<h3 style="margin: 0cm 0cm 0pt; line-height: 90%; text-align: justify" class="MsoNormal"><h3 style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></h3>
ดังมนต์เสน่ห์
หรือเพียงเสแสร้ง
</span></h3>
มนต์ คือ คาถา ที่ใช้สำหรับเสกเป่า เป็นคำสำหรับท่อง สวด ซึ่งคำเหล่านั้นเป็นที่ยอมรับว่าศักดิ์สิทธิ
เสน่ห์ เป็นการกระทำที่จะชักชวนให้รัก ให้หลง มักจะได้ยินคำว่า ทำเสน่ห์ ทำให้ผู้อื่นหลงใหล
เสแสร้ง แกล้ง มิได้เกิดจากความเป็นจริง หรือไม่ได้จงใจทำ ไม่ตั้งใจ ไม่หมายใจ มิได้เจตนาจะให้เป็นลักษณะเฉพาะบุคคล เป็นคุณสมบัติเฉพาะตัว คุณงามความดี เป็นสิ่งที่บุคคลจะต้องมีเป็นไปตามความสามารถของแต่ละคน เช่น ก่อนที่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง จะมายืนอยู่ในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งได้ เขาจะต้องมีคุณสมบัติพิเศษนั้น ๆ มาก่อน หรืออย่างเช่น ศิลปิน นักแสดง ก่อนที่จะมาเป็นนักแสดงเพลงพื้นบ้านได้ จะต้องมีคุณสมบัติเฉพาะตัว คือ มีความชอบ มีความสนใจ หลงใหล กล้าแสดงออก เป็นต้น
ศิลปินหลายแขนง โดยเฉพาะ ด้านศิลปะวาดภาพ เขียนภาพ ผู้ที่เป็นศิลปินจะต้องมีคุณสมบัติ คือ เป็นนักคิด ช่างสังเกต และนักสร้างสรรค์ ทุกวันนี้เราอยู่บนโลกที่มีความสวยงามได้ก็เพราะมีผู้คิดสร้างสรรค์ผลงานต่าง ๆ ออกมาประดับโลกให้ดูสดใส มีชีวิตชีวา บางคนทำไปเพราะความเชื่อและศรัทธาในสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างแน่วแน่และฝังลึกลงไปในห้วงแห่งพะวัง (ความเป็นห่วง) หรือด้วยความรักและหวงแหน อยากจะใช้คำว่าทำไปโดยลืมตัว หรือกระทำสิ่งนั้น ๆ เคยชินติดจนเป็นนิสัย เกิดความยั่งยืนถาวร แต่อาจะมีบางคนต้องกระทำในสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยถูกบังคับให้ต้องกระทำ ทั้งที่ใจจริงวางเฉย ไม่อยากทำ จึงไม่เกิดความต่อเนื่อง ทำได้แป๊บเดียวก็เลิกรากันไป ดังคำที่ว่า “ทำเหมือนไฟไหม้ฟาง”
ผมเป็นบุคคลผู้หนึ่งที่ได้คิด ได้เฝ้าสังเกต และจดจำแบบฉบับที่ผมสนใจ แต่เผอิญผมชอบหลายอย่างจึงได้สร้างสรรค์ผลงานต่าง ๆ เอาไว้มาก ผลงานบางชิ้นไม่มีร่องรอยให้ตามไปเก็บหลักฐานได้ เนื่องจากผ่านมาเป็นเวลานานกว่า 37 ปี คนอื่นคิดอย่างไรกับชีวิต ผมมิอาจหยั่งรู้ได้ แต่ผมมีมติต่อชีวิตราชการของตนเองมาตั้งแต่ต้น (ผมวางแผนการทำงานเอาไว้) โดยบังเอิญ คือ
