธีการ “สอนโดยไม่สอน” คือเป็นการสอนที่ “ไม่เน้นบรรยาย แต่ให้ใช้เรื่องเล่า โดยการนำเข้ากระบวนการ ซึ่งทำให้เกิดการผสานใจ"
ในช่วงสุดท้ายคุณศรีวิภาสรุปให้ฟังว่า “ปัจจัยแห่งความสำเร็จ” ของ KM ในกรมอนามัยอยู่ที่การสนับสนุนของผู้บริหาร การยอมให้แผนงานและองค์ประกอบของกรรมการสามารถปรับเปลี่ยนได้ การให้ความสำคัญกับผู้ที่มาทำหน้าที่เป็น Facilitator และการที่เอา KM ไปผูกไว้กับ KPI ของกรม ส่วนคำแนะนำสุดท้ายของคุณศรีวิภาก็คือ ระวังอย่าติด "กับดัก กพร." ที่มัวแต่เน้นเอกสาร มัวแต่กรอกแบบฟอร์ม จะต้องพยายามทำ KM ให้เป็น "Living KM” ให้ได้ ผมยังมีประเด็นที่ได้จากในห้องอื่นๆ อีก แต่คงต้องเป็นตอนหน้านะครับ
ขอบคุณค่ะอาจารย์....ทำๆ ไป จริงดั่งอาจารย์ว่า "เดี๋ยวรู้สึกว่าเข้าใจ พอทำไปทำไปกลับไม่เข้าใจ มีงงบ้าง.....คราวหลังจะได้เห็นว่าเป็นธรรมดา
จริงนะคะอาจารย์..หากท้อบ้างงงบ้าง...เลิกทำก็ไม่ได้..น่าจะไม่มีความสุขในการทำ
คุณเมตตา มาถูกทางแล้วล่ะครับ ...เข้าใจบ้าง ...งงบ้าง ...มีกำลังใจบ้าง ....ท้อใจบ้าง ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาครับ
ดีใจที่คุณเมตตากลับมา comment beyondKM ...มาโฉมใหม่ สีเสื้อสดใสดีจัง!!