ระยะการทำงานช่วงที่ 1 (พ.ศ. 2513-2522) โดยประมาณ 10 ปี ผมมีความสนใจในกีฬาและเข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมกีฬาของโรงเรียนทุกชนิด เข้าไปร่วมฝึกซ้อมทีมนักกีฬาของโรงเรียน และพานักเรียนไปแข่งขันได้แก่ กีฬาฟุตบอล กรีฑานักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษา การแข่งขันมีทั้งระดับอำเภอไปจนถึงระดับจังหวัด ได้รับรางวัล เป็นเหรียญ และถ้วยรางวัลจำนวนมาก (การทำงานเป็นทีม) ทุกวัน จันทร์-ศุกร์ ตลอดสัปดาห์ ตั้งแต่เวลา 15.00-18.00 น.อยู่กับนักกีฬาของโรงเรียน ในสนามกรีฑาและสนามฟุตบอล จนถึงเวลาค่ำจึงจะกลับบ้าน ใช้ชีวิตเช่นนี้ด้วยความสุข และผมก็ทำงานด้านศิลปะควบคู่กันไปด้วย แต่ยังด้อยกว่าเรื่องของกีฬา มาจนถึงช่วงปี พ.ศ. 2523
ระยะการทำงานช่วงที่ 2 (พ.ศ. 2523-2538) โดยประมาณ 16 ปี ผมยังคงเล่นกีฬาและออกกำลังกายโดยการบริหารร่างกายด้วยเครื่องยกน้ำหนัก แต่ไม่หนักเท่าตอน อายุ 17-20 ปี ในช่วงเวลาของการทำงานตอนนี้ผมโอนมาอยู่โรงเรียนมัธยมศึกษา เป็นโรงเรียนประจำอำเภอ ทำหน้าที่เป็นครูสอนศิลปะ วิชาวาดเขียน มาอยู่ปีแรกก็เริ่มต้นงานที่ใจรักกันเลย ได้แนะนำนักเรียน ได้ร่วมวาดภาพกับนักเรียน เขียนป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ 20 แผ่นไม่อัด และสร้างฉากเวที เมื่อเวลามีงานโรงเรียน ผมฝึกฝนความสามารถให้กับนักเรียนทุกคนที่สนใจศิลปะ ด้านทัศนศิลป์ แม้ว่าจะต้องปั้นดินให้เป็นดาวก็ตาม โรงเรียนของเราไม่อาจที่จะเลือกเฉพาะเด็กเก่ง ๆ เข้ามาเรียนได้ ต้องรับทุกคน แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ในโคลนตมก็ยังมีเพชรเม็ดงามเกิดขึ้นได้ แม้ว่าจะต้องใช้เวลาตามหายากยิ่งกว่า งมเข็มในมหาสมุทร บางคนบอกว่า ศิลปะสอนง่าย การฝึกเด็กก็เป็นเร็วไม่ยุ่งยากเหมือนวิชา (ที่ใช้สมองซีกซ้าย) แถมอีกนิด “ฉันไม่ชอบเลยวิชาศิลปะ ตอนเป็นนักเรียนก็ไม่เคยวาดรูป ไม่ชอบ” แต่ว่าเขาชอบแต่งหน้า (แปลกแฮะ) นักเรียนที่ผมสอนและฝึกศิลปะวาดภาพ จะเป็นเด็กห้องที่เหลือจากห้องที่เขาคัดเอาไปเรียนในวิชาที่เขาบอกว่าสำคัญกว่าหมดแล้ว จึงเหลือเด็กห้องท้าย ๆ เข้ามาสมัครเลือกเรียนอยู่กับผม เด็กบางคนผมใช้เวลาฝึก 1-2 ปี กว่าที่จะมีผลงานระดับมาตรฐาน และเด็กบางคนต้องใช้เวลานานกว่า 3 ปี บางคนถึง 6 ปี กว่าที่จะได้รับรางวัลระดับประเทศ แต่ถึงกระนั้นผมก็เดินไปพบกับความสำเร็จเข้าจนได้ เมื่อนักเรียนที่ผมกับอาจารย์สนั่น ยงค์ไพบูลย์ช่วยกันฝึกฝน 2 คนคือ นายสมเกียรติ ตราทองและนางสาวสุกัญญา การะเกตุ นักเรียนชั้นม.6 ได้รับรางวัลชนะเลิศปั้นสากล ในการแข่งขันศิลปหัตถกรรมนักเรียนแห่งชาติปี พ.ศ. 2531 ที่สวนอัมพร กรุงเทพฯ และต่อจากนั้นมารางวัลอื่น ๆ ก็ทยอยตามกันเข่ามาเป็นตับ โดยประมาณ 1000 รางวัลที่นักเรียนได้รับจากการแข่งขันศิลปะ สำหรับในช่วงปี พ.ศ. 2535 ผมเริ่มงานเพลงพื้นบ้านไปด้วย
</span></span><h3 style="margin: 0cm 0cm 0pt; line-height: 90%; text-align: justify" class="MsoNormal"></h3><h3 style="margin: 0cm 0cm 0pt; line-height: 90%; text-align: justify" class="MsoNormal"> </h3><h3 style="margin: 0cm 0cm 0pt; line-height: 90%; text-align: justify" class="MsoNormal"></h3><h3 style="margin: 0cm 0cm 0pt; line-height: 90%; text-align: justify" class="MsoNormal"></h3> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; line-height: 110%" class="MsoNormal"> ระยะการทำงานช่วงที่ 3 (พ.ศ. 2535-2554) โดยประมาณ 16 ปีมาแล้ว ผมมาเริ่มงานเพลงพื้นบ้านตั้งแต่ปี 2535 แต่ในส่วนของงานทัศนศิลป์ก็ไม่ทิ้ง แถมยังรับสอนวิชาคอมพิวเตอร์อีกด้วย ผมฝึกนักเรียนวาดภาพด้วยโปรแกรม PhotoShop นางสาวปาริชาติ วังกรานต์ ได้รับรางวัลเหรียญทองในงานศิลปะ หัตถกรรมนักเรียน ปี 2546 และในการเข้ามาสู่เพลงพื้นบ้านของผม มันมาพร้อมด้วยกลิ่นไอของภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ติดตัวมาตั้งแต่เริ่มต้นชีวิต ในส่วนของเพลงอีแซว และเพลงพื้นบ้านอื่น ๆ อีกหลายชนิด ผมเที่ยวตระเวนไปฝึกหัดกับครูเพลงตั้งแต่ยังเด็กและมาเพิ่มเติมในตอนที่เริ่มรับราชการแล้ว ฝึกหัดร้องเพลงอีแซวได้แล้ว เล่นได้ แสดงได้ ผมก็ไปฝึกเพลงพื้นบ้านอื่น ๆ จนมีความสามารถ (แสดงได้) จำนวน 19 ชนิด และผมนำเอาเพลงพื้นบ้านหลายๆ ชนิด ที่ผมเป็นมาถ่ายทอดสู่เยาวชน (สอนและฝึกหัด) นักเรียนที่โรงเรียน ผมสอนให้กับเด็กทุกคนโดยไม่ต้องตั้งเงื่อนไขว่า จะต้องเป็นเด็กเก่งเท่านั้น จึงจะมาเรียนศิลปะ จึงจะมาเล่นเพลงพื้นบ้านได้ ใครก็ได้ถ้ามีใจรักเข้ามาผมฝึกหัดให้ ผมสอนให้ทั้งในและนอกเวลาเรียน จนนักเรียนมีความสามารถในการแสดงเพลงพื้นบ้าน 10 ชนิด เด็กเขาแสดงเป็น เล่นออกงานได้ (แต่บางคนบอกว่าคณะเพลงที่ผมฝึกหัดไม่มีการพัฒนา) และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทร้องที่ผ่านการสร้างสรรค์กลั่นออกมาจากมันสมองถูกเพื่อน ๆ น้อง ๆ นำเอาใช้ในการแสดงที่โรงเรียนของเขา (ผมไม่หวง) </p>
ที่น่าแปลกใจคือ บทเพลงที่ผมเขียนเอาไว้หลายบทน้อง ๆ เขานำเอาไปใช้ประกวด ได้รับคำชมว่า แต่งได้ดีแต่งเก่ง ส่วนบทเพลงที่ผมเขียนขึ้นมาล่าสุด นำเอาไปให้เด็กแสดงตรงตามหัวข้อเรื่องที่เขากำหนด กลับได้รับคำเสนอแนะว่า “บทเพลงที่แต่งให้เด็กแสดง ห่วยแตก เ...วมาก” ทั้งที่มันก็มาจากคนคนเดียวกัน เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนที่พูด ไม่มีสำเหนียกในการกำหนดจดจำ หรือไม่สามารถจำแนกข้อเหมือนหรือความแตกต่างได้ ถึงแม้ว่าบนเวทีแห่งเพลง ผมและเด็ก ๆ จะได้พบกับความไม่เป็นจริง แต่เกิดจากการจงใจทำ เป็นความตั้งใจ หมายใจ เจตนาหรือไม่ก็ตาม ผมนึกเสียว่า เราถลำเข้าไปเอง ไม่ควรเก็บเอามาคิด แต่ก็ไม่ทำให้ผมและเด็ก ๆ หมดกำลังใจเลยแม้แต่น้อย เพราะว่า วันที่ผมยืนอยู่บนเวทีเพลงพื้นบ้านกับเด็ก ๆ 10-15 คน เมื่อเกือบ 16-17 ปีก่อน ผมไม่เคยเห็นคนเหล่านั้นว่าเขาทำอะไร และอยู่ที่ไหน ในวันนี้ผมภูมิใจกับความมุ่งมั่นที่ได้ตั้งใจปฏิบัติมาอย่างมั่นคงในความรักท้องถิ่น เกียรติยศและรางวัลที่ผมได้รับจำนวน 82 รางวัล (ครูศิลปะ,คอมพิวเตอร์,เพลงพื้นบ้าน) และคณะนักเรียนได้รับจำนวน 135 รางวัล ตั้งแต่ระดับจังหวัด ระดับภาค จนถึงระดับประเทศ
ชัยชนะจากการประกวด รางวัลคือความภาคภูมิใจ ความพ่ายแพ้ในการประกวด ความสูญเสียมิได้ทำให้หัวใจห่อเหี่ยว แต่ทั้ง 2 ความรู้สึกติดแน่นอยู่ในหัวใจไม่นานก็จางไปเป็นธรรมดา แต่คุณค่าแห่งชีวิต บทบาทหน้าที่ที่เรากระทำอย่างมาต่อเนื่อง จะยังคงสานต่อไปหรือหยุดชะงักลง ตอบได้อย่างรวดเร็ว ยังคงเดินหน้าต่อไปแน่ และไม่มีวันหยุดถึงแม้ว่าจะหมดลมหายใจไปก่อนแล้วก็ตาม เพราะสิ่งที่ได้ทำมาตลอดชีวิตของผม ผมทำไปตามที่พรหมลิขิต ผมมิได้ทำเพื่อหวังสิ่งใด มิมีใครมาชักชวนบังคับให้ผมต้องทำ ต้องเป็นเช่นนี้ แต่ที่ผมทำไปก็เพราะมีพ่อครู แม่ครูเพลง มอบมรดกล้ำค่า ภูมิปัญญาของแผ่นดินมาให้ ผมขอรักและหวงแหนเท่าชีวิต “ผมมิอาจที่จะเห็นสิ่งนี้ต้องสูญสิ้นไปต่อหน้าต่อตาได้ครับ”
(ชำเลือง มณีวงษ์. ผู้มีผลงานดีเด่นศิลปะการแสดงพื้นบ้าน)
</span></span